Epoch of Twilight จบแล้วอ่านฟรี - ตอนที่ 578: ร้อยปีแห่งความเร่งรีบ
ตอนที่ 578: ร้อยปีแห่งความเร่งรีบ
เวลาติดปีกโบยบิน
ปี 2153!
เป็นเวลากว่าศตวรรษนับตั้งแต่มนุษย์กลับสู่โลก และประชากรมนุษย์ก็มีมากกว่า 600 ล้านคนแล้ว หลังจากการผลิตยาอายุวัฒนะภูมิปัญญาซึ่งในที่สุดก็มีให้กับทุกคน มีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านเทคโนโลยีในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา
มนุษย์เริ่มต้นจากการที่สามารถปรับสภาพโลกเพื่อให้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของระบบสุริยะทั้งหมดได้
ทรงกลมไดสันที่ล้ำสมัยขนาดมหึมาได้ครอบคลุมดวงอาทิตย์ทั้งดวงแล้ว และพลังงานอันไร้ขีดจำกัดที่ถูกปล่อยออกมานั้นได้ถูกแปลงให้กลายเป็นปฏิสสารจำนวนมากโดยโรงงานปฏิสสารที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ในเวลาเดียวกันดาวอังคารและดาวศุกร์ก็ได้โคจรรอบโลกด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะเคลื่อนย้ายดาวเคราะห์ทั้งสองนี้ไปยังวงโคจรของโลกอย่างปลอดภัย มนุษย์ได้เริ่มทำการวิจัยเครื่องยนต์เคลื่อนดาวเคราะห์เป็นแนวโค้งในปี 2070 และหลังจากใช้เวลาประมาณ 10 ปีหรือมากกว่านั้นพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องยนต์เคลื่อนดาวเคราะห์เป็นแนวโค้งขนาดมหึมาจำนวน 2 เครื่อง จากนั้นก็ใช้ปฏิสสารเกือบหลายร้อยล้านล้านตันซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานหนึ่งในสิบที่ผลิตโดยทรงกลมไดสันเป็นเวลา 2 ปี พวกเขาก็ทำภารกิจนั้นเสร็จสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็คุ้มค่า วงโคจรของโลกในปัจจุบันเหมาะสมที่สุดสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ การปรับสภาพดาวเคราะห์ที่ก้าวหน้าเป็นงานที่ง่ายที่สุด และใช้เวลาเพียงราว ๆ 10 ปีก่อนที่ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงที่ตายไปแล้วตอนนี้ก็เต็มไปด้วยสัญญาณแห่งชีวิต อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือสิ่งมีชีวิตที่นี่มีรูปร่างเล็กซึ่งคล้ายกับสิ่งมีชีวิตบางส่วนบนโลก
ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาด้านเทคนิคต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญในระหว่างการก่อสร้างนั้น ในทางกลับกันทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์และความรู้อันล้ำค่าเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงสร้างที่มีขนาดใหญ่มาก
ก่อนการสร้างทรงกลมไดสันมนุษย์ได้มีการประเมินในแง่ดีว่าอย่างน้อยในอีกพันปีถัดไปพวกเขาจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาพลังงาน อย่างไรก็ตามการใช้พลังงานของพวกเขาเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่มันมากกว่าที่มนุษย์ได้คาดไว้ในตอนแรก
มีคำกล่าวว่า คนจนมีมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนจน และคนรวยมีมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนรวย คนจนจะไม่สามารถจินตนาการได้ถึงการใช้จ่ายรายเดือนของคนรวยที่อาจเทียบเท่ากับรายได้ทั้งหมดในชีวิตของคนจน วันนี้มนุษย์ก็สามารถพูดเช่นเดียวกันนั้นได้ เมื่อการจัดหาพลังงานเป็นมากกว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการ สิ่งประดิษฐ์ที่บ้าคลั่งต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก
ตัวอย่างเช่นแพลตฟอร์มการขุดอเนกประสงค์สำหรับดาวเคราะห์ก๊าซที่เรียกว่า "เครื่องดูดฝุ่นดาวเคราะห์" กำลังถูกใช้เพื่อกรองวัสดุก๊าซของดาวพฤหัส
อีกหนึ่งตัวอย่างคือแพลตฟอร์มการขุดอเนกประสงค์สำหรับดาวเคราะห์หินที่เรียกว่า "เครื่องกะเทาะดาวเคราะห์" ซึ่งใช้ในการกะเทาะชั้นหินบนดาวเคราะห์หมายเลข 4 ของระบบดาวบาร์นาร์ด และดาวเคราะห์หมายเลข 5 ของระบบดาวซิริอุส
ตัวอย่างสุดท้ายจะเป็นป้อมปราการเคลื่อนที่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อที่สามว่า "ผู้พิทักษ์สูงสุดของมนุษยชาติ" ซึ่งสามารถเดินทางด้วยความเร็ว 50 เท่าของความเร็วแสงและจอดอยู่ใกล้ ๆ โลก
สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาเหล่านี้มีรัศมีสูงถึง 100 กิโลเมตร ในช่วงรันไทม์พวกมันนั้น พลังงานที่เครื่องจักรกลเหล่านี้นำไปใช้มีจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับป้อมปราการเคลื่อนที่ มันเป็นโครงสร้างขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 500 กิโลเมตร แม้ว่ามันจะเล็กกว่าดวงจันทร์มาก แต่มวลของมันก็ใหญ่กว่าดวงจันทร์หนึ่งเท่าครึ่ง
ด้วย 100 กิโลเมตรของโลหะผสมที่มีการควบแน่นสูง ต่อให้มนุษย์ใช้กำลังทั้งหมดของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามารถบุกทะลวงผ่านชั้นป้องกันภายในระยะเวลาอันสั้นได้ เว้นแต่โดยการใช้ปฏิสสารจำนวนมากทำการโจมตีโดยตรง เมื่อโครงสร้างนั้นเสร็จสมบูรณ์ มันถูกทดสอบที่บริเวณดาวใกล้เคียงสองสามครั้ง ก่อนที่จะลงความเห็นกันว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป หลังจากนั้นมันก็ยังคงอยู่ใกล้ ๆ โลก
ไม่ใช่ว่าความเร็วในการผลิตปฏิสสารนั้นไม่สัมพันธ์กันกับการใช้พลังงานของป้อมปราการ แต่เพียงแค่มนุษย์เริ่มตระหนักถึงการสะสมทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ประเภทนี้หลังจากหลายปีที่ผ่านมา
แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ในทุกวันนี้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่นั่งพักและผ่อนคลายไปกับกาแล็กซีอันไร้ที่สิ้นสุด
สี่สิบปีที่ผ่านมาหลังจากอุปกรณ์สำรวจอวกาศรุ่นที่ 4 ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ๆ “ดวงตาของพระเจ้า” มนุษย์ก็เริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมของพวกเขาและไปไกลถึง 1,500 ปีแสงจากระบบเดิมของพวกเขา
อารยธรรมนอกโลกที่พวกเขาค้นพบนั้นมาจากอารยธรรมใหม่เพียง 3 – 12 แห่ง อย่างไรก็ตามอารยธรรมที่ค้นพบได้โดยเครื่องมือสำรวจอวกาศนั้นเป็นพวกที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขาทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีอารยธรรมที่สามารถสำรวจระบบดาวในบริเวณใกล้เคียงได้ และในหมู่พวกเขาก็เป็นอารยธรรมระหว่างดวงดาวอื่น ๆ ด้วย
มนุษย์ได้จำแนกระดับอันตรายของแต่ละอารยธรรมและทุกอารยธรรมนอกโลกด้วยระดับการจำแนกที่เข้มงวด
