สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 460 : เข้าวังหลวง
WSSTH บทที่ 460 : เข้าวังหลวง
แล้วช่วงเช้าก็ค่อยๆผ่านเลยไปอย่างเงียบงัน…
ตอนนี้ตะวันลอยเด่นเกือบกลางฟ้า บ่งบอกเวลาว่าใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว บทสนทนาของคนทั้งสองยังคงเป็นเซี่ยวหลันถามคำ ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบคำอยู่เช่นเดิม…
"เซี่ยวหลัน" ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็กัดฟันกล่าวออกมา เขาไม่คิดอ้อมค้อมอะไรอีกต่อไป จะอย่างไรวันนี้ต้องชัดเจน
"หืม?" รอยยิ้มของเซี่ยวหลันคลี่ออกกลางใบหน้างดงาม ขับเน้นให้ที่งามอยู่แล้วก็ยิ่งงามมากขึ้น ดวงตาใสกระจ่างดั่งหยาดหยดวารีสั่นไหว จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย
"คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเจ้านั้นก็งดงามดูดีนัก แต่ข้า … " ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเซี่ยวหลันก่อนที่จะกล่าววาจาออกมาอย่างลังเล
ร่างบอกบางของเซี่ยวหลันสั่นสะท้านในทันใด กล่าวถามเสียงค่อย “เป็นเพราะเค่อเอ๋อกับลี่เฟย?”
ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้ารับเบาๆ
“แล้ว…หากท่านไม่มีพวกนาง … " ในขณะที่กล่าวถามออกมานี้ ใจของเซี่ยวหลันพลันสั่นไหวเต้นไม่เป็นจังหวะ
"ข้าจะไขว่คว้าเจ้า" ต้วนหลิงเทียนไม่ปิดบังอะไร กล่าวออกไปตรงๆ
"เพียงพอแล้ว…." ยิ้มอ่อนหวานค่อยๆคลี่ออกมาบนใบหน้า "เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ทราบแล้ว ว่าผู้อื่นยังมีค่าในสายตาท่าน …เพียงพบกันเมื่อสายไป…"
เซี่ยวหลันกล่าวถึงตรงนี้ นางก็ลุกขึ้นยืน แววตาที่มองมายังต้วนหลิงเทียนคล้ายพร่ามัว "เป็นน้าหลัวให้ท่าน ทำเรื่องราวให้กระจ่างใช่หรือไม่?…ข้ารู้ดีว่าน้าหลัวหวังดีและกระทำเพื่อข้า… แต่บางครั้ง ยามสตรีมอบใจให้บุรุษไปแล้ว มันยากนักที่จักแปรเปลี่ยน…ต่อให้ผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดก็ตาม”
“มิว่าจักเกิดอันใดขึ้น …ข้าเซี่ยวหลัน ชั่วชีวิตนี้มีเพียงท่าน มิคิดเปลี่ยนผันใจ…และถึงแม้น…ว่าชีวิตนี้ข้าจะมิมีหวังใดต่อท่าน ข้ายังคงยินดีที่จักอยู่ข้างน้าหลัว หวังเพียงมีโอกาสเฝ้ามองท่าน ยังขอบอกต่อท่าน…สิ่งที่ข้ากระทำเพื่อท่านได้ มิได้ด้อยกว่าเค่อเอ๋อหรือลี่เฟย” เมื่อกล่าวจบคำ เซี่ยวหลันก็หันหลังและเดินจากไป แผ่นหลังของร่างบางแลดูเดียวดายอ้างว้างนัก
ต้วนหลิงเทียนค่อยได้ฟื้นสติอีกครั้ง หลังจากที่ร่างบางของเซี่ยวหลันลับตาไป มุมปากของเขาเผยยิ้มขื่นขมออกมา
เขาไม่คิดเลยว่าเซี่ยวหลันจะมีความคิดแน่วแน่เช่นนี้ และไม่คิดจะแต่งงานไปชั่วชีวิตของนาง…
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังตัดสินใจกระทำเช่นนี้โดยไม่หวั่นไหวสักเพียงนิด…
นี่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดและไร้หนทางนัก “ข้าต้วนหลิงเทียนมีอะไร…ทำไมข้าถึงสมควรได้รับสิ่งนี้”
