สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 466 : ยังคิดว่าข้าหยิ่งอยู่อีกหรือไม่?
WSSTH บทที่ 466 : ยังคิดว่าข้าหยิ่งอยู่อีกหรือไม่?
“เก๋อหลู่! เก๋อหลู่!!” เมื่อป้าเอ๋อเห็นว่าการส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดไม่อาจปลุกสติเก๋อหลู่ได้ มันจึงร้องเรียกอีกฝ่ายออกมาด้วยเสียงเข้มๆแทน
แต่ไม่ว่ามันจะตะโกนร้องเรียกอยู่นานเท่าไหร่ เก๋อหลู่ก็หาได้มีปฏิกิริยาใดๆตอบสนองไม่
ซู่ว…!
ยามสายลมสบายพัดผ่านสวนหลวงแห่งนี้… ทั้งราชาและคนอื่นๆ ล้วนรู้สึกเสมือนคล้าย สายลมนั้นเหน็บหนาวลงโดยพลัน นำพาความยะเยือกมาสู่ผู้คนนัก…
ตอนนี้นอกจากเสียงวิงวอนร้องขอชีวิตอันน่าเวทนา กับเสียงตะโกนเรียกเก๋อหลู่ๆ ที่ดังสนั่นลั่นสวนแล้ว ภายในสวนหลวงก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใด
"เจ้า… เจ้าทำอันใดกันแน่?" ป้าเอ่อถอนสายตาจากเก่อหลู่ หันไปจับจ้องยังร่างต้วนหลิงเทียน พร้อมแผดเสียงตะโกนถาม
น้ำเสียงของป้าเอ่อยังมีร่องรอยความสั่นสะท้านแฝงไว้ไม่น้อย
ในตอนนี้หากมันยังไม่ล่วงรู้ ว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นฝีมือของชายหนุ่มที่นั่งข้างราชาเป็นผู้ลงมือกระทำ เกรงว่าชีวิตที่ผ่านมาของมัน…คงยิ่งกว่าสูญเปล่าไร้ค่าแล้ว!
แต่จะอย่างไรก็ตาม วิธีการลึกลับเช่นนี้ของชายหนุ่ม… นับว่าทำให้มันหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลังนัก!
ชายหนุ่มนั่นเพียงนั่งอยู่บนโต๊ะเช่นนั้น ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย …เพียงแค่แผดเสียงดุร้ายออกมาคำเดียว เก๋อหลู่ก็เริ่มคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมร้องขอชีวิตแล้ว…กระทั่งยังร้องฟูมฟายนานมาจนถึงบัดนี้มิเลิกรา
นี่มันความสามารถวิชาอันใดกัน!?
วิชาปีศาจหรือไร!
อันที่จริงแล้วตอนนี้ทุกคนก็คิดไปในทิศทางเช่นนี้ทั้งสิ้น แม้ความคิดนี่จะค่อนข้างเหลวไหล แต่มันก็ยากนักที่จะโยนทิ้ง…
“หรือศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนมีวิชาปีศาจจริงๆ?” เรื่องราวตรงหน้าก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับโม่อี้เช่นกัน
พร้อมกันนั้นโม่อี้ก็อดนึกย้อนไปถึง นิกายกระบี่ 7 ดาวในวันที่มีการประลองเป็นตายบนยอดเขาเทียนชูวันนั้น
นัดหมายประลอง 2 ปีของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนกับนายน้อยกู่ฉิน
นายน้อยกู่ฉินเองก็คล้ายเป็นคนเสียสติไปเช่นเดียวกัน …และไม่อาจทำอะไรศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนได้เลย…
ตอนนั้นคนส่วนมากของนิกายกระบี่ 7 ดาว รวมถึงตัวโม่อี้เอง ก็คิดว่านายน้อยกู่ฉินได้เสียสติไปเพราะอาการป่วยแล้วจริงๆ ถึงได้แพ้ต้วนหลิงเทียนเช่นนั้น
แต่ตอนนี้โม่อี้ไม่ได้คิดแบบนั้นอีกต่อไป
มันเริ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในวันนั้น…
‘ตอนที่นายน้อยกู่ฉินจะจากไป มันกล่าวเน้นย้ำซ้ำๆว่า ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนใช้วิชาปีศาจ…ดูท่าแล้วศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนคงรู้วิชาปีศาจ หรือวิชามารอะไรจริงๆเป็นแน่… ไม่สิ! มันคงเป็นความสามารถลี้ลับอะไรสักอย่าง ยากที่ข้าจักเข้าใจมากกว่า’ โม่อี้คิดในใจอย่างหวาดหวั่น สายตาที่มองต้วนหลิงเทียนยิ่งเคารพนับถือมากขึ้นไปอีก
ตอนนี้นอกจากองค์หญิงปี้เหยาแล้ว ทุกคน รวมถึงราชา และนี่เหวี่ย กระทั่งนี่เฝิน ล้วนบังเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกยามมองไปยังต้วนหลิงเทียน
นี่เพราะภาพเรื่องราวตรงหน้าของพวกมัน พิสดารเกินไป
“ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าข้าหยิ่งอยู่หรือไม่?” ต้วนหลิงเทียนมองไปด้วยท่าทางเย็นชา กล่าวถามป้าเอ่อด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
ตอนนี้ยังคิดว่าข้าหยิ่งอยู่หรือไม่?
