สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 459 : ข้าจะไม่เข้าร่วม
WSSTH บทที่ 459 : ข้าจะไม่เข้าร่วม
ในช่วงปีนั้นชื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนในอาณาจักรนภาล่อง เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับ ดวงตะวันเจิดจ้าที่ลอยค้างกลางหาว
หาได้มีแค่ผู้คนในเมืองหลวงไม่ …ที่รับรู้ถึงคงความสามารถของต้วนหลิงเทียน กระทั่งอาณาจักรข้างเคียงอีก 2-3 อาณาจักร ล้วนได้รับรู้ตำนานอันน่าตื่นตะลึงของต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น!
เรียกได้ว่ายามนี้ต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นตำนานของอาณาจักรนภาล่องไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย…!
สำหรับนี่เฝินแล้ว เมื่อได้รับรู้ถึงระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียน …อัจฉริยะของอาณาจักรตะวันรุ่งที่มีระดับบ่มเพาะเพียงวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 นั้น…ก็ไม่นับเป็นอะไรทั้งสิ้น ไร้ซึ่งภัยคุกคามใดๆอย่างสิ้นเชิง…!
กระทั่งบางทีต้วนหลิงเทียนคงใช้แค่เพียงนิ้วเดียวก็เอาชนะอีกฝ่ายได้
"ไม่… พี่ใหญ่นี่…ข้าคงไม่อาจเข้าร่วมการประลองกระชับมิตรระหว่างอาณาจักรครั้งนี้ได้" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมา เขาไม่สนใจการประลองกระชับมิตรของอัจฉริยะอะไรนี่อย่างสิ้นเชิง
เพราะสำหรับเขาแล้ว…หากเขาเข้าร่วมประลองกระชับมิตรนี่ด้วยระดับบ่มเพาะของเขา …มันก็ไม่ต่างอะไรกับการไปรังแกอีกฝ่ายอย่างไร้ทางสู้
"ไม่เข้าร่วม?" นี่เฝินหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น "หากเจ้าไม่เข้าร่วมเห็นทีอาณาจักรนภาล่องเราคงต้องแพ้พ่าย…เมื่อเราแพ้พ่ายแล้ว…เช่นนี้ ภาษี 3 ปีของอาณาจักรเราก็ต้องส่งมอบให้ผู้อื่น! "
ภาษี 3 ปีของอาณาจักร! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคงเป็นตัวเลขมหาศาลชวนให้คนหัวลุก..!
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม การสูญเสียเช่นนี้คงปวดใจแทบตายแล้ว!
"เทียนน้อย… ข้ารู้ว่าตัวเจ้าได้เข้าร่วมนิกายในอาณาจักรพนาคราม …และเจ้าก็ยืนอยู่ในจุดที่สูง มุมมองของเจ้ายามนี้คงต่างออกไปจากกาลก่อนอย่างสิ้นเชิง เจ้าจึงมิคิดแยแสหรือสนใจอัจฉริยะที่เอกอัครราชทูตตะวันรุ่งพามาสักเพียงนิด…แต่จะอย่างไรการประลองกระชับมิตรครานี้ หาใช่เป็นเรื่องของเกียรติยศศักดิ์ศรีของอาณาจักรเพียงอย่างเดียวไม่…มันยังเกี่ยวพันกับภาษีของอาณาจักรถึง 3 ปี… " นี่เหวี่ยมองไปยังต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะทอดถอนใจออกมา "ถือว่าคราวนี้ลุงนี่ของเจ้าผู้นี้…ขอเจ้าสักครั้งเถิด หวังว่าเจ้าจะยื่นมือช่วยอาณาจักรนภาล่องให้พ้นจากสถานการณ์เลวร้ายครั้งนี้ด้วย …หากเราแพ้พ่าย…แล้วต้องจ่ายภาษีอาณาจักรของเราให้อาณาจักรตะวันรุ่งถึง 3 ปี เกรงว่าอาณาจักรตะวันรุ่งคงนำทุนรอนส่วนนี้ไปเสริมกำลังทหาร เพิ่มพูนศักยภาพกองทัพ แล้วใช้ในเคลื่อนทัพมาโจมตีอาณาจักรเรา…ถึงยามนั้นแล้วผู้ที่ได้รับเคราะห์มากที่สุด คงไม่พ้นปวงประชา ผู้คนคงตกอยู่ในความทุกข์ยากมากมาย"
