สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 465 : คุกเข่า!
WSSTH บทที่ 465 : คุกเข่า!
“หืม? ข้าไม่คิดเลยว่าโม่อี้ จะฝึกฝนวิชา กระบี่ 7 ดาวพื้นฐาน จนบรรลุความสำเร็จในระดับแก่นแท้แล้วเช่นนี้…” ต้วนหลิงเทียน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงท่วงท่าการออกกระบี่ และความไหลลื่นของพลังงานต้นกำเนิด ยามแสดงวิชาออกมาของโม่อี้ …ว่าวิชากระบี่ 7 ดาวพื้นฐานที่โม่อี้ใช้ออกวันนี้นั้น มันไม่ได้ด้อยไปกว่าครั้งที่ตัวบัดซบหวงจี้ใช้ออกตอนประลอง 5 นิกายใหญ่แม้แต่น้อย
"การประลอง 5 นิกายใหญ่ … " ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา เมื่อหวนนึกถึงการประลอง 5 นิกายใหญ่เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
มาวันนี้ 5 นิกายใหญ่ คงเหลืออยู่เพียงแค่ 3 เท่านั้น…
นอกจากนี้นิกายทั้ง 3 ที่เหลือ ก็ควบรวมเป็น นิกายไตรพนาครามไปเสียแล้ว…
“ว่าแต่มันเพราะอะไรกันแน่ ทำไมนิกายบัวปีศาจคมมีด,นิกายกุ้ยหยวน และนิกายหิมะจันทรา ถึงต้องมาผนึกกำลังร่วมกันเช่นนี้…?” ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนนึกย้อนไปถึงเรื่องในวันนั้น วันยอดเขาเทียนชู เขาก็รู้สึกว่าเรื่องราวนี้มีอะไรซับซ้อนยากเข้าใจ
เพราะหากจะว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว …นิกายทั้ง 3 มันก็สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันปี …เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะเลือกละทิ้ง ‘นาม’ ที่สืบสานมานับพันปีนี้ลงได้โดยง่าย! และเลือกกระทำการรวมนิกายอะไรเช่นนั้น..!!
“เรื่องนี้ดูท่าแล้ว มันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรสักอย่างแน่!” ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกตัวเอง
“ในอนาคต ตราบใดที่ข้ามีพลังอำนาจมากพอที่จะทำลาย นิกายไตรพนาครามบัดซบนั่น ข้าคงรู้เหตุผลและเบื้องหลังเรื่องราวนี้เอง” ในแววตาต้วนหลิงเทียนเผยเจตนาฆ่าฟันออกมา ก่อนที่จะเลิกคิดแล้วหันไปมองเรื่องราวด้านล่างและโม่อี้อีกครั้ง บ่นพึมพำในใจ ‘ประมุขหลิ่งหู อย่าได้กังวล ข้าจะช่วยโม่อี้สร้างนิกายกระบี่ 7 ดาวขึ้นมาใหม่ให้จงได้ …โม่อี้เองก็นับว่าเป็นบุคคลอันโดดเด่นไม่น้อย ท่านที่อยู่ในปรโลกหลับให้สบายเถอะ’
“โม่อี้…” ตอนนี้ที่โต๊ะของจวนเจ้าพระยา ทั้งนี่เหวี่ยและนี่เฝิน ต่างหันมองหน้ากันเอง และเห็นแววตาตะลึงของอีกฝ่าย
ถึงแม้ว่าพวกมันทั้งคู่จะเตรียมใจมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แต่เมื่อเห็นโม่อี้เอาชนะเก๋อหลู่ ด้วยสองตาตัวเอง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกในใจ…!
นี่น่ะหรือตัวตนที่มาจากอาณาจักรพนาคราม?
แล้วทุกคนที่มาจากนิกายในอาณาจักรพนาคราม ไม่ธรรมดาเช่นนี้หรือไม่?
มุมปากของนี่เหวี่ยและนี่เฝินเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมา พวกมันรู้สึกเหมือนเวลาในชีวิตของพวกมัน ได้เสียเปล่าไปอย่างไร้ประโยชน์…
เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นโม่อี้เอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว เขาก็คิดว่าเรื่องราวในวันนี้คงสิ้นสุดลงเสียที..
