สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 440 : ออกจากค่ายกล!
WSSTH บทที่ 440 : ออกจากค่ายกล!
การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่าถูกเทียนหวู่ที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นได้ชัดเจน
แต่นางก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น จึงทำได้เพียงยืนรออยู่ข้างๆอย่างเงียบงัน
"หืม?" ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับมาจากภวังค์คิดเสียที
ตอนนี้เมื่อหันมองไปรอบๆก็พบว่าอาวุโสคงกำลังศึกษา อักขระที่จารึกอยู่บริเวณฝาผนังตำหนัก อันเป็นบันทึกประสบการณ์และองค์ความรู้ชั่วชีวิตของผู้จารึกอาคมผันแปรธรรมชาติ
"ประสบการณ์และองค์ความรู้นี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับข้าเลย …แต่ยังไงสำหรับอาวุโสคงแล้ว คงมีประโยชน์ไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวฉีกยิ้ม
หลังจากที่เขาดูแล้วพบว่าอาวุโสคง น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักในการซึมซับความรู้และประสบการณ์บนฝาผนัง ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะไปนั่งบ่มเพาะพลังบนเตียงศิลา เข้าสู่ภวังค์แห่งการฝึกฝน หลังจากที่บอกกล่าวกับเทียนหวู่ไปก่อนหน้าคำหนึ่งว่ามันจะบ่มเพาะ
วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบมังกรปีกวายุ!
ตอนนี้นัดหมายประลอง 2 ปี กับนายน้อยกู่ฉินใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าประมาทอะไร
การกระทำนี้ของต้วนหลิงเทียน แน่นอนว่าถูกพบเห็นโดยเฟิ่งหวู่เต้า และมันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความชื่นชมขึ้นมา
อัจฉริยะนั้นหาใช่เพียงพึ่งพาพรสวรรค์เท่านั้น คนยังต้องขยันหมั่นเพียรขัดเกลาตัวเองไม่ว่างเว้นเกียจคร้าน ถึงจะประสบความสำเร็จด้วยดี
ยกตัวอย่างหากอัจฉริยะมากพรสวรรค์คนหนึ่งคร้านการฝึก มัวแต่จมจ่อมไปกับความสุขจอมปลอม อัจฉริยะมากพรสวรรค์คนนั้น ก็ย่อมไม่มีความสำเร็จมากมายอะไร เสียพรสวรรค์ไปเปล่าๆปลี้ๆ
ครู่ต่อมา เฟิ่งเทียนหวู่ กับเฟิ่งหวู่เต้าเอง ก็ไปหาที่นั่งบนเตียงศิลาบ่มเพาะพลังเพื่อฆ่าเวลาเช่นกัน
เตียงศิลานี้มีขนาดใหญ่ไม่น้อย นั่งกันไม่กี่คนไม่นับว่าแออัดเบียดเสียดอะไร ต่างยังมีที่ว่างเว้นห่างพอสมควร
แล้วต้วนหลิงเทียนก็เข้าสู่ภวังค์บ่มเพาะ จนลืมเลือนเวลา
เขาเพียงแต่โคจรพลังงานต้นกำเนิดรอบแล้วรอบเล่าเพื่อสั่งสมพลังงานอย่างไม่หยุดยั้ง พลังงานจาการสั่งสมเองก็เพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลา
…
ต้วนหลิงเทียนเพียงระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆเปิดตาขึ้นมา ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของเขามาถึงช่วงสำคัญระหว่างระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 กับขั้นที่ 6 แล้ว เพียงทะลวงจุดรอคอยได้ก็จะตัดผ่านระดับ
“ท่านเจ้าเมือง อาวุโสคง เทียนหวู่…”เมื่อต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้น ก็เห็นทั้ง 3 คนกำลังนั่งสนทนากันด้วยน้ำเสียงกระซิบบริเวณโต๊ะศิลา
ทั้งหมดต่างคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนตื่นขึ้นมาแล้ว
โดยเฉพาะเฟิ่งเทียนหวู่ ดวงตาคู่ใสกระจ่างดั่งสายธารายามสารทฤดูของนาง ยังเผยร่องรอยแห่งความสุขลนปรี่ออกมาอย่างบอกไม่ถูก
"พี่ใหญ่ต้วน ท่านตื่นแล้ว" เฟิ่งเทียนหวู่ยินขึ้น ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนๆมาทางต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ก่อนอดไม่ได้ที่จะไถ่ถามออกมา เมื่อท้องเริ่มร้องโครกครากส่งเสียงดัง ราวกับกำลังจะประชด "นี่ข้าบ่มเพาะไปนานเท่าไหร่กันหรือ?"