“ข้าคิดว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ยินดีที่จะเห็น ประชาชนผู้บริสุทธิ์ของอาณาจักรนภาล่อง…ต้องจมจ่อมในไฟสงคราม บ้านแตกสาแหรกขาด ใช่หรือไม่?” ในขณะที่กล่าววาจาท่าทางของนี่เหวี่ยจริงจังอย่างมาก
"ลุงนี่…." ต้วนหลิงเทียนไม่อาจทนต่อวาจาที่เฉ่งมาเป็นชุดของนี่เหวี่ยได้ รีบกล่าวบอกออกไปทันที "ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว …ข้าเพียงบอกว่าข้าจะไม่เข้าร่วมการประลองกระชับมิตรครั้งนี้เฉยๆ แต่ข้ายังไม่ได้กล่าวว่าข้าจะไม่ช่วยให้อาณาจักรนภาล่องเราได้รับชัยชนะ" ในขณะที่กล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เทียนน้อยแล้วเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรเล่า? ในเมื่อเจ้าไม่เข้าร่วมการประลองครานี้…แล้วอาณาจักรของเราจะเอาชนะเดิมพันครั้งนี้ได้อย่างไร?” นี่เหวี่ย และนี่เฝินต่างประหลาดใจไม่น้อย
“เรื่องนั้น…ถึงเวลาท่านทั้ง 2 จะได้รู้เอง …จริงสิลุงนี่ พี่ใหญ่เฝิน แล้วการประลองกระชับมิตรอะไรนี่จะเริ่มวันไหนเล่า?” ต้วนหลิงเทียนยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะกล่าวถามออกมา
“บังเอิญอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นพรุ่งนี้พอดี..” นี่เหวี่ยกล่าวออกมา “การประลองกระชับมิตรครานี้จะจัดขึ้นที่วังหลวง…องค์ราชากับเอกอัครราชทูตของอาณาจักรตะวันรุ่งจะเดินทางมาเข้าพบ พร้อมนำพาอัจฉริยะของมันมา ทางเราเองก็จะมี 3 ตระกุลใหญ่ไปเข้าร่วมด้วยเช่นกัน”
“พรุ่งนี้งั้นรึ? นับว่าช่างบังเอิญยิ่ง…อืม พรุ่งนี้ข้าจะมาที่นี่อีกครั้งตอนเช้า แล้วพวกเราจะไปวังหลวงด้วยกัน” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“จริงสิลุงนี่ แล้วท่านปู่นี่ ไม่อยู่หรือ?”ต้วนหลิงเทียนมองไปยังนี่เหวี่ยก่อนที่จะกล่าวถาม นี่เพราะไหนๆเขาก็มาถึงจวนเจ้าพระยาแล้ว จะไม่ไปทำความเคารพท่านปู่นี่ได้อย่างไร
“ท่านพ่อได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตั้งนานแล้ว”นี่เหวี่ยส่ายหัวไปมา จะอย่างไรในใจมันก็มีความสุขไม่น้อย ที่ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำบิดามันได้
“เทียนน้อย…เจ้าบอกข้าสักหน่อยมิได้หรือ ว่าเจ้าจะทำให้อาณาจักรเราเอาชนะอาณาจักรตะวันรุ่งนั่นได้อย่างไร?”สายตากระหายใคร่รู้ของนี่เฝินจับจ้องมาที่ต้วนหลิงเทียน
"พี่ใหญ่นี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านก็ได้รู้แล้ว… " ต้วนหลิงเทียนยักไหล่เบาๆ ท่าทางจะปล่อยให้อีกฝ่ายคาดเดาอย่างสนุกสนาน
นี่เฝินบังเกิดความรู้สึกคันหัวใจยากจะเกานัก แต่มันก็รู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ปริปากบอกกล่าวแน่ มันก็ไร้หนทางอื่นใด ทำได้เพียงเฝ้ารอให้ถึงพรุ่งนี้เท่านั้น
“จริงสิเทียนน้อย ข้าได้ยินมาว่าสภาพแวดล้อมของนิกายใหญ่ๆของอาณาจักรพนาครามนั้น เอื้อประโยชน์ต่อการบ่มเพาะมากเลยหรือ…มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“เทียนน้อยๆ แล้วเจ้าเคยเห็นผู้เชี่ยวชาญหยั่งรู้ธรรมชาติหรือไม่ ตอนที่เจ้าอยู่ในอาณาจักรพนาครามช่วงหลายปีที่ผ่าน?”
"เทียนน้อย แล้วเจ้า… "
หลังจากนั้นนี่เฝินก็ระดมยิง 108 คำถามออกมาระรัว ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องราวในอาณาจักรพนาคราม …ราวกับมันไม่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอะไร
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไม่ไหวจะตอบ เหนื่อยล้าแทบตกตาย ลำคอยังแห้งคล้ายอัดแน่นไปด้วยฝุ่นทราย ทำได้เพียงรีบขอตัวลา กลับบ้านไป…
ถึงกับต้องหนีกลับบ้านแล้ว!
นี่เหวี่ยและนี่เฝินก็ได้เดินไปส่งต้วนหลิงเทียนที่หน้าจวนด้วยตัวเอง เมื่อแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนหายลับไปแล้ว นี่เฝินก็บ่นออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “ข้ายังไม่ได้ถามเทียนน้อยเรื่อง…”
“พอได้แล้ว! นี่เจ้าจะถามอันใดนักหนา… เห็นหรือไม่เทียนน้อยหวาดกลัวเจ้าจนหนีกลับไปแล้ว!”นี่เหวี่ยมองไปยังนี่เฝินอย่างเคืองๆ
นี่เฝินยิ้มออกมาด้วยความละอายเล็กน้อย ก่อนที่จะกลอกตาแล้วบ่นออกมา “ก่อนหน้ายามข้ากล่าวถามเทียนน้อย…มิใช่บิดาก็หูผึ่ง ตั้งใจรับฟังด้วยหรือไร ใยตอนนี้มาตำหนิข้าผู้เดียวเล่า?”
แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งของนี่เหวี่ย ประสาทสัมผัสต่างๆรวมถึงการได้ยินย่อมมิใช่ชั่ว ยังจะไม่ได้ยินเสียงพึมพำใกล้ๆนี้อีกหรือ? มันถลึงตามองนี่เฝินพร้อมกล่าวถามออกมาอย่างดุร้าย “เจ้าบ่นอันใด?”
"ไม่ … ไม่ … ไม่มีอันใด! ไม่ได้บ่นอันใด!" นี่เฝินตกใจเล็กน้อยเมื่อเจอข่มขู่
นอกจวนแล้วพระยาเรืองฤทธิ์อาจจะเป็นนายพลอาจหาญชาญศึก น่าเกรงขาม ไร้ซึ่งทหารใดไม่เคารพ
แต่ที่จวนแล้ว มันก็เป็นบิดาเอาแต่ใจ คล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง
หลังจากเดินทางออกจกจวนเจ้าพระยาต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ไปไหน มุ่งตรงกลับมาบ้านทันที
ต้วนหลิงเทียนพึ่งเดินกลับมาถึงหน้าทางเข้าลานหลังบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น
"เซี่ยวหลัน?" เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นเจ้าของเสียงหัวเราะ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นโดยพลัน
สตรีที่นั่งตรงข้ามลี่หลัวนั้น เรือนผมของนางยาวสลวย มีน้ำหนัก ทั้งยังเงางามคล้ายน้ำตกสายหนึ่งทอดยาวลงมา ปลิวไหวๆหยอกเย้าสายลมเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน
ใบหน้างดงามปานจะสูบวิญญาณผู้คน คล้ายประติมากรมือเอกเสกสรรปั้นแต่งขึ้นสุดใจ ไร้ตำหนิใดๆ
เพียงเซี่ยวหลันนั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ทว่าท่วงท่ากิริยาของนางแลดูหลุดพ้นราวนางเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์
ต้วนหลิงเทียนเพียงเดินเข้ามาได้ไม่ทันไร เซี่ยวหลันที่นั่งสนทนากับลี่หลัวในศาลาชมบุปผา ก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว นางหันมาดูผู้มาทันที และเมื่อเห็นว่าเป็นเขา ใบหน้างามของนางเริ่มเผยคลื่นแห่งความสุขออกมา นางยังผุดลุกขึ้นยืนในทันทีทันใด ท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย "ท่าน …ท่านกลับมาแล้ว!?"