"ฮี่ฮี่…พี่ใหญ่หลิงเทียน พี่สาวสหายเก่าของท่านผู้นั้น ช่างดีต่อท่านยิ่งนัก" ทันใดนั้นเองเสียงเล็กๆเจื้อยแจ้วของเจ้าหนูตัวน้อยพลันดังขึ้นในหูของต้วนหลิงเทียน ทั้งน้ำเสียงยังแฝงการล้อเลียนมาเล็กน้อย
“เด็กน้อยเช่นเจ้ายังจะรู้อะไร …ไปเล่นของเจ้า!” ต้วนหลิงเทียนคว้าเจ้าหนูตัวน้อย ก่อนที่จะจับโยนออกไปอย่างไม่แยแส แล้วลุกขึ้นจากศาลาชมบุปผา หมายเดินกลับห้องไปบ่มเพาะ
ส่วนเจ้าหนูน้อยที่ถูกจับโยนออกมา ก็หยุดร่างค้างกลางอากาศ มันหรี่ตาจับจ้องมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซุกซนยังเผยท่าทางล้อเลียนไม่น้อย …
หลังจากกลับมาแล้วต้วนหลิงเทียนก็นังลงบนเตียงก่อนที่จะหลับตาบ่มเพาะพลัง…
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจเข้าฌานสั่งสมพลังได้ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
นั่นเพราะน้ำหนักในวาจาของเซี่ยวหลันมันหนักนัก นับว่าส่งผลกระทบต่อเขาไม่น้อย ทำให้เขาไม่อาจสงบสติอารมณ์ กำหนดใจได้ แม้จะผ่านไปพักใหญ่
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้บ่มเพาะพลัง เพียงหลับไปทั้งอย่างนั้น
กินหลังจากตื่นนอน เมื่อกินเสร็จแล้วก็นอนต่อ…
อรุณรุ่งของวันต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นแต่เช้า นำพาเสี่ยวจินกับโม่อี้ออกเดินทางจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าพระยา
ไม่นานกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็ไปสมทบกับนี่เหวี่ยและนี่เฝิน ก่อนที่จะไปยังวังหลวงพร้อมๆกัน
“เทียนน้อย ตกลงเจ้าวางแผนกระทำเช่นไร?” นี่เฝินมองไปยังต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยท่าทางเป็นกังวลเล็กน้อย “หากเจ้ามิเข้าร่วมแล้วพวกเราจักชนะได้อย่างไรเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้มแย้ม เขาไม่คิดให้ทั้ง 2 คาดเดาอะไรอีกต่อไป เขาหันไปมองโม่อี้ก่อนที่จะกล่าวคำออกมา “พี่ใหญ่นี่ ถึงแม้ข้าจะไม่ลงประลองวันนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าโม่อี้จะไม่ลงประลองด้วย…ท่านไม่ต้องกังวลอะไร เพียงปล่อยให้โม่อี้รับมือ อัจฉริยะระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 ของอาณาจักรตะวันรุ่งนั่นก็พอ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ต่างก็หันไปมองโม่อี้อย่างพร้อมเพียง ไม่ใช่แค่เพียงนี่เฝินแต่นี่เหวี่ยยังจับจ้องมองมาด้วย
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะแนะนำโม่อี้ให้พวกเขารู้จักก่อนหน้านี้แล้ว และท่าทางของโม่อี้เองก็เคารพต้วนหลิงเทียนนัก…แต่พวกเขาก็คิดว่าโม่อี้คงเป็นศิษย์น้องที่ต้วนหลิงเทียนพามาเที่ยวชมอาณาจักรนภาล่องเฉยๆ และไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไรมากมาย
เพราะจากที่ดูแล้ว อายุของโม่อี้ก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับต้วนหลิงเทียน
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศิษย์ของนิกายในอาณาจักรพนาคราม แต่วัยเพียงเท่านี้ก็คงยังไม่แข็งแกร่งอะไรมากนัก
เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามสุดท้ายนี่เฝินและนี่เหวี่ยก็เลือกที่จะเชื่อต้วนหลิงเทียน
