Epoch of Twilight จบแล้วอ่านฟรี - ตอนที่ 561: ทำลายดาวเคราะห์ของ Glassian (1)
ตอนที่ 561: ทำลายดาวเคราะห์ของ Glassian (1)
ความแตกต่างทางเทคโนโลยีของทั้งสองฝ่ายไม่ได้สูงมาก สำหรับการเล็งไปยังเป้าหมายที่บินในระดับความเร็วแสงอย่างเช่นยานที่ขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อนนี้ ไม่มีอาวุธพิเศษใดที่จะต่อสู้กับมันได้ เช่นเดียวกับในช่วงสงครามครั้งก่อนที่มนุษย์ต้องเผชิญกับขีปนาวุธเหนือเสียงอย่างฉับพลัน นอกจากการใช้ปืนต่อต้านอากาศยานยิงไปที่ท้องฟ้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าและพยายามพึ่งโชคของพวกเขาแล้ว นั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น
อันตรายของรังสีพลังงานได้แผ่กระจายไปทั่วเส้นทางการเดินทางของกองยานรบราวกับว่ามันเป็นถนนไปสู่ความตาย ในแต่ละย่างก้าวอาจนำไปสู่ชะตากรรมของพวกเขาที่อาจเกิดขึ้นได้
สามชั่วโมงต่อมายานรบอีกลำที่เพิ่งออกจากการบินแบบเส้นโค้งจากนั้นก็ล่องลอยไปในความมืดมิดของอวกาศ
หลังจากยานลำนั้นก็ตามติดมาอย่างรวดเร็วด้วยยานรบอีกลำ
ลูกเรือยานรบของมนุษย์ทั้งหมดพวกเขาดูมีสีหน้าที่เคร่งขรึม ไม่มีใครสักคนที่รู้สึกกลัว ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นคนต่อไป แต่พวกเขาทั้งหมดได้เตรียมใจมาอย่างเต็มที่ ในฐานะที่เป็นคลื่นลูกแรกและเป็นหัวหอกของกองยานรบขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อน พวกเขาเป็นคนที่ต้องเผชิญกับภารกิจที่อันตรายที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ พวกเขาทุกคนตระหนักถึงความเป็นไปได้สูงที่จะเสียชีวิตก่อนจะออกเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้
"ระยะทางจากเป้าหมายแรกเหลืออีก 3 วันแสง !
เสียงเตือนจากปัญญาประดิษฐ์ทำให้โฮ้วซูเหวินผู้บัญชาการของยานรบกำหมัดของเขาไว้แน่น เขาประเมินว่าพวกเขาจะมีเวลา 12 ชั่วโมงก่อนที่จะปะทะกับพวก Glassians ครั้งแรก แต่นี่ก็เป็นเวลา 12 ชั่วโมงที่อันตรายที่สุดเช่นเดียวกัน
…..
เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้ว สังคมของ Glassian ได้เข้าสู่ความสับสนวุ่นวายทั้งหมด ภายในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งแต่เดิมมีความสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย ความหวาดกลัวและความโกลาหลก็เริ่มรุนแรงขึ้น สังคมของ Glassian ทั้งหมดเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
"มนุษย์ต่างดาวกำลังมา ! "
"เราถึงจุดจบแล้ว ! ! "
ภายใน 2 ปีแห่งภาวะสงครามฉุกเฉิน รัฐบาลของ Glassian ได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นพลังแห่งความชั่วร้ายและไม่ใช่เป้าหมายที่จะคาดเดาได้; เพื่อรวบรวมผู้คนของพวกเขาทั้งหมด ผลที่ตามมาก็เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลของพวกเขาได้ประกาศคำเตือนฉุกเฉินโดยขอให้ประชาชนของพวกเขาทุกคนเข้าสู่ป้อมปราการใต้ดิน ซึ่งทำให้ทั้งสังคมตกอยู่ในความหวาดกลัว
ท่าอากาศยานที่ตั้งอยู่ใกล้กับดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัย เครื่องบินจำนวนมากได้เพิกเฉยต่อคำสั่งห้ามและละทิ้งดาวเคราะห์ของพวกเขาไปในทุกทิศทาง พยายามที่จะหลบหนีจากเขตสงครามที่อาจเกิดขึ้นได้