เมื่อคำกล่าวถามนี้ของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูผู้คน อดไม่ได้ที่ทั้งหมดจะหวนนึกถึง คำกล่าวที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยต่อเก๋อหลู่ก่อนหน้านี้
“หากเจ้าอยากให้ข้าลงไป นั่นต้องดูก่อนว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่…”
ในตอนนั้นความคิดแรกที่ทุกคนมีก็คือ ต้วนหลิงเทียน หยิ่งยโส!
ต้วนหลิงเทียนหยิ่งยโสเกินไป!
ตอนนั้น….คงไม่มีใครคิดคาดว่า…ต้วนหลิงเทียนจะเอาชนะเก๋อหลู่ได้แม้ไม่ลงไปประลอง!
แต่ตอนนี้ผู้คนที่มาร่วมงานทั้งหมด เข้าใจได้หมดสิ้นแล้ว
ที่แท้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หยิ่ง แต่เขามีความสามารถจริงๆ
ข้อเท็จจริงเบื้องหน้าก็ชี้ให้เห็นชัดเจนแล้ว ว่าเก๋อหลู่ไร้ซึ่งคุณสมบัติให้ต้วนหลิงเทียนลงมาจริงๆ
"เจ้า… " ป้าเอ่ออดมีโทสะขึ้นมาไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงกล่าวต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไร้คำใดจะโต้เถียงย้อนแย้ง มีเพียงความเย็นเยือกในใจที่ค่อยๆก่อเกิดขึ้นมา
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” ป้าเอ่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวถามเสียงเข้ม “เจ้าเป็นคนของอาณาจักรนภาล่อง จริงๆหรือ?”
“หืม? ตอนนี้เจ้ายังสงสัยว่าข้าเป็นคนของอาณาจักรนภาล่องหรือไม่… เหมือนกับที่สงสัยศิษย์น้องของข้างั้นเหรอ?” ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น สายตาที่มองไปยังเผยความดูแคลนหยามหยัน
เขามักดูถูกพวกแพ้แล้วไม่ยอมรับ!
“ฮายๆ…เอกอัครราชทูตป้าเอ่อแห่งอาณาจักรตะวันรุ่ง…ท่านยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกหรือ? ยังกล้าสงสัยอีกหรือ? ว่าเขาเป็นคนของอาณาจักรนภาล่องหรือไม่? หรือบางทีท่านอาจจะจดจำนาม ต้วนหลิงเทียน นี่ไม่ได้? เช่นนั้นท่านสมควรรู้เรื่อง ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่เรื่องระบือไม่กี่ปีก่อนใช่หรือไม่?”
“ท่านเองก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องราว ของอัจฉริยะดาวกุนซือ ของสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งอาณาจักรนภาล่อง ที่ใช้กลยุทธ์เลิศล้ำตีเมืองชัยชนะของอาณาจักรหนานหมันได้ โดยไม่เสียทหารแม้แต่คนเดียว ใช่หรือไม่..?.”