นี่เพราะต้วนหลิงเทียไม่เคยทำอะไรให้พวกมันผิดหวังสักเพียงครั้ง
เมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหวนรำลึกถึงความหลังในวันวานขึ้นมา…
วันนี้การประลองกระชับมิตรระหว่างอัจฉริยะของอาณาจักรนภาล่องและอาณาจักรตะวันรุ่งจะจัดขึ้นที่สวนหลวงที่อยู่ทางด้านหลังวังหลวง
ต้วนหลิงเทียนก็พาโม่อี้ไปหาราชาที่ท้องพระโรงพร้อมกันกับนี่เหวี่ยและนี่เฝินก่อน
หลังจากที่ไม่ได้เจอราชานานอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีริ้วรอยอะไรมากขึ้น ทั้งยังแลดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมเสียอีก…
“ผู้บัญชาการต้วน!” ราชาที่มองมาเห็นต้วนหลิงเทียน ดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เมื่อคืนข้ายังกล่าวกับปี้เหยาอยู่ว่า หากเจ้าสามารถกลับมาได้ในยามนี้ เอกอัครราชทูตของอาณาจักรตะวันรุ่งคงทำได้เพียงพบพานชะตากรรมแพ้พ่าย…แต่ข้ามิคิดเลยว่า เจ้าจักกลับมาเช่นนี้จริงๆ!!”
“ฝ่าบาท ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย เรื่องที่ท่านตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้สำเร็จ!” ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำแสดงความยินดีออกมาต่อราชา
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาเห็นราชา พลังวิญญาณของเอาก็แผ่ซ่านออกไปหยั่งตื้นลึกหนาบางอีกฝ่าย และพบระดับบ่มเพาะในปัจจุบันของราชา
เห็นได้ชัดว่าราชา ได้ตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว
“ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ?” นี่เหวี่ยและนี่เฝินต่างตกตะลึงขึ้นมาในทันใด เมื่อได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัด ว่ากระทั่งพวกมันก็ไม่ล่วงรู้เรื่องนี้มาก่อน
เพราะจะอย่างไรพวกมันก็ไม่มีพลังวิญญาณอันน่ากลัวและความรู้มากมายเหมือนที่ต้วนหลิงเทียนมี
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีด้วย ฝ่าบาท!”ทันใดนั้นนี่เหวี่ยกับนี่เฝินก็กล่าวแสดงความยินดีทันที
ราชากระพริบตาปริบๆ ก่อนที่จะจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน ด้วยสายตาประหลาดใจ “ผู้บัญชาการต้วน …เจ้านับว่าทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอจริงๆ…เพราะสุดท้ายแล้ว นอกเหนือจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องการทะลวงระดับของข้าอีกเป็นคนที่สอง…แต่เจ้ากลับมาได้ไม่ทันไร เพียงมองปราดเดียวกลับระบุออกมาได้ ดูท่าแล้วผู้บัญชาการต้วนคงได้รับผลประโยชน์มากมายจากการไปอาณาจักรพนาครามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน..”
“ฝ่าบาท ท่านกล่าวยกยอข้าจนแทบลอยแล้ว…”ต้วนหลิงเทียนยิ้มบาง ๆ"นอกจากนั้นตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอีกต่อไปแล้ว…ต่อไปท่านเพียงเรียกชื่อข้าตรงๆก็พอ"
“ในสายตาของข้า เจ้าคือผู้บัญชาการต้วนผู้ที่สามารถถอนรากถอนโคนพวกทรยศและเป็นผู้สนับสนุนอันประเสริฐของข้าเสมอ!”