ระดับต่ำสุดคืออารยธรรมที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งไม่สามารถแม้แต่จะทำให้เกิดรอยข่วนกับมนุษย์ต่อให้พวกเขาจะใช้ความพยายามทั้งหมดก็ตาม พวกเขาอาจจะแค่ซ่อนตัวอยู่ในระบบดาวของพวกเขาและไม่เป็นอันตรายต่อโลกแต่อย่างใด
อารยธรรมประเภทนี้เป็นอารยธรรมนอกโลกที่มนุษย์ค้นพบได้มากสุด กว่าสองในสามของอารยธรรมที่ค้นพบนั้นถูกจัดอยู่ในประเภทนี้
ระดับถัดไปจัดเป็นภัยคุกคามเล็กน้อย อารยธรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดอันตรายในระดับหนึ่ง พวกเขาสามารถเริ่มสำรวจระหว่างดวงดาวได้แล้ว และบางอารยธรรมที่มีอานุภาพมากกว่าก็ได้ค้นพบการบินแนวโค้งแล้ว อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของพวกเขาก็ยังคงด้อยกว่า แม้ว่าสงครามจะปะทุขึ้นก็คงจะไม่ยากในการตัดสินชัยชนะและการสูญเสีย เช่นเดียวกับที่มนุษย์ทำลายอารยธรรมของ Glassian เมื่อร้อยปีก่อน
ระดับต่อไปเป็นอารยธรรมที่เป็นภัยคุกคามปานกลางที่จะก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อมนุษย์อย่างใหญ่หลวง เพราะอารยธรรมเหล่านี้อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขาและในบางครั้งก็อาจจะสูงกว่าเล็กน้อย หากสงครามเกิดขึ้นกับอารยธรรมระดับนี้ผลลัพธ์ก็คงจะยากมากที่จะล่วงรู้
สำหรับอารยธรรมที่เป็นภัยคุกคามระดับสูง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นระดับการทำลายล้าง – พวกเขามีอานุภาพมากกว่าและก้าวหน้ากว่ามนุษย์ กับอารยธรรมดังกล่าว ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือพยายามหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงให้เห็นเจตนาที่ก้าวร้าวใด ๆ ออกมา
เดชะบุญที่มนุษย์ไม่ได้โชคร้ายอย่างนั้น พวกเขาค้นพบแค่อารยธรรมที่เป็นภัยคุกคามปานกลางซึ่งแค่เริ่มใกล้จะเป็นภัยคุกคามระดับสูงเท่านั้น
อารยธรรมนั้นอยู่ห่างจากระบบสุริยะของพวกเขาประมาณ 1,200 ปีแสง โดยมีกองกำลังอยู่ด้านข้างของระบบดาว 5 ดวงที่อยู่ใกล้ ๆ กันทั้งหมด มันเป็นเหมือนเจ้าเหนือหัวที่ภาคภูมิใจที่คอยจับตาดูอารยธรรมโดยรอบของมันทั้งหมด
นับตั้งแต่มันถูกค้นพบ มนุษย์ก็ได้ติดตามอารยธรรมอันทรงพลังนี้มาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 40 ปี ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาระบบดาวหลักที่อารยธรรมนั้นตั้งอยู่ จำนวนโครงสร้างทางเทคโนโลยีก็ได้เพิ่มขึ้นในอัตราทวีคูณ โดยปกติแล้วนี่ไม่ใช่แค่กรณีของอารยธรรมนี้เท่านั้น อันที่จริงอารยธรรมมนุษย์ก็ประสบกับสิ่งเดียวกัน
เวลา 100 ปีหรือมากกว่านั้นจะทำให้ผู้คนลืมช่วงเวลาสงครามก่อนหน้านี้ แม้ว่ามนุษย์รุ่นเก่าที่เคยผ่านสงครามจะค่อย ๆ ล่วงลับไปแล้วหลังจากหลายปีที่ผ่านมา แต่มนุษย์ยุคใหม่ที่มีอายุยืนยาวกว่าก็ยังอายุน้อยอยู่และเต็มไปด้วยพลัง ถึงกระนั้นแม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะดำรงตำแหน่งผู้นำ แต่ก็ยังมีความรู้สึกถึงอันตรายอยู่ในใจของพวกเขา
นับตั้งแต่มีการค้นพบอารยธรรมนั้น มนุษย์ก็เข้าสู่สภาวะสงครามทันที
ป้อมปราการเคลื่อนที่ขนาดมหึมานั้นเป็นคำตอบสุดท้ายของการแข่งขันทางอาวุธ แม้ว่าจะยังมีป้อมปราการ 2 แห่งที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