“ท่านน่าจะต้องเคยได้ยินเรื่องราวของสุดยอดอัจฉริยะไร้ผู้ต้าน ที่เลื่องระบือไปทั่วอาณาจักรนภาล่อง เมื่อไม่กี่ปีก่อนใช่หรือไม่?” เซี่ยวฉินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของตระกูลเซี่ยวเผยท่าทางูแคลนออกมาขณะมองไปยังป้าเอ่อ คำที่กล่าวยังเสียดสีอีกฝ่ายไม่น้อย คมคายปานมีดโกน!
ตั้งแต่ที่เซี่ยวฉินเริ่มพูด สีหน้าของป้าเอ๋อก็ยิ่งดำคล้ำจนน่านำไปฝนหมึกอยู่แล้ว พอกล่าวจบหน้ามันก็บิดเบี้ยวแทบไม่เป็นหน้าคน!
และเมื่อมันฟังเซี่ยวฉินกล่าวจบ มันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน ด้วยสายตาราวกับเห็นผี “เจ้า…เจ้า คือตัวประหลาด ที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียน ….ที่รู้จักกันไปทั่วอาณาจักรนภาล่องไม่กี่ปีที่แล้วเช่นนั้นหรือ? ข้าก็มิแปลกใจเลย ว่าใยยามที่ได้ยินเสียงพวกมันกล่าวเรียกหาเจ้าก่อนเริ่มประลองกระชับมิตร ข้าถึงได้บังเกิดความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลานัก…ที่แท้กลับเป็นเจ้า เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ”
ตอนแรกนั้นเมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึงพร้อมกับองค์ราชา เซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉิน ก็ร้องเรียกชื่อเขาออกมา
ตอนนี้ป้าเอ่อเข้าใจแล้ว
สุดท้ายสีหน้าของป้าเอ่อก็ยิ่งหม่นหมองลง เห็นได้ชัดว่ามันเคยได้ยินเรื่องราวและชื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนมาจริงๆ…
นอกจากนี้มันยังรู้อีกด้วย…ว่าต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่องไป
“ข้าเองก็คิดไม่ถึง ว่าเอกอัครราชทูตจะรู้จักข้าด้วย! …ข้าล่ะทึ่งกับความโปรดปรานไม่คิดฝันครั้งนี้จริงๆ”
ตอนนี้ป้าเอ่อหน้าหมองลงไปโดยพลัน นี่เพราะมันรู้กระจ่างแจ้งในใจแล้ว ว่าครานี้ต้องพบพานความผิดหวัง!อาณาจักรตะวันรุ่งของมันแพ้พ่ายแล้ว!!
แผนการที่อาณาจักรตะวันรุ่งของมันแผนไว้อย่างดิบดีว่าต้องสำเร็จเป็นผล ทว่าร้อยพันหมื่นคิดไม่อาจคาด ว่าตัวแปรที่พลิกชะตาอาณาจักรนภาล่องอย่างต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัว
พวกมันกลับกลายเป็นพ่ายแพ้ย่อยยับ!
“ฝ่าบาท ครั้งนี้อาณาจักรตะวันรุ่งของข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจักรีบเดินทางกลับไปทูลกล่าวองค์ราชาของข้าให้จัดการเรื่อง ส่งมอบภาษี 3 ปีของอาณาจักรให้รวดเร็วที่สุด”ป้าเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันโค้งคำนับราชาก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป
อย่างไรก็ตามภาพเก๋อหลู่ที่ยังคุกเข่าร่ำร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนานั้น ก็ทำให้ท้องมันบิดมวนไม่น้อย
มันขบเคี้ยวฟันฟางดังกรอดๆ แต่มันไม่คิดจะลดศักดิ์ศรีตัวเองไปอ้อนวอนร้องขอให้ต้วนหลิงเทียนรามือ สุดท้ายป้าเอ่อ ก็ลงมือตบฟาดฝ่ามือซัดเก๋อหลู่จนปลิวกระเด็นไปไกล คนสลบลงไปในทันใด หลังจากนั้นมันก็นำพาเก๋อหลู่และคนอื่นๆกลับไป ด้วยแผ่นหลังอันน่าสมเพช
"ฮ่าๆๆ… " คนส่วนใหญ่ของอาณาจักรนภาล่อง ไม่เว้นกระทั่งองค์ราชา ไม่อาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้อีก ต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อเห็นสภาพของคนตะวันรุ่ง …ยามมามาอย่างเสือ ยามกลับคลับคล้ายแมวเซา…
ทั้งหมดต่างหัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลัง ด้วยความพอใจและสะใจอย่างถึงที่สุด ยากนักที่จะระงับได้ในเวลาอันสั้น
หลังจากผ่านไปสักพัก องค์ราชาก็เลิกสรวลแล้วกลับมาสู่ความรู้สึก มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน “ผู้บัญชาการต้วน เรื่องก่อนหน้าเจ้าลงมือกระทำได้อย่างไร?”