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆรับคำและกล่าวชักชวนออกมา “ฝ่าบาทนี่ก็สมควรใกล้ถึงเวลาแล้ว…พวกเราไปกันก่อนเถอะ”
“เอาล่ะ!” ราชาพยักหน้า และภายใต้การคุ้มกันของกองทหารรักษาพระองค์ คณะของราชาก็เดินทางไปยังสวนหลวงพร้อมกันกับกลุ่มของต้วนหลิงเทียน
นอกเหนือจากพื้นที่โล่งว่างเปล่าแล้ว บริเวณสวนยังจัดแบ่งออกเป็น 6 โต๊ะใหญ่ และที่นั่งก็มีการปูพรมอย่างดี ตัวโต๊ะเก้าอี้ก็นับว่าเป็นงานฝีมืออันประณีต อาหารเลิศรสมากมายจัดวางไว้บนโต๊ะ
บริเวณโต๊ะที่หรูหราที่สุดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเป็นโต๊ะที่หรูหราและใหญ่ที่สุด เห็นได้ชัดว่าเป็นของราชา
เมื่อกลุ่มของต้วนหลิงเทียนเดินทางมาถึง 4 โต๊ะ ก็มีผู้คนนั่งกันอยู่เต็มไปหมดแล้ว
“ถวายบังคมฝ่าบาท”ด้วยเสียงกล่าวคำของคนผู้หนึ่ง นำพาให้ทั้งหมดต่างลุกขึ้นมาทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ทั้งหมดนั่งลงเถอะ ไม่ต้องลุกขึ้น เอาล่ะท่านเจ้าพระยาท่านไปนั่งกับพระยาน้อยเถิด…ส่วนวันนี้ให้ผู้บัญชาการต้วน มานั่งข้างข้า” หลังจากที่ราชานั่งลงบนโต๊ะใหญ่สุดก็กล่าวคำออกมา
"ได้" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะไปนั่งลงด้านขวาของราชา
“โม่อี้ เจ้าไปนั่งกับพี่ใหญ่นี่และลุงนี่” ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็กล่าวบอกโม่อี้ให้ไปนั่งโต๊ะเดียวกับลุงนี่
มันเป็นโต๊ะที่จัดเตรียมให้คนของจวนเจ้าพระยาโดยเฉพาะ
“ต้วนหลิงเทียน!”ทันใดนั้นเองเสียงประหลาดใจ พลันดังมาจาก 3 โต๊ะจัดเลี้ยง
แน่นอนโต๊ะเหล่านี้นั่งไว้ด้วยคนของ 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ประมุขของทั้ง 3 ตระกูล และอัจฉริยะที่ต่างนำพากันมา
อัจฉริยะของตระกูลเซี่ยวทั้ง 2 ต่างมองมายังต้วนหลิงเทียนจากระยะไกลด้วยความตื่นเต้น
“เซี่ยวหยู เซี่ยวฉิน ไม่เจอกันนานแล้ว…พวกเจ้าสบายดีหรือไม่ …หืม? เซี่ยวหยูข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 แล้ว” ต้วนหลิงเทียนสื่อสารกับทั้งคู่ ด้วยเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิด
“ต้วนหลิงเทียน เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”เซี่ยวหยูส่งเสียงกล่าวถาม
ส่วนเซี่ยวฉินนั้นระดับบ่มเพาะของอีกฝ่ายยังไม่ตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 จึงไม่อาจส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดได้ ทำได้เพียงนั่งคันปากอยากจะกล่าวอยู่ข้างๆเซี่ยวหยู