เซี่ยวหลันมองไปยังต้วนหลิงเทียนครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ก้มหน้าลงงุดๆ ท่าทางแลดูขัดเขิน ราวกับเด็กน้อยถูกจับได้ว่าลอบกินขนม
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เซี่ยวหลัน" ต้วนหลิงเทียนโปรยยิ้มอ่อนๆให้เซี่ยวหลัน เขารู้ดีว่ามารดาของเขาคงไม่ได้บอกเรื่องการกลับมาของเขาแก่นาง
"อื้อ นานมากแล้ว…ท่านกลับมาเช่นนี้ดียิ่ง…น้าหลัวคิดถึงท่านยิ่งนัก ช่วงที่ท่านมิอยู่… " เซี่ยวหลันพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่นางจะนั่งลงอีกครั้งเมื่อต้วนหลิงเทียนเดินมานั่งใกล้ๆ
ดวงตาคู่งามใสกระจ่างดั่งวารีของนางลอบบุรุษเบื้องหน้าเป็นระยะๆ…
นางไม่ได้พบกับเขานานแล้ว บุรุษผู้นี้นับว่าเติบโตหล่อเหลาขึ้นไม่น้อย
พวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาของเซี่ยวหลัน ทำให้นางแลน่าเอ็นดูและน่ารักไม่น้อย
"ลูกเทียน เจ้าไปหาลุงนี่มาแล้วหรือ?" ลี่หลัวย่อมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเซี่ยวหลันได้ในทันใด เมื่อต้วนหลิงเทียนกลับมา ยางจึงรีบกล่าวถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องไม่ให้บรรยากาศอึดอัด
"ใช่แล้วท่านแม่" ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆกล่าวตอบ หน้า "หลายปีไม่ได้พบเจอ วันนี้ลุงนี่ก็ยังแข็งแรงดีอยู่"
“แล้วเจ้าคิดจะไปยังวังหลวงกับตระกูลต้วนเมื่อไหร่เล่า?” ลี่หลัวกล่าวถามออกมา
"ตระกูลต้วนนั้นข้าค่อยไปหลังจากนี้สักสองวัน … วันนี้ข้าคงพักไม่ไปไหนแล้ว ส่วนพรุ่งนี้ข้าจะไปจวนเจ้าพระยาแต่เช้า เพื่อเข้าวังหลวงไปหาฝ่าบาทพร้อมกันกับลุงนี่และพี่ใหญ่นี่ "ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกมา
"เรื่องนี้…ใช่เพราะการประลองกระชับมิตรกับอัจฉริยะของอาณาจักตะวันรุ่งอะไรนั่นหรือไม่?" เห็นได้ชัดว่ากระทั่งลี่หลัวก็รู้เรื่องราวครั้งนี้
"ถูกแล้วท่านแม่" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่งลี่หลัวก็หันไปมองเซี่ยวหลันสลับกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน "พวกเจ้าสองคนไม่ได้เจอกันนาน นั่งคุยกันไปเถอะ…ข้าจะกลับไปบ่มเพาะพลังที่ห้องแล้ว" กล่าวจบลี่หลัวก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนที่จะเดินกลับเข้าห้องไป
เนิ่นนานผ่านไป …ต้วนหลิงเทียนกับเซี่ยวหลันยังคงนั่งตรงข้ามกันในศาลาของลานด้านหลังเงียบๆ
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
สุดท้ายก็เป็นเซี่ยวหลันที่กล่าวออกมาก่อน “เค่อเอ๋อ และลี่เฟย มิได้กลับมาพร้อมท่านหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมา “ไม่ได้กลับมาพร้อมกัน พวกนางเดินทางไปกับอาวุโส คงอีกสักพักกว่าที่พวกนางจะกลับมา..”