เพราะสำหรับเขาแล้ว เรื่องราวการประลองของอัจฉริยะระหว่างอาณาจักรทั้ง 2 มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องขำขันสนุกสนานเท่านั้น
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเอกอัครราชทูตของอาณาจักรตะวันรุ่งจะไม่ยอมเลิกรา และยอมจบเรื่องราวแต่เพียงเท่านี้…
“เจ้าเรียกว่าโม่อี้ เช่นนั้นหรือ…?” เอกอัครราชทูตของตะวันรุ่ง ป้าเอ่อ จับจ้องมองไปยังโม่อี้ด้วยสายตาเพ่งพินิจ พร้อมกล่าวถามออกมาอย่างจริงจัง
โม่อี้เพียงพยักหน้ารับคำ อย่างไม่แยแส
“แล้วเจ้าใช่ คนของอาณาจักรนภาล่องหรือไม่?” ป้าเอ๋อกล่าวถามสืบต่อออกมาทันใด ทั้งยังลุกขึ้นพร้อมใช้แรงกดดันระดับครึ่งก้าวธรรมชาติ กดทับไปที่ร่างของโม่อี้
ดวงตาของมันเผยความดุร้ายออกมา ทั้งยังถลึงตามองไปยังโม่อี้เขม็ง ราวกับมันต้องการชมดูว่าโม่อี้ จะเผยพิรุธยามโกหกอะไรทำนองนั้นหรือไม่
การกระทำของป้าเอ่อนี้นับว่าเหนือความคิดคาดของทุกคนมากนัก…!
ตอนนี้คนของอาณาจักรนภาล่องเอง ก็เริ่มนั่งไม่อยู่เฉย ค่อยๆเผยท่าทีไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“เอกอัครราชทูต ป้าเอ่อ …ท่านทำเช่นนี้…หมายความว่าอย่างไร?” นี่เหวี่ยเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว ใบหน้าของมันจมลงพร้อมกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
“ต้องขอล่วงเกินแล้วท่านเจ้าพระยา …ข้าเพียงแค่ต้องการล่วงรู้ความเป็นมาของสหายน้อยโม่อี้ผู้นี้เท่านั้น…ข้าย่อมรู้ดี ว่าเมื่อสหายน้อยโม่อี้มีระดับบ่มเพาะสูงล้ำถึงเพียงนี้ตั้งแต่มีอายุได้มิเท่าไหร่ เขาย่อมมิใช่ชนชั้นอันต่ำทราม…แต่ข้ามาเยือนอาณาจักรนภาล่องตั้งหลายวัน กลับมิเคยได้ยินข่าวลืออันใดเกี่ยวกับเขาเลย” สายตาของป้าเอ่อตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่ละออกจากโม่อี้แม้แต่น้อย กล่าวถามออกมาอย่างสงบ“ คราวนี้เป็นการประลองกระชับมิตรระหว่างอาณาจักรตะวันรุ่งข้า กับอาณาจักรนภาล่องท่าน หากท่านใช้คนที่ไม่ได้มาจากอาณาจักรนภาล่อง …เช่นนี้ใยมิใช่พวกท่านละเมิดข้อตกลง ที่ข้าได้กล่าวไว้กับฝ่าบาทหรือไร?”
โม่อี้ยังมีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น แต่กลับมีระดับบ่มเพาะสูงถึงวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรก กระทั่งยังใช้วิชากระบี่อันเลิศล้ำสูงส่งเช่นนั้นอีก กล่าวได้ว่ามันช่างเป็นบุรุษที่มีความสามารถสูงส่งและสมบูรณ์แบบ
เท่าที่ป้าเอ่อคิด หากโม่อี้ผู้นี้เป็นคนของอาณาจักรนภาล่องจริง…เหตุไฉนบุรุษมากสามารถเช่นนี้ กลับไร้นามในอาณาจักรนภาล่อง? ชื่อโม่อี้สมควรต้องกระจายไปทั่วอาณาจักร ระบือลือลั่นรู้กันไปทั่วแล้ว!
แต่ยามที่โม่อี้ปรากฏตัวออกมา มันกลับสังเกตเห็นว่า…ผู้คนของอาณาจักรนภาล่อง ก็ทำท่าคล้ายจะไม่รู้จักอีกฝ่ายเช่นกัน! มันจึงเริ่มสงสัยความเป็นมาของโม่อี้ตั้งแต่ตอนนั้น..!!
หากโม่อี้แพ้พ่ายคงไม่เป็นไร แต่นี่มันกลับเอาชนะเก๋อหลู่ได้ขึ้นมา…
และจากเดิมพัน การประลองระหว่างอัจฉริยะของสองอาณาจักรครานี้… ผู้ชนะจักได้รับภาษี 3 ปี ของอาณาจักรดังกล่าวเป็นเงินเดิมพัน เช่นนั้นเมื่อมันแพ้…หมายความว่าภาษี 3 ปีอาณาจักรมันต้องมอบให้อีกฝ่าย!