เจ้าของเครื่องบินส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาสามัญ และทหารรักษาความปลอดภัยซึ่งประจำการอยู่ที่ท่าอากาศยานก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่ได้ขัดขวางผู้คนจากการหลบหนี ทันใดนั้นเครื่องบินจำนวนมากก็ได้เข้าร่วมกับกองยานที่ละทิ้งหน้าที่ไป
ความสงบสุขที่ยั่งยืนมายาวนานทำให้จิตวิญญาณการต่อสู้ของ Glassians ได้ลดน้อยลง เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ พวกเขาสามารถภูมิใจและทะนงตนตลอดจนตอบโต้ได้ แต่ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญกับความตายและความหวาดกลัว ไม่มีใครที่จะมีจิตใจที่สงบสุขได้
สถานการณ์เลวร้ายลง กองยานขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อนที่ประจำการอยู่ใกล้กับดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยเพื่อรอคำสั่งก็ไม่สามารถทนต่อความเครียดและความกดดันได้ ส่งผลให้ยานเหล่านั้นที่อยู่ไม่ไกลจากดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยก็เริ่มใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนแนวโค้งของพวกเขาและเข้าร่วมกับคนที่ละทิ้งหน้าที่ การแตกกระเจิงของยานรบทำให้เกิดความหายนะครั้งใหญ่บนดาวเคราะห์ใกล้เคียง ครึ่งหนึ่งของเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของดาวเคราะห์ก็ได้กลายเป็นเศษโลหะในพริบตา อาวุธและอุปกรณ์ป้องกันพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงส่วนใหญ่ได้ถูกทำลาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้ทำให้ชาว Glassian ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก
ก่อนที่กองทัพยานรบของมนุษย์จะเดินทางมาถึง สังคมของ Glassian ก็ล่มสลายอย่างรวดเร็ว
Glassian แก่ ๆ ที่มีผิวหนังเหี่ยวย่นมองไปยังแหล่งที่มาของความยาวคลื่นอวกาศจากหน้าจอสามมิติในสำนักงานของผู้นำเมืองหลวงของ Glassian อย่างเงียบ ๆ ข่าวร้ายและการสูญเสียระเบียบสังคมทำให้เขาสิ้นหวัง
เดิมทีเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตที่คุกคามอารยธรรม Glassian พวกเขาก็จะรวมใจกันเป็นหนึ่ง แต่ตอนนี้สิ่งที่เขารู้สึกได้คือเขาค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมประเทศ
ในที่สุดเมื่อเขาได้ทราบข่าวการละทิ้งหน้าที่ของคนจำนวนมากที่ท่าอากาศยาน ซึ่งยาน 3 ลำของกองยานรบขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อนก็ได้เข้าร่วมการละทิ้งหน้าที่ด้วย เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ในที่สุดเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเขารู้สึกว่าโลกของเขากำลังหมุนและจวนเจียนจะเป็นลม ท้ายที่สุดเมื่อเขาคว้าที่ยึดเกาะได้เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ "นี่คือการทรยศ ! นี่คือการกบฏ ! ! ! ทำลายผู้รุกรานซะ ! นอกจากนี้ … .. ให้กองทัพออกคำสั่งเรียกและควบคุมเครื่องบินของพวกเขา"
เครื่องบินเหล่านี้เป็นความหวังสุดท้ายของ Glassians แม้ว่ามันจะไม่สามารถพา Glassians ไปได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ชาว Glassians ไม่สูญพันธุ์