“ข้าพึ่งกลับมาเมื่อวานซืน” ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงตอบกลับไป เขาเองก็รู้สึกมีความสุขในใจไม่น้อย เมื่อได้พบพานสหายเก่าทั้งสองอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเซี่ยวฉิน ที่นั่งคันปากข้างๆเซี่ยวหยู ก่อนที่จะส่งเสียงผ่านไป “เซี่ยวฉิน เดี๋ยวพวกเราไปหาอะไรดื่มกันหน่อย หลังจบการประลองกระชับมิตรนี่แล้ว”
เซี่ยวฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
‘บ้าเอ๊ย! ดูเหมือนข้าต้องรีบตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 บ้างแล้ว…ไม่อาจส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดนี่ได้ นับว่าทำให้คันปากแทบตายแล้ว’ เซี่ยวฉินลอบบ่นพึมพำในใจ
“ต้วนหลิงเทียน!” ในขณะเดียวกันประมุขของตระกูลต้วน,ตระกูลซู และตระกูลเซี่ยว ก็ส่งเสียงพร้อมมองมายังต้วนหลิงเทียน
พวกมันต่างรู้สึกประหลาดใจและยินดีกับการปรากฏตัวของต้วนหลิงเทียน
“องค์หญิงปี้เหยาเสด็จแล้ว…”เสียงหนึ่งพลันกล่าวดังออกมาทำลายความเงียบ
ตอนนี้ปรากฏร่างงดงามก้าวอาดๆเข้ามา เครื่องแต่งกายของนางหรูหราและมีเอกลักษณ์พิเศษยากจะหาใดเทียบ ท่วงท่าการเดินของนางยังแลดูสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ ราวกับความงามที่เดินออกมาจากภาพวาด ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อาจไม่เคารพนาง…
“องค์หญิงปี้เหยา” ตอนนี้เองนอกเหนือจากโต๊ะราชาแล้ว โต๊ะอื่นๆต่างลุกขึ้นยืนทำความเคารพหญิงสาวทันที
แต่เหล่าคนที่ยืนกลับไม่ได้รับการตอบรับอะไรจากองค์หญิงแม้จะผ่านไปเนิ่นนาน
เพราะในยามนี้สายตาขององค์หญิงกำลังเหม่อมองค้างไปยังร่างคนๆหนึ่ง…
ต้วนหลิงเทียน!
“องค์หญิงท่านสบาย…นานแล้วไม่ได้พบกัน” ต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นยืนในทันใด ใบหน้ายังคลี่ยิ้มบางๆออกมาขณะจับจ้องไปยังปี้เหยา
ดวงตาคู่งามขององค์หญิงปี้เหยาที่อ่อนโยนราวกับสายธารเริ่มพร่ามัวในทันใด ร่างบางของนางเองก็สั่นไหวขึ้นมา
ในตอนนี้ราวกับทั้งโลกของนางเหลือเพียงต้วนหลิงเทียน…
นางฝันไปเช่นนั้นหรือ?
ชายที่นางเฝ้าใฝ่ฝันถึงทุกคืนวัน กลับมาแล้วหรือ?
“ทุกคนนั่งลงเถอะ” ราชาไม่คิดจะตำหนิปี้เหยาที่เสียมารยาทปล่อยให้ผู้อื่นยืนรอ เพราะตัวเองยืนมองชายหนุ่มตาค้าง “บุตรสาวของข้าเสียมารยาทแล้ว หวังว่าทุกคนจะไม่ตำหนินางในเรื่องนี้”
“ฝ่าบาท…ดูเหมือนองค์หญิงปี้เหยาแห่งอาณาจักรนภาล่อง จะงดงามสยบผู้คนสมคำร่ำลือยิ่งนัก…คู่ควรแล้วกับนามโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง!”ที่โต๊ะด้านล่างถัดจากต้วนหลิงเทียนและราชา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาพร้อมระบายลมหายใจ
“เอกอัครราชทูต ท่านเกรงใจไปแล้ว” ราชายิ้มรับคำอย่างสุภาพ