"อื้ม" เซี่ยวหลันพยักหน้าเบาๆ
“ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านอยู่ดีหรือไม่”หลังจากเซี่ยวหลันเห็นต้วนหลิงเทียน นั่งนิ่งไม่กล่าวคำหรือตอบสนองอะไรอยู่นาน นางก็ลอบก่นด่าในใจ ‘ท่านเป็นท่อนไม้หรือไรกัน’ ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
"ก็ไม่เลว" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
เขาไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นคนงุ่มง่ามอะไรแบบนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยวหลันแล้ว ..ความรู้สึกของเขามันกลับซับซ้อนไม่น้อย…
หากจะกล่าวว่าเขาไม่ประทับในตัวเซี่ยวหลัน นั่นมันก็เป็นไปไม่ได้
มีคำโบราณกล่าวไว้ว่าวีรบุรุษยากฝ่าด่านหญิงงาม …ถึงแม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษอะไร แต่เขาก็ยังไร้ซึ่งความต้านทานใดๆต่อสตรีที่งดงามระดับเซี่ยวหลัน…
แม้จะย้อนกลับไปวันนั้นตอนที่ยังอยู่เมืองออโรร่า ในยามที่เขาเห็นเซี่ยวหลันครั้งแรกระหว่างงานชุมนุมมังกรซ่อนที่ตระกูลเซี่ยวเป็นผู้จัด เขาก็อดไม่ที่จะคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้…ว่าเซี่ยวหลันนี้งดงามราวกับนางเซียนสวรรค์มาเยือนโลกมนุษย์โดยแท้ ตัวเขาเองก็ค่อนข้างรู้สึกประทับใจต่อนางไม่น้อย
จะอย่างไรคนทุกผู้ย่อมชมชอบความงดงาม
หากเขาไม่มีเค่อเอ๋อและลี่เฟยข้างกายล่ะก็ บางทีเขาคงคิดเรื่องการไขว่คว้าเซี่ยวหลันมาครอบครอง ส่วนในเรื่องความรู้สึกนั้น…ยังค่อยๆพัฒนาทีหลังก็ได้
เช่นเดียวกันกับลี่เฟยเมื่อหลายปีก่อน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากตอนนี้เขามีเค่อเอ๋อกับลี่เฟยอยู่แล้ว ทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องรับผิดชอบและซื่อสัตย์ต่อพวกนาง
เขาต้องคิดถึงใจของสาวน้อยทั้งสองคนของเขาด้วย
ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่มีวันแต่งงานกับสตรีใดเป็นคนที่ 3 อีกตลอดชีวิตของเขา …ถึงเขาจะไม่ใช่คนมักมากอะไร…
แต่ถ้าหากเขามีบุพเพได้พบพานกับคนที่ถูกชะตาและมีวาสนาร่วมกันแล้วจริงๆ เขาย่อมไขว่คว้าเอาไว้ไม่ปล่อยให้มันพลาดไปเด็ดขาด…
แต่จนถึงตอนนี้ดูเหมือนชะตากรรมและวาสนาของเขากับเซี่ยวหลัน จะไม่ได้มากมายอะไรถึงขั้นนั้น
ต่อมาเซี่ยวหลันก็กล่าวถามต้วนหลิงเทียนเรื่องอาณาจักรพนาคราม และในเวลาเดียวกันตัวนางเองก็เต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะไปยังอาณาจักรพนาครามไม่น้อย
“ข้าอิจฉาเค่อเอ๋อและลี่เฟยยิ่งนัก …ที่พวกนางสามารถติดตามอยู่ข้างกายท่าน ไปเที่ยวข้างนอกได้ทุกเวลา…”เซี่ยวหลันบังเกิดความอิจฉาไม่น้อย
เคียงข้างข้าทุกเวลา?
คำพูดของเซี่ยวหลันทำให้ต้วนหลิงเทียนละอายในใจนัก
ในช่วงตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น หากจะนับเวลาที่เขาได้อยู่ด้วยกันกับเค่อเอ่อและลี่เฟย ดูเหมือนมันจะน้อยกว่า 1 เดือนเสียอีก…
ส่วนเวลาอื่นนั้น เป็นเขาที่มักจะอยู่ลำพังคนเดียว