สำหรับการทำลายอาวุธป้องกันดาวเคราะห์จำนวนเกินกว่าครึ่งที่นำโดยกองยานรบขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อนนั้น เขาไม่สนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นแล้ว
"มันจบแล้ว จบแล้ว…. Glassian ถึงวาระแล้ว"
ใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเกลียดชัง สิ้นหวังกับความแข็งแกร่งของมนุษย์และเกลียดชังต่อผู้ร่วมงานที่ห้ามเขาและอำนาจทางภูมิศาสตร์ของเขา ในที่สุดมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อนักธุรกิจที่ไม่ให้ความร่วมมือ
ชาว Glassian ไม่ควรตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ หากพวกเขารวมตัวกันและแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขา มันก็จะเกินพอที่จะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ แม้ว่าพวกเขาจะพบกับอันตราย แต่สังคมของ Glassian ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติของพวกเขาได้และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าสู่สภาวะสงครามได้อย่างสมบูรณ์
ไม่ได้แสดงถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของ Glassians แม้แต่สัก 1% สำหรับความมุ่งมั่นในเรื่องการทหาร แน่นอนว่าไม่มีความพยายามในการเข้าร่วมทางการทหารเลย
ชาว Glassian ถูกปกครองอย่างอิสระ อำนาจรัฐของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ส่วนกลาง นอกจากนี้ส่วนกลางก็ยังมีข้อจำกัดอีกด้วย และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีอำนาจปกครองส่วนใหญ่ ถ้าหากไม่มีผลดีในช่วงเวลาแห่งความสงบสุข เมื่อถึงเวลาของสงครามการปกครองที่กระจัดกระจายเช่นนี้จะไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตามในการเกลียดชังเรื่องเหล่านี้ เขาเกลียดคนที่อยู่ในตำแหน่งก่อนหน้าเขามากกว่า คนงี่เง่าคนนั้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ในตำแหน่งคนก่อนที่ตายไปนานแล้วสั่งให้ออกเดินทางไปยังโลก ตอนนี้ชาว Glassian ก็คงไม่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามเช่นนี้
เขาเป็นคนที่ก่อให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ เขาเป็นคนบาปสำหรับอารยธรรม Glassian ทั้งหมด เขาเป็นคนหนึ่งที่นำความพินาศมาสู่ชาว Glassian
ผู้นำของเมืองหลวงคนปัจจุบันของเผ่าพันธุ์ Glassian หน้าซีดเซียว อาจถึงเวลาที่ Glassian จะต้องล่าถอย มิฉะนั้น Glassian จะไม่สามารถหลบหนีได้เลย
…..
สี่ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดพวก Glassian ก็เริ่มทำการอพยพ
เครื่องบินหลายล้านลำบินออกจากดาวเคราะห์ทั้ง 3 ไปยังท่าอากาศยานที่ใกล้ที่สุด ในตอนแรกเนื่องจากมีการประกาศแผนการอพยพอย่างลับ ๆ จึงยังคงมีระเบียบในสังคมอยู่บ้าง ในที่สุดข่าวการอพยพก็แพร่กระจายออกไประเบียบสังคมทั้งหมดก็เข้าสู่ความสับสนวุ่นวาย อาชญากรรมทุกประเภทตั้งแต่การฆาตกรรมจนถึงการปล้นสะดมได้กระจายตัวอย่างรวดเร็วราวกับไวรัส
ในการเข้าสู่เครื่องบินที่อยู่ในท่าอากาศยาน แม้กระทั่งชาว Glassians ที่มีการศึกษามากที่สุดก็กลายเป็นคนที่มีความรุนแรงและไร้ความปรานีก็เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาเข้าไปในความจุที่จำกัดนั้นได้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง มันไม่เหลืออะไรนอกจากกลับกลายเป็นซากปรักหักพังและความโกลาหลอย่างไร้ขอบเขต มันอยู่ใกล้ปากเหวแห่งการทำลายล้าง