ข้าลงมือกระทำได้อย่างไร?
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เรื่องนี้เขารู้อยู่แล้วว่าจะถูกไถ่ถาม
ก่อนหน้านี้ เมื่อเก๋อหลู่จากตะวันรุ่งท้าทายและยั่วยุเขา เขาก็เริ่มส่งพลังวิญญาณไปยังตราประทับจิต ก่อนที่จะใช้อำนาจจิต พันมายาลวงตาออกมา
เมื่อพันมายาลวงตาถูกใช้เช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรก กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์แรกสัมผัสธรรมชาติขั้นแรก ที่ไม่ใช่ผู้จารึกอาคมก็ไม่มีสิทธิ์รอด
แน่นอนว่าหากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นแรก พลังวิญญาณก็สมควรกล้าแข็งไม่น้อย ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะใช้อำนาจจิตพันมายาลวงตาออกมา แต่ผลกระทบที่อีกฝ่ายได้รับ ก็จะไม่หนักหนาร้ายแรงเท่าที่เก๋อหลู่ประสบ
เก๋อหลู่มันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรกเท่านั้น พลังวิญญาณของมันกับต้วนหลิงเทียน ห่างกันหลายขุม แทบไม่ต่างจากผู้ใหญ่กับเด็ก
นั่นทำให้อำนาจจิตที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออก สะกดและครอบงำทุกประสาทสัมผัสของเก๋อหลู่ได้อย่างสมจริงถึงที่สุด! ไร้ซึ่งหนทางต่อต้านใดๆ กลายเป็นปลาบนเขียงให้ต้วนหลิงเทียนสับแล่ตามแต่ใจต้องการ
ก่อนหน้าก็เป็นต้วนหลิงเทียนใช้พันมายาลวงตาออกมา กินอาณาเขตครอบคลุมไปทั่วรอบๆบริเวณของเก๋อหลู่
ภายในนั้นต้วนหลิงเทียนสร้างภาพลวงตาอันสมจริงอย่างที่มันไม่อาจแยกออก สร้างภาพที่ทำให้มันหวาดกลัวสยดสยอง จนต้องคุกเข่าลงไปวิงวอนร้องขอชีวิต
ต้วนหลิงเทียนที่นิ่งคิดไปอยู่นานก็คืนสติอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นว่าตอนนี้ผู้คนทั้งหมด จับจ้องมองมาที่เขาอย่างใจจดจ่อ
เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย
"ข้าเองก็ไม่รู้จะอธิบายความสามารถนี้ของข้าอย่างไรดี เอาเป็นว่า…ทุกคนเรียกมันว่าวิชาปีศาจก็แล้วกัน"ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ออกมาก่อนจะกล่าวตอบคำด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
คนทั้งหมดในที่นี้ ย่อมรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียน ไม่อยากจะกล่าวอะไรถึงเรื่องนี้อีก
เพราะจะอย่างไรคนทุกคนล้วนมีความลับส่วนตัวที่ไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครรู้ทั้งสิ้น ..ใครที่อยากสอดรู้ความลับผู้อื่น นั่นย่อมกลายเป็นคนน่ารังเกียจแล้ว…
“แย่ยิ่งนัก พี่ใหญ่หลิงเทียน…เมื่อใดที่พลังวิญญาณของข้าจะตัดผ่านระดับหยั่งรู้ธรรมชาติบ้างกันนะ…? ฮึ่ม! หากพลังวิญญาณของข้าตัดผ่านไปยังระดับหยั่งรู้ธรรมชาติได้ล่ะก็…ข้าจักสามารถปลุกตราประทับจิตของข้าได้ และข้าจักได้ใช้อำนาจจิตได้เช่นกัน ฮิฮิ…ถึงยามนั้นข้าจะนำไปกลั่นแกล้งผู้คนให้ตกตะลึงหวาดกลัว” น้ำเสียงเด็กสาวตัวน้อยอันไร้เดียงสา ดังขึ้นมาในหูต้วนหลิงเทียน
นำไปกลั่นแกล้งผู้คน?
แม้เสียงจะด้อยเดียงสา แต่ยามต้วนหลิงเทียนได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมา …ยังหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลัง
เสี่ยวจินนี้…แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่หนูนิสัยดีเรียบร้อยแต่แรกแล้ว…
นี่หากนางเกิดปลุกตราประทับจิตและใช้อำนาจจิตได้ ผู้คนไม่เดือดร้อนไปทั่วกับการเล่นซนของมันหรือ?
“วันนี้นับว่าข้ามีความสุขนัก ข้าจักให้คนไปจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถือเสียว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของผู้บัญชาการต้วน…เชิญท่านเจ้าพระยาและประมุขทั้งหลาย ร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำ ร่วมฉลองความยินดีในชัยชนะและการกลับมาของผู้บัญชาการต้วนนี้ด้วย”
"รับด้วยเกล้า!" ย่อมไม่มีใครคิดปฏิเสธคำชวนเชิญของราชา
หลังจากนั้นราชาก็ไปสั่งการเรื่องราว ให้ข้ารับใช้ในวังเตรียมจัดงานเลี้ยงยามค่ำคืนทันที…
…
ในระหว่างมื้ออาหารค่ำครานี้ โม่อี้ และต้วนหลิงเทียนย่อมเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะประมุขตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ต่างมาเลียบๆเคียงๆ กล่าวถึงเรื่องชักชวนให้โม่อี้เข้าร่วมตระกูล กระทั่งยังพยายามยัดเยียดสมาชิกหญิงอันโดดเด่นในตระกูล และพามาห้อมล้อม แนะนำแก่โม่อี้…นี่ทำให้หน้ามันเริ่มแดงเป็นตำลึงสุก!
“ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน..”ตอนนี้โม่อี้ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว มันจึงหันมาหาที่พึ่งสุดท้ายอย่างต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเองก็โดนซักถามจนวุ่นวายไม่น้อย เขายังจะไปช่วยอะไรโม่อี้ได้? เขากลับเลือกที่จะกล่าวคำผลักดันโม่อี้ลงสู่ขุมนรกอันสวยงามในทันใด “โม่อี้…ข้าเองก็คิดว่าประมุขทั้ง 3 ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว เจ้าเองก็โตแล้วไม่ใช่เด็กน้อยไม่ประสาอะไร…อืม…จะว่าไปหากเจ้าแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี…”
“มิผิด!” ประมุขทั้ง 3 รีบกล่าวคำเห็นด้วยออกมาอย่างฮึกเหิม ต่างใช้สายตาหมาป่าจับจ้องไปยังลูกแกะตัวน้อยน่าสงสารอย่างโม่อี้เขม็ง เหล่าสตรีทั้งหลายก็เริ่มเดินไปรุมล้อมอย่างมีมารยาท ทว่าส่งสายตาร้อนแรงจนมันต้องหลั่งเหงื่อเย็น…
เมื่อเห็นเรื่องนี้ โม่อี้เพียงทำได้กล่าวปลอบตัวเองเท่านั้น “ข้าถูกศิษย์พี่ขายเสียแล้ว…”
“ผู้บัญชาการต้วน เจ้าก็พาปี้เหยาไปเดินเล่นเสียหน่อยสิ” ราชามองไปยังปี้เหยา ก่อนที่จะหันมาจับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันเองก็พยายามหาราชบุตรเขยดีงามมากมายให้ปี้เหยา แต่บุตรสาวของมันกลับเอาแต่คิดถึงต้วนหลิงเทียนทุกคืนวัน…
นี่ทำให้คนเป็นพ่ออย่างมัน รู้สึกจนปัญญาสุดใจ…
ต้วนหลิงเทียนจะไม่เข้าใจความต้องการของราชาได้อย่างไร? และเมื่อเขาเองก็เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังขององค์หญิงปี้เหยา เขาก็พยักหน้า ก่อนที่จะเดินออกจากงานเลี้ยงไปกับนาง