นอกจากนั้นมนุษย์ได้สร้างยานรบขับเคลื่อนแนวโค้งกว่าห้าหมื่นลำในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา และได้สร้างโครงสร้างป้องกันพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับระบบสุริยจักรวาล ความหนาแน่นและความรุนแรงของมันแตกต่างจาก Glassians มาก
เมื่อเทียบกับสงคราม Glassian ด้วยบรรยากาศที่หดหู่และปกติธรรมดาที่พวกเขาปล่อยออกมา ก็ไม่มีอะไรที่มนุษย์รู้สึกกลัว
ในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมามนุษย์ได้ทำการวิจัยอย่างหนักเกี่ยวกับปริมาณพลังงาน และการก้าวกระโดดของเทคนิคพลังงานควอนตัมก็ค่อย ๆ สมบูรณ์ ด้วยสิ่งนั้นอาวุธพลังงานที่มนุษย์มีก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลยเมื่อพูดถึงเรื่องการทหาร
ในสมัยก่อนมนุษย์ทำความเร็วแสงได้เหนือกว่าเป้าหมายของพวกเขา นอกเหนือจากการพึ่งพาโชคแล้วพวกเขาก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่าในการทำเช่นนั้น
ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาไม่มีระบบตรวจจับที่แม่นยำและคลื่นอวกาศรวมทั้งมีการเบี่ยงเบนที่มีผลในตำแหน่งของวัตถุ ในทางกลับกันพวกเขาต้องแก้ปัญหาความเร็วของเป้าหมายที่เร็วเกินไปในขณะที่อยู่ไกลมาก ๆ
ท้ายที่สุดการโจมตีก็ยังคงพลาดเป้าแม้ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดกับความแม่นยำของระบบตรวจจับเป้าหมาย มันก็ยังคงเกิดขึ้นแม้ว่าเครื่องคำนวณควอนตัมของระบบควบคุมการยิงจะคำนวณตำแหน่งที่จะโจมตีได้อย่างแม่นยำและเริ่มทำการยิง
สำหรับเป้าหมายที่เข้าใกล้ความเร็วแสงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แม้จะไปถึงพวกมันภายในหนึ่งหรือสองวัน การเบี่ยงเบนเพียงแค่นั้นก็มากเกินไป ความผันผวนเชิงพื้นที่เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการหักเหของอากาศระหว่างเป้าหมายและอาวุธ รวมไปถึงความเร็วที่เปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราว สามารถทำลายการเตรียมพร้อมก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามด้วยอาวุธที่พัฒนาขึ้นใหม่ของพวกเขาซึ่งเหนือกว่าความเร็วแสงนั้นก็อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ มันเอาชนะปัญหาเรื่องระยะทางตลอดจนหลายตัวแปรที่รบกวนผู้โจมตีให้สามารถฝ่าไปได้และจะโดนเป้าหมายทันทีที่ยิงออกไป
พร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจอวกาศขนาดจิ๋วและเครื่องคำนวณควอนตัมขั้นสูงที่มนุษย์มีอยู่ในตอนนี้ พวกเขาสามารถปรับปรุงอัตราการโดนเป้าหมายความเร็วแสงได้เกือบล้านเท่า
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะเพิ่มขึ้นเป็นล้านเท่า โอกาสในการโจมตีโดนเป้าหมายก็ยังคงต่ำอย่างน่าผิดหวัง เนื่องจากเดิมทีนั้นโอกาสยังอยู่ในระดับต่ำเกินไป
แต่กระนั้นโดยปกติจะมีกระสุนหลายร้อยล้านนัดที่ถูกยิงออกไปในสงครามระหว่างอารยธรรมระหว่างดวงดาวทั้งสอง ต่อให้อัตราการโดนเป้าหมายจะต่ำ แต่จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็สามารถชดเชยได้ แม้ว่าป้อมปืนใหญ่กระบอกเดียวจะมีอัตราการโดนเป้าหมายต่ำ แต่กระสุนปืนใหญ่พลังงานนับล้านจะถูกยิงรอบพื้นที่ขนาดใหญ่ ไม่ว่าเป้าหมายจะรวดเร็วแค่ไหนก็ตามมันก็เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว