Castle of Black Iron - Chapter 1999: เมื่อมีโชคก็มีความคิด
Chapter 1999: เมื่อมีโชคก็มีความคิด
ปัง…..
การโจมตีอันน่ากลัวจากคุกอมตะนี้ทำให้ทั้งวังโดนเผาจนชั้นต่ำกว่าแสงสวรรค์กลายเป็นเถ้า
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว อากาศที่นั่นก็ร้อนกว่าลาวา ในขณะเดียวกันพื้นดินก็แตกออกราวกับเกิดแผ่นดินไหว
หุ่นเชิดสีฟ้าตัวสุดท้ายในวังที่แข็งแกร่งพอๆกับจักรพรรดิได้แตกเป็นเสี่ยงจากการโจมตีของ จางเทีย ชิ้นส่วนร่างกระเด็นออกไปกว่าหมื่นเมตร แม้แต่หุ่นเชิดสีแดงกว่า 10 ตัวที่พุ่งมาหาเขาก็ยังโดนทำลายด้วยคลื่นกระแทกจากการโจมตีครั้งนี้
หุ่นรบกว่า 1,000 ตัวได้รับความเสียหายหนักจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องจาก จางเทีย ขบวนรบของพวกมันมีช่องโหว่ จางเทีย ได้ฝ่าเข้าไปในวังและมาถึงวังภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในทันที
มันคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยซากที่แผ่พลังฉีอันแข็งแกร่งออกมาภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
แม้ว่ามันจะเป็นครั้งที่สองที่เขาเห็นแบบนี้แต่ใจของ จางเทีย ก็ยังต้องหล่นวูบเมื่อเห็นทุกอย่างในมิตินี้ ฉากภายในบนท้องฟ้าและตึกที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานได้แฝงไปด้วยพลังงานบางอย่าง มันทำให้ จางเทีย ตะลึงกับมัน
ท่ามกลางซากพวกนี้มีหอคอยขาวบริสุทธิ์ตั้งอยู่สูงขึ้นไปยังท้องฟ้า
หอคอยสูงตั้งอยู่ตรงหน้าเขาแต่ จางเทีย ไม่ได้มีเวลาที่จะอึ้งไปกับมันเพราะมีหุ่นรบกลุ่มใหญ่กำลังไล่ตามเขามา พวกหุ่นรบเหล่านั้นไม่เคยกลัวสิ่งใด
จางเทีย ไม่ได้เสียเวลากับหุ่นรบเพราะเขารู้สึกถึงผลการใช้สายเลือดเทพต่อสู้ที่ลดลง เขารีบวิ่งไปยังหอคอยโดยเดินทางได้หลายหมื่นเมตรต่อก้าว
ทางเข้าหอคอยยังคงสมบูรณ์ดีอยู่ แสงได้แผ่ออกมาจากทั้งสองฝั่งของทางเข้า ทางเข้านี้ไม่ใช่ประตูแต่เป็นม่านแสง ตอนที่ จางเทีย โดนไล่ตามโดยหุ่นรบ ไม่นานเขาก็ไปถึงที่ทางเข้าด้านล่างหอคอยก่อนจะเข้าม่านแสงไป
ตอนที่ จางเทีย เข้าไปในม่านแสง หุ่นรบต่างก็หยุดนิ่งในทันที
ในฝันตอนที่ จางเทีย และ ตังเหมย มาที่นี่ พวกเขาได้เข้าไปในวังมิติวิญญาณและพักอยู่ที่นั่นอยู่หลายวัน หลังจากที่ฟื้นฟูพลังขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ได้สำรวจต่อ ครั้งนี้ จางเทีย รู้สถานการณ์ในแสงสวรรค์อยู่แล้ว เขาเข้ามาที่ชั้นสูงสุดของหอคอยจากทางเข้าโดยไม่ลังเลรึพัก
ตอนที่ จางเทีย เข้าไปในม่านแสง มันก็มีฟองโปร่งใสห่อหุ้มตัวเขาจนทำให้เขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับว่าขึ้นลิฟต์ ไม่นานฟองนั้นก็แตกออก จากนั้น จางเทีย ก็เข้าสู่แสงสวรรค์
เมื่อมาถึงเงาของเทพต่อสู้ก็หายไปทันที ในขณะเดียวกันเขาก็เซไปด้านหน้าเพราะความมึน
ทุกอย่างที่นี่ยังเป็นเหมือนในครั้งที่แล้ว พื้นดินที่นี่เต็มไปด้วยศพและชิ้นส่วนของหุ่นรบเทพดุดันซึ่งแผ่แสงสีแดงออกมา
เพราะ จางเทีย รู้สึกได้ถึงผลจากการใช้สายเลือดเทพต่อสู้ เขาจึงวิ่งไปที่ข้างน้ำพุเก้าสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ หลังจากนั้นเขาก็ไปนั่งข้าบ่อและมุดหัวลงไปในน้ำพุก่อนจะเริ่มดื่ม
ถ้าเขาไม่รู้ว่าเขาสามารถแก้ไขผลจากการใช้สายเลือดเทพต่อสู้ด้วยน้ำพุได้ในเวลาอั้นสั้นหลังจากที่มาที่นี่ เขาคงไม่มีทางใช้สายเลือดเทพต่อสู้ตามใจชอบในหอคอยเอื้อมสวรรค์
ในฝันเขา จางเทีย ใช้เวลาเกือบเดือนจากทางเข้าจนถึงชั้นสองของภูเขาซากมายังชั้นบนสุดของแสงสวรรค์แต่ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงวันเดียวที่จะมาถึงชั้นนี้ได้จากด้านล่าง
จางเทีย ได้ใช้สายเลือดเทพต่อสู้และร่างแยก 6 ร่าง อีกอย่างแล้วเขาไม่สนใจคริสตัลธาตุและไม้สวรรค์ตลอดทางที่มาถึงที่นี่ เขาต้องการเพียงแค่มาถึงที่นี่ในเวลาที่สั้นที่สุด
เหตุผลสำคัญที่ จางเทีย รีบเร่งคือเขารู้ว่าหอคอยเวลาในพื้นที่ลับในการควบคุมของปิศาจจะใช้งานได้ในครึ่งเดือน จางเทีย สามารถบ่มเพาะด้านในได้ 20 ปี ระหว่างนั้นเขาจะขึ้นไปถึงขั้น 4 ของจักระอตะได้ เขาต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้
ในฝันเพื่อจะออกจากดินแดนโม่เทียนไปยังไทเซียให้เร็วที่สุด จางเทีย พลาดโอกาสไปหลายอย่างทั้งในดินแดนโม่เทียนและภูเขาซาก ครั้งนี้เขาจะไม่ทำแบบเดิมอีก
หลังจากที่ดื่มน้ำพุเก้าสวรรค์เข้าไป เขาก็เห็นผลของมันทันที ในพริบตาความอ่อนแอจากการใช้สายเลือดเทพต่อสู้ก็หยุดลง หลังจากนั้น จางเทีย ก็รู้สึกว่าพลังของเขาฟื้นฟูกลับมาช้าๆ
เผื่อว่าจะมีปัญหา จางเทีย ลุกขึ้นยืนและเก็บน้ำพุเข้าไปในปราสาทเหล็กดำ
สิ่งที่โผล่มาในสายตาเขาก่อนคือชิ้นส่วนของเทพดุดันที่กระจายไปทั่วพื้นห้อง
ทุกส่วนของเทพดุดันนี้คือพลังงาน แต่ละส่วนได้แผ่แสงสีแดงออกมา ตามที่ ตังเหมย บอกมา มีแค่เทพดุดันที่สร้างจักระอมตะสองอันและเหนือกว่านั้นที่มีแสงแบบนี้หลังจากที่ตาย ตามความทึบของสี มันบอกได้ถึงระดับการบ่มเพาะของเทพดุดันก่อนที่จะตาย สีของแสงเลือดที่ชิ้นส่วนนี้มีคือคนที่สร้างจักระอมตะได้สองอันซึ่งจะดูจางกว่าพวกที่สร้างได้สามอันเล็กน้อย
ชั้นของแสงสวรรค์นี้เต็มไปด้วยชิ้นส่วนของเทพดุดัน หลังจากที่นับดูคร่าวๆแล้ว จางเทีย ก็พบว่ามีเทพดุดันอย่างน้อย 100 คนที่นี่ ถ้าเทพดุดันพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็สามารถเป็นผู้มีอำนาจในหมู่มนุษย์รึปิศาจได้และเข้าปกครองดินแดนโม่เทียนได้แต่ตอนนี้ทุกคนตายไปหมดแล้วเหลือทิ้งไว้แต่ซากที่แสดงถึงพลัง จางเทีย น่ะเริ่มสงสัย
เอาจริงๆแล้ว จางเทีย ไม่รู้เป้าหมายของชิ้นส่วนหล่านี้จนถึงตอนนี้แต่มันเป็นสัญชาตญาณของเขาที่รู้สึกว่าของพวกนี้จะช่วยเขาได้อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเก็บพวกมันทั้งหมดเข้าไปในปราสาทเหล็กดำ
หลังจากที่เก็บชิ้นส่วนเหล่านั้นแล้ว เขาก็เก็บเอาบอลมิติของดินแดนโม่เทียนเข้าไปในปราสาทเหล็กดำ…
ตอนที่บอลมิติเข้าไปในปราสาทเหล็กดำ จางเทีย ได้ยินเสียงแนะนำของ เฮลเลอร์ – " เจ้าของปราสาท บอลมิติได้เข้ามาในปราสาทเหล็กดำแล้ว ท่านต้องการรวมมันเดี๋ยวนี้เลยรึเปล่า ?"
จางเทีย ต้องการจะตกลงแต่เขาก็นึกถึงตอนที่เขาพบกับเจ้าปิศาจในมิติปั่นป่วนตอนที่ออกจากดินแดนโม่เทียนไป
'ตอนที่ข้ามายังดินแดนโม่เทียน ข้าไม่ได้พบกับเจ้าปิศาจระหว่างทางแต่ตอนที่ข้าออกจากดินแดนโม่เทียนไป ข้าก็ได้พบกับมัน ทำไมกัน ? ถ้าเจ้าปิศาจควบคุมสถานการณ์ในมิติปั่นป่วนได้ มันก็น่าจะฆ่าข้าไปแล้วตอนที่ข้ามายังดินแดนโม่เทียนครั้งแรก ตอนนั้นข้าอยู่ในสภาวะอ่อนแอที่สุด ถ้ามันโจมตีข้าตอนนั้น ข้าคงตายไปแล้ว เมื่อเป็นแบบนั้นแม้แต่จักรพรรดิมังกรคนเก่าก็ไม่อาจจะออกจากดินแดนโม่เทียนได้ เมื่อข้าสามารถมายังดินแดนโม่เทียนได้และจักรพรรดิมังกรก็ออกจากดินแดนโม่เทียนได้โดยไม่พบอุปสรรค มันก็หมายความว่าเจ้าปิศาจนั้นไม่รู้เรื่องในมิติปั่นป่วนทั้งหมด ถ้างั้นทำไมเจ้าปิศาจถึงได้ขวางทางข้าตอนที่ออกจากดินแดนโม่เทียน ? บางอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนโม่เทียนดึงความสนใจมันรึข้าทำอะไรในที่ราบเทพที่ทำให้เจ้าปิศาจได้หันมาสนใจ ไม่งั้นแล้วหากนับทั้งสองเหตุผล ถ้ามันเป็นเหตุผลแรก สถานการณ์ผิดปกติที่กินเวลากว่าครึ่งเดือนในดินแดนโม่เทียนที่เกิดขึ้นโดยการหลอมรวมเข้ากับปราสาทเหล็กดำและบอลมิติก็คงดึงความสนใจจากเจ้าปิศาจ '
ในตอนที่ความคิดพวกนั้นโผล่มาในหัว จางเทีย ก็ได้ตัดสินใจ
" เฮลเลอร์ อย่าเพิ่งรวม ข้าจะกลับไปที่ไทเซียก่อน ไม่ว่ายังไงก็ตามบอลมิติก็อยู่ในปราสาทเหล็กดำ รอไปอีกสักหน่อยเถอะ ! "
" ตามที่ท่านต้องการ เจ้าของปราสาท ! "
หลังจากนั้น จางเทีย ก็เก็บน้ำพุเก้าสวรรค์เข้าไปในปราสาทเหล็กดำด้วย
มันมีสำนวนในหมู่คนจีน — ตอนที่เราโชคดี เราก็จะมีความคิดดีๆ มันยังมีสิ่งที่เรียกว่าโดนผีสิง พวกเขาหมายถึงสภาพจิตใจที่แตกต่างกันที่นำไปสู่โชคดีรึโชคร้าย
หลังจากที่ตัดสินใจยังไม่รวมบอลมิติกับปราสาทเหล็กดำ จางเทีย ก็ผ่อนคลายทันที ไม่นานหลังจากที่เก็บน้ำพุไป เขาก็ได้ความคิดอีกอย่าง ' ต้นผลไม้จะโตขึ้นและใหญ่ขึ้นให้ผลไม้มากขึ้นด้วยน้ำ เมื่อต้นไม้เล็กนั้นก็คือต้นไม้ มันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมด้วยน้ำพุเก้าสวรรค์หรือไม่ ? บวกกับชิ้นส่วนร่างเทพดุดัน เมื่อเถ้าของเทพด้านในเตาเลือดเป็นปุ๋ยชั้นดีและใช้กับชาวิญญาณปิศาจได้ ข้าสงสัยว่าต้นไม้เล็กจะให้อะไรดีๆเมื่อใช้ชิ้นส่วนของเทพดุดันเป็นปุ๋ย ? '
เมื่อคิดแบบนั้น จางเทีย ก็ตะลึงทันทีเพราะเขาตระหนักได้ว่าเขายังไม่เคยรดน้ำรึให้ปุ๋ยกับต้นไม้เล็กเลยตั้งแต่ที่ได้มันมา เขามักจะเก็บผลไม้จากต้นไม้เล็กแต่เขาไม่เคยคิดว่าต้นไม้เล็กนี้คือสิ่งมีชีวิต…..
หลังจากที่กลืนน้ำลายอยู่สักพัก จางเทีย ก็รวบรวมสติและถาม เฮลเลอร์ – " เฮลเลอร์ ต้นไม้จะเปลี่ยนไปยังไง…หากข้ารดน้ำด้วยน้ำพุเก้าสวรรค์ ? "
ครั้งนี้ เฮลเลอร์ เงียบไปกว่า 10 วินาทีก่อนจะตอบกลับอย่างใจเย็น – " เจ้าของปราสาท ท่านรู้ว่าข้าตอบบางคำถามไม่ได้ ! "
หลังจากที่ได้ยินคำตอบนั้น จางเทีย ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด เขากลับตื่นเต้นขึ้นมาทันทีจนแทบจะกระโดด หัวใจเขาเต้นรัว มันมีคำถามสองแบบที่ เฮลเลอร์ ตอบไม่ได้ มันเกี่ยวกับการบ่มเพาะและเกี่ยวกับการผ่านเงื่อนไขของต้นไม้เล็ก
คำตอบของคำถามแรกต้องให้ จางเทีย สำรวจเอง สำหรับคำตอบของคำถามที่สองมันขึ้นอยู่กับโชคของเขา ถ้าเขาผ่านเงื่อนไขการให้ผลไม้ เขาก็จะได้ผลไม้ เฮลเลอร์ ไม่มีทางชี้แนะรึใบ้ให้ยกเว้นว่า จางเทีย ทำตัวตรงเงื่อนไข
ในฝันตลอดหลายปีมานี้ เฮลเลอร์ ไม่เคยพูดถึงน้ำพุเก้าสวรรค์เลย จางเทีย เองก็ไม่เคยคิดการเกี่ยวโยงระหว่างน้ำพุกับต้นไม้เลยด้วย….
'เหี้ย งั้นไม่ใช่ว่าน้ำจะนำไปสู่ไม้ในสูตรห้าธาตุที่ข้าบ่มเพาะรึไง ? ข้าลืมเรื่องกฎง่ายๆไปได้ยังไง ….'