ท้ายที่สุดแม้แต่กองทหาร Glassian ก็ไม่อาจรอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนที่อพยพได้ กองทหารบางส่วนที่ถูกทอดทิ้งก็ก่อกบฏและเริ่มขโมยเครื่องบิน ดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยแต่ละแห่งก็ค่อย ๆ เข้าสู่ความวุ่นวาย ความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรงได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนที่สุดเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ
หลังจากมนุษย์เข้าไปใกล้ขึ้นอีกปีแสง พวกเขาก็ชะลอความเร็วลงทันทีเพื่อเริ่มจดจ่อกับการยิง
ณ ตอนนี้กองยานรบฝูงแรกของมนุษย์เหลือ 18 ลำ ในช่วง 7 – 8 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ยานรบทั้งหมด 12 ลำซึ่งประกอบด้วยทหาร 360 นายได้ถูกสังหารในระหว่างการเดินทาง ถ้าหากพวก Glassian รักษาวินัยทางทหารไปจนถึงที่สุดก็คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด
แต่ ณ ตอนนี้ Glassian ได้สูญเสียความหวังทั้งหมดแล้ว
ภายในพื้นที่แอบซ่อน เครื่องบินหลายแสนลำได้หนีออกจากดาวเคราะห์ Glassian ตลอดจนระบบดาวทั้งหมดของ Glassian ภายในยานทั้งหมดที่หนีไปเหล่านั้นคือยานบรรทุกสินค้า ยานรบขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อน และแม้แต่เครื่องบินเบาเหล่านั้น พวกมันทั้งหมดเป็นเหมือนแมลงหัวขาดที่หนีไปในทิศทางที่แตกต่างกัน แม้แต่ภายในดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยมันก็เหมือนกับทะเลเพลิง มีควันไฟอยู่ทุกหนทุกแห่งและความวุ่นวายก็รุนแรงมากขึ้น
แทบจะไม่มีใครสนใจกองยานรบของมนุษย์เลย แม้กระทั่งตอนนี้การโจมตีด้วยรังสีพลังงานสูงต่อกองยานรบของมนุษย์ก็ล้วนแต่เป็นการจัดการโดยกลไกการป้องกันของปัญญาประดิษฐ์
ถึงกระนั้นในที่สุดเมื่อมนุษย์ได้ผ่านหนึ่งวันแสงสุดท้ายที่มาถึง กองทัพยานรบของมนุษย์ก็ถูกทำลายเพียง 5 ลำเท่านั้น
แม้กับผลลัพธ์ดังกล่าว มันก็ทำให้ลูกเรือของยานรบมนุษย์ตะโกนด้วยความดีใจ พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้รับพรจากสวรรค์ และเมื่อถึงหนึ่งวันแสงสุดท้ายมันก็เป็นพื้นที่ป้องกันที่แน่นหนาที่สุดของพวก Glassians ยานรบของมนุษย์ที่พลีชีพนั้นก็ต่ำกว่า 2 วันแสงก่อนหน้านี้
ในระหว่างการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ยานรบไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอก และเพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ทราบว่าอารยธรรม Glassian ได้ล่มสลายไปแล้วก่อนที่การต่อสู้จริงจะเริ่มต้นขึ้นและได้เริ่มละทิ้งฐานที่มั่นของพวกเขาไป
เส้นทางการบินของกองยานรบขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อนทั้งหมดได้รับการวางแผนตามแผนที่ดาว ด้วยการระบุตำแหน่งของเรดาร์ความยาวคลื่นอวกาศและตรวจสอบระบบดาวของ Glassian มานานกว่าหนึ่งปี ข้อมูลการเคลื่อนที่ของวัตถุท้องฟ้าของระบบดาวจึงแม่นยำ ระยะขอบเขตของความผิดพลาดไม่เกิน 500 กิโลเมตร โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องหยุดเมื่อเข้าใกล้ระบบดาวเลยเช่นเดียวกับที่พวก Glassian ทำในครั้งที่แล้ว