"หนึ่งเดือนครึ่ง" เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวตอบ
"หนึ่งเดือนครึ่ง … " คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นทันใด กล่าวอีกอย่าง นั่นหมายความว่านัดหมายประลองกับนายน้อยกู่ฉิน เหลือเวลาอีกเพียง 4 เดือนครึ่งเท่านั้น
"อาวุโสคง ท่านชมดูบันทึกบนผนังเสร็จสิ้นแล้วหรือ?" ต้วนหลิงเทียนหันไปมองผนังตำหนักรอบหนึ่ง ก่อนที่จะหันมากล่าวถามอาวุโสคง
"เสร็จสิ้นแล้ว" ชายชราพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มสดใส ประกายตาของมันยังใสกระจ่าง เห็นได้ชัดว่ามันได้กำไรค่อนข้างมหาศาลนัก "สหายน้อยต้วน แล้วท่านไม่ชมดูมันหรือ?"
"องค์ความรู้และประสบการณ์ของผู้จารึกคนนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าเลย" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมา
ชายชราย่อมเข้าใจได้โดยพลัน
หากมันไม่รู้ความสามารถ และความสำเร็จในเต๋าแห่งการจารึกของต้วนหลิงเทียนแล้วล่ะก็ มันคงคิดว่าวาจาของต้วนหลิงเทียนนั้น ช่างยโสโอหังนัก
‘ดูเหมือนความสำเร็จในเส้นทางเต๋าแห่งการจารึก ของอาจารย์สหายน้อยต้วน จะเหนือกว่า ผู้จารึกอาคมระดับผันแปรธรรมชาติเจ้าของตำหนักนี้!’ ตอนนี้ทั้งหมดลอบตื่นตระหนกในใจ
"เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเราก็ออกไปกันเถอะ" เฟิ่งหวู่เต้าค่อยๆกล่าวออกมา
ต้วนหลิงเทียน อาวุโสคง และเฟิ่งเทียนหวู่ก็ไม่มีใครคัดค้านอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มคนทั้ง 4 ก็กลับมาถึงริมสระชำระจิต
"เอ๊ะ! เจ้าเสี่ยวจินยังมิตื่นอีก" เฟิ่งเทียนหวู่เดินไปหยิบเจ้าหนูน้อยที่นอนอยู่บนกองผ้าขึ้นมาถือไว้อย่างทะนุถนอม นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเจ้าเสี่ยวจินยังคงหลับปุ๋ยอยู่
จะอย่างไรนี่มันก็ผ่านไปเดือนครึ่งแล้ว
"มันคงหลับไปอีกสักพักล่ะ" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมยิ้มบางๆ …ตอนนี้เขาก็คิดที่จะปิดค่ายกลออกไป ทว่ากลับเป็นผู้อาวุโสคงที่ต้องการจะเปิดค่ายกลด้วยตัวเอง ทางด้านต้วนหลิงเทียนเมื่อเห็นผู้อาวุโสคงอยากลองวิชาก็ปล่อยให้มันแสดงได้อย่างเต็มที่
ทว่าหลังจากเนิ่นนานผ่านไป หยาดเหงื่อของผู้อาวุโสคงยิ่งมายิ่งมาก แลคล้ายไปยืนตากฝนมาอย่างไรอย่างนั้น จนแล้วจนรอดมันก็ไม่อาจเปิดค่ายกลได้
"อาวุโสคง ท่านเปิดมิได้หรือ?" เฟิ่งหวู่เต้าประหลาดใจไม่น้อย
มิใช่ว่าอาวุโสคงได้ศึกษาบันทึกประสบการณ์ชั่วชีวิตและเต๋าในการจารึกของผู้เชี่ยวชาญจารึกอาคมที่ก่อตั้งค่ายกลนี้แล้วหรอกหรือ?
แล้วเหตุใดอาวุโสคงยังไม่อาจเปิดค่ายกลของผู้เชี่ยวชาญจารึกนั่นได้เล่า?
อาวุโสคงบังเกิดความละอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ “ข้าอาจจะต้องฝึกซ้อมสักพักหนึ่งก่อน…”
"ให้ข้าเอง" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวและยิ้ม พลังวิญญาณของเขาแผ่ซ่านไปสำรวจค่ายกลอีกครา อาศัยความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ต้วนหลิงเทียนย่อมมองทะลุค่ายกลนี้ทะลุปรุโปร่ง
ถึงแม้ว่าตอนนี้พลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะนับว่าด้อยกว่าอาวุโสคง แต่เขาก็สามารถพบแกนหลักของค่ายกล ที่ทำหน้าที่ประสานอาคมจารึกต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถทำลายการก่อตัวของค่ายกลได้