แน่นอนว่าเงินภาษีจำนวน 3 ปีนี้ ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ มันย่อมไม่เต็มใจยอมจำนนแพ้พ่ายอาณาจักรนภาล่องด้วยเหตุนี้
นอกจากนี้ที่มันมาเยือนอาณาจักรนภาล่องก็เพื่อชนะเดิมพันครานี้
ตอนนี้เมื่อมันมีโอกาสที่จะทำให้ชัยชนะของอาณาจักรนภาล่องเป็นโมฆะ ใยมันจะไม่กระทำ?
"ไร้ยางอายยิ่ง!"
"หรือคนของอาณาจักรตะวันรุ่ง แพ้แล้วพาลเช่นเจ้าทุกคน?"
“ดูเหมือนว่าอาณาจักตะวันรุ่ง คิดกลับคำตัวเองเสียแล้วสินะ?”
…
เหล่าอัจฉริยะของ 3 ตระกูลใหญ่ เริ่มกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ พวกมันขุ่นเคืองและมีโทสะไม่น้อย
สีหน้าของป้าเอ่อยังคงนิ่งไม่แปรเปลี่ยน เพียงหันไปกล่าวสืบต่อออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พร้อมมองกวาดไปยังทุกคน "ทุกท่าน…ข้าเพียงทวงความเป็นธรรมเท่านั้น…ตราบใดที่โม่อี้ เป็นคนของอาณาจักรนภาล่องนี้จริง เช่นนั้นอาณาจักรตะวันรุ่งของข้ายินดีรับความพ่ายแพ้!"
ป้าเอ่อพลันหันกลับมาจับจ้องโม่อี้อีกครั้งในทันใด สายตาของมันยังมองเขม็งราวกับจะสาวไส้ เค้นความจริงโม่อี้
“สหายน้อยโม่อี้ เจ้าเป็นคนของอาณาจักรนภาล่องหรือไม่?” ป้าเอ่อกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“เปล่า” โม่อี้ส่ายหน้าอย่างไม่แยแส “ข้าเป็นเพียงตัวแทนของศิษย์พี่ข้าเท่านั้น…ข้าเองก็ไม่ได้คิดจะคัดค้านอะไร หากเจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เพราะข้าไม่ใช่คนของอาณาจักรนภาล่อง … เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็ให้มันเป็นโมฆะไปเสีย! แต่ทว่าคราวนี้อัจฉริยะของอาณาจักรท่าน…ต้องไปประลองกับศิษย์พี่ของข้าแทน…!”
ศิษย์พี่?
คำกล่าวของโม่อี้ ทำให้สีหน้าป้าเอ่อมืดมน พร้อมก้มลงมองอย่างจริงจัง
ครู่ต่อมาสายตาของมันพลันเบนไปตกยังร่างต้วนหลิงเทียน ที่นั่งข้างราชาทันทีมันไม่รู้ว่าที่แท้ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใคร
“เช่นนั้นชายหนุ่มผู้นี้ เป็นศิษย์น้องของต้วนหลิงเทียนหรือ?” เหล่าอัจฉริยะของ 3 ตระกูลใหญ่อาณาจักรนภาล่องเข้าใจได้โดยพลัน เมื่อได้ยินคำกล่าวของโม่อี้
“ไม่ทราบว่าเจ้าคือ?”ตอนนี้ป้าเอ่อหรี่ตาจับจ้องมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียน ซ้ำยังเร่งเร้าแรงกดดันครึ่งก้าวธรรมชาติ กดทับไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนเต็มกำลัง
ต้วนหลิงเทียนเพียงหันมาเหลือบมันมองด้วยสายตาเบื่อหน่าย “เจ้าสนุกหรือไม่?”
สนุกหรือไม่?
ป้าเอ่ออึ้ง
ชายหนุ่มผู้นี้กล่าวราวกับ มันกำลังละเล่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น?
อย่างไรก็ตามมันสังเกตได้ชัดเจน ว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากแรงกดดันของมันสักเพียงนิด! นั่นหมายความระดับบ่มเพาะของชายหนุ่มเบื้องหน้าย่อมมิใช่ชั่ว!!