หลังจากกองยานรบได้เข้าใกล้ดาวที่เป็นที่อยู่อาศัยแห่งแรกของ Glassians กองยานรบทั้งหมดก็เริ่มเรียงตัวกันเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ลำแสงที่สวยงามก็ส่งประกายจากท้องฟ้าอันมืดมิด และเมื่อแนวรูปพระจันทร์เสี้ยวเข้าใกล้ดาวเคราะห์นั้น ยานรบของมนุษย์ที่เหลือเพียง 14 ลำก็ค่อย ๆ หันปืนใหญ่เข้าไปหาและเริ่มบรรจุกระสุนปืน โดยที่ปากกระบอกปืนของพวกเขาเริ่มสว่างขึ้นทีละกระบอก ๆ ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า
วินาทีต่อมา 14 ลำแสงก็ถูกยิงไปยังดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยแห่งแรกด้วยความเร็วแสง มันดูราวกับเป็นดาวตก
นอกจาก 6 นัดที่พลาดดาวนั้นไปเล็กน้อย อีก 8 นัดที่เหลือก็พุ่งเข้าโจมตีดาวนั้นทันที
นี่เป็นพลังงานรังสีแกมมาชนิดความเข้มข้นสูง เมื่อผ่านความเชี่ยวชาญในเทคนิคการถ่ายโอนพลังงานควอนตัมของมนุษย์ จึงไม่มีข้อจำกัดกับประเภทของลำกล้องปืนที่ใช้ มันยังสามารถวางพลังงานซ้อนกันได้อย่างไม่จำกัด โดยเล็งพลังงานได้ไม่มีขอบเขต ทุก ๆ นัดของรังสีพอ ๆ กันกับขีปนาวุธปฏิสสาร 10 ตัน การยิงที่ทรงพลังทะลุทะลวงทำให้ส่วนหนึ่งของพลังงานทะลุผ่านแกนกลางของดาวเคราะห์นั้นทันที เมื่อเทียบกับขีปนาวุธปฏิสสาร อาวุธนี้สามารถสร้างความเสียหายต่อวัตถุในท้องฟ้าได้มากยิ่งขึ้น
กลิ่นของความตายที่เกิดจากรังสีความเข้มข้นสูง ราวกับว่ามันเป็นการตัดสินของพระเจ้า ในทันทีนั้นมันทะลุผ่านชั้นบรรยากาศเคลื่อนที่ผ่านพื้นดินของดาวเคราะห์ดวงแรก เปลือกของพื้นผิวได้กลายเป็นไอทันทีและไม่สามารถอยู่ได้แม้สักวินาทีเดียว
มันเหมือนกับว่าเวลาในขณะนี้ถูกทำให้หยุด
วินาทีต่อมาแสงที่สว่างจ้าอย่างฉับพลันก็เปล่งประกายไปทั่วทุกมุมของดาวนั้น กลืนแม่น้ำไปทีละแม่น้ำ กลืนเมืองไปทีละเมือง และกลืนทะเลสาบไปทีละทะเลสาบ ทั่วทั้งดาวกำลังสั่นสะเทือน
ผืนดินกำลังแตก ทะเลกำลังเดือด และลาวาใต้ดินเริ่มปะทุขึ้น และพายุเฮอริเคนก็เริ่มกระหน่ำทั่วดาวนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกระสุนของรังสีแกมมาโดนแกนกลางของดาวเคราะห์นั้นโดยตรง มันมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ก่อให้เกิดพายุที่น่ากลัว
ภายในไม่กี่วินาที 70% ของ Glassians ที่ยังคงอยู่บนดาวนั้นก็ได้ตายไป อีก 30% ที่เหลือก็ถูกฆ่าตายในนาทีถัดไป ภายใต้ความหายนะลักษณะนี้ไม่ว่าคุณจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้ ทัศนียภาพของดาวนั้นดูราวกับมันเป็นวันสิ้นโลก
กองยานรบของมนุษย์ไม่หยุดแค่นั้น พวกเขาหันกลับและเริ่มยิงใส่ดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยดวงที่สอง ทำให้เกิดการทำลายล้างของมนุษย์เหนือดาวนั้น
…..
การโจมตีของมนุษย์กินเวลา 3 ชั่วโมง ดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยทุกดวงถูกโจมตีอย่างน้อย 5 ระลอก เมื่อพลังงานของแบตเตอรี่อาวุธหมดกองยานรบก็เริ่มออกจากระบบดาว การปฏิบัติการ "เคลียร์ปัญหาหวงหลง” (Straighten out Huanglong) ประสบความสำเร็จ พวก Glassian ส่วนใหญ่ถูกสังหาร ถัดไปคือการกำจัดผู้รอดชีวิตที่เหลือทั้งหมดอย่างอดทน
อย่างไรก็ตามถึงตอนนั้นตัวชูโรงไม่ใช่กองยานรบเหล่านี้อีกต่อไป แต่เขาอยู่ในยานประจัญบานอวกาศของหน่วยข่าวกรองระดับสูง