“ตั้งแต่ศิษย์น้องของเจ้า…มิใช่คนของอาณาจักรนภาล่องแล้ว เช่นนั้นการประลองกับเก๋อหลู่ก่อนหน้าก็ถือว่าเป็นโมฆะไป เพราะมันผิดข้อตกลง…เรื่องนี้เจ้าจักว่าอย่างไร” ป้าเอ่อค่อยๆเงยหน้ามองไปยังต้วนหลิงเทียนช้าๆ
“ถ้าเจ้าไม่พอใจผลการประลอง …งั้นเจ้าก็ให้มันมาสู้กับข้าแทนแล้วกัน”น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนยามกล่าวออกช่างเรียบๆ ราวกับไม่แยแสหรือสนใจอะไรอีกฝ่ายสักเพียงนิด
ป้าเอ่อขมวดคิ้วขึ้นในทันใด เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนมีความมั่นใจอย่างมาก
ในที่สุดมันก็พยักหน้าและมองไปยังเก๋อหลู่ พร้อมกล่าวออกมา “เก๋อหลู่ เจ้าไปสู้กับอัจฉริยะของอาณาจักรนภาล่องคนนี้สักครา”
ป้าเอ่อรู้แก่ใจดี ว่าครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของมันแล้ว
นอกจากนี้มันยังปฏิเสธที่จะเชื่อว่า ชายหนุ่มคนนี้ มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งเหนือชั้นกว่าโม่อี้
นี่เพราะอายุของชายหนุ่มผู้นี้ก็ใกล้เคียงกับโม่อี้นัก
ถึงแม้ว่าโม่อี้จะเรียกหาอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่ด้วยท่าทางเคารพ แต่นี่ก็ไม่มีใครรู้ว่า…มันเป็นเพราะมารยาทหรือความแข็งแกร่ง! ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งไปกว่าโม่อี้เสียหน่อย
แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร มันก็ต้องลองพยายามดูสักตั้ง…
"ขอรับใต้เท้า" เก๋อหลู่พยักหน้ารับคำอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเดินออกไปตรงกลาง และมองไปยังต้วนหลิงเทียน "เชิญเจ้าลงมาชี้แนะข้าด้วย…"
ด้วยประสบการณ์ที่ได้รับมาจากโม่อี้หมาดๆ มันย่อมไม่กล้าประมาทผู้ที่ดูอายุน้อยอีกต่อไปแล้ว…
ในขณะเดียวกันทางด้านโม่อี้ก็กลับมานั่งที่โต๊ะของจวนเจ้าพระยาเรียบร้อย แล้วพร้อมกันนั้นตัวมันรวมถึงนี่เหวี่ยและนี่เฝิน ต่างมองไปยังเก๋อหลู่ด้วยสายตาเย้ยหยันระคนเวทนา…
องค์ราชาและองค์หญิงปี้เหยาที่นั่งอยู่ข้างต้วนหลิงเทียน รวมถึงคนของทั้ง 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงก็หันมามองต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความสนใจ
“ลงไป?” ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังเก๋อหลู่ด้วยสายตาเกียจคร้าน รำคาญ “หากเจ้าอยากให้ข้าลงไป นั่นต้องดูก่อนว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่…”
"หืม?" สิ้นคำต้วนหลิงเทียนผู้คนกลับกลายเป็นเงียบงันคล้ายคนตาย
เพียงเรื่องลงไปประลองกับคู่ต่อสู้… ยังต้องดูคุณสมบัติคู่ต่อสู้ก่อนด้วยหรือ… ว่าคู่ควรหรือไม่คู่ควร?
เรื่องนี้…
หยิ่ง!
หยิ่งเกินไปแล้ว!!
ตอนนี้ในใจทุกคนล้วนมีความคิดเช่นนี้ ดุจเดียวกัน
‘ต้วนหลิงเทียนจากไปเพียงไม่กี่ปี เขากลับกลายเป็นคนหยิ่งยโสเช่นนี้แล้วหรือ’ ผู้คนจาก 3 ตระกูลใหญ่ล้วนอื้ออึง นิ่งค้างไปในทันใด
กระทั่งราชาและองค์หญิงปี้เหยาเองก็อดไม่ได้ที่จะต้องตะลึงออกมา
นี่เพราะต้วนหลิงเทียนในความทรงจำของพวกมัน ไม่ใช่คนที่จะกล่าววาจาอะไรเช่นนี้..!
ตอนนี้กระทั่งนี่เหวี่ย นี่เฝิน และโม่อี้เองก็สงสัย ว่าทำไมต้วนหลิงเทียนถึงได้กล่าววาจาเช่นนี้ออกมา…
ถึงแม้ทั้งหมดต่างรู้ดีว่าความสามารถของต้วนหลิงเทียนอาศัยเพียง สะบัดนิ้วก็สังหารอีกฝ่ายได้ง่ายดาย แต่จะอย่างไรมันก็ต้องลงไปจัดการอีกฝ่ายข้างล่างมิใช่หรือ?
แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนดูราวกับ ไม่มีเจตนาที่จะลุกออกมาประลองเสียด้วยซ้ำ!
“หนุ่มน้อย เจ้าจักมิหยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ!?” เอกอัครราชทูตป้าเอ่อ และเก๋อหลู่ กล่าวออกมาแทบจะในเวลาเดียวกัน และสีหน้าท่าทางของพวกมันยังบิดเบี้ยว บูดบึ้งนัก
พวกมันเคยพบพานคนหยิ่งยโสโอหัง แต่พวกมันไม่เคยเห็นผู้ใด หยิ่งยโสโอหังเช่นนี้มาก่อนเลย!
“แล้วเช่นนั้น…ข้าจักรู้ได้อย่างไร… ว่าข้ามีคุณสมบัติมากพอ ที่จักให้เจ้าลงมาหรือไม่?!!” เก๋อหลู่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาอำมหิต น้ำเสียงเย็นเยือกอบอวลไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน
ในขณะที่เก๋อหลู่กล่าวคำอยู่นั้น…ตาของต้วนหลิงเทียนที่จ้องมองมัน ก็เริ่มเปล่งแสงสลัวหนึ่ง ทว่า…แสงนี้พิกลนักแม้มันจะเรืองรองออกมา แต่ก็ไม่มีใครเห็น …ในแววตาของต้วนหลิงเทียนยามนี้คล้ายมีเปลวเพลิง 2 ดวงลุกโชนขึ้นมา
และทันทีที่เก๋อหลู่กล่าวจบคำ
“คุกเข่า!” ต้วนหลิงเทียนแผดเสียงออกมาอย่างเย็นเยือก
เสียงสั่งอย่างเผด็จการทรงอำนาจ ดังสนั่นลั่นก้องไปทั้งสวนหลวง! ทำให้หูของทุกผู้คนสั่นสะท้านไปไม่น้อย!
ไม่ทันที่ทุกคนจะได้ตอบสนองเรื่องราวใดๆ ภาพที่จะตราตรึงไปชั่วชีวิตของพวกมันพลันบังเกิดขึ้น…
เก๋อหลู่ที่แลดูหยิ่งยโสโอหัง ท่วงท่าเต็มไปด้วยความมั่นใจก่อนหน้า ยามนี้กลับกุลีกุจอคุกเข่าลง พร้อมก้มศีรษะลงอย่างหวั่นหวาด ร่างกายของมันยังสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงวิงวอน ร้องขอความเมตตา “ไม่…ได้โปรด…อย่าทำข้า…อย่าสังหารข้าเลย…อย่าสังหารข้าเลย…”
น้ำเสียงของเก๋อหลู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ทั้งยังวิงวอนถึงที่สุด เรื่องนี้ทำให้ทุกคนบังเกิดความเหน็บหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลังยามได้ยิน
ดูเหมือนว่ามันจะพบพานกับบางสิ่ง ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด…
“เรื่องนี้มัน…” ตอนนี้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดนอกจากต้วนหลิงเทียนและเก๋อหลู่ ล้วนแสดงท่าทางงุนงงออกมาทั้งสิ้น
มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ใยเก๋อหลู่ถึงได้รีบกุลีกุจอคุกเข่าลงไปเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวสั่งให้มันคุกเข่า?
นอกจากนี้เก๋อหลู่ยังเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างถึงที่สุด เมื่อเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น
ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป กะทันหันเกินไป…
“เก๋อหลู่! เก๋อหลู่!”เอกอัครราชทูตของอาณาจักรตะวันรุ่ง ป้าเอ่อ ที่ยามนี้สีหน้าหมองคล้ำราวกับจะคั้นออกมาเป็นน้ำหมึก รีบส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดไปยังเก๋อหลู่ หมายปลุกให้มันคืนสติ
แต่ดูเหมือนว่าเก๋อหลู่จะไม่ได้รับรู้หรือได้ยินอะไรเลย มันยังคุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้วโขกศีรษะลงไปอยู่อย่างนั้น “ข้าคุกเข่าแล้ว…ข้าคุกเข่าต่อท่านแล้ว….อย่าฆ่าข้าเลย…ข้าไม่อยากตาย…ได้โปรด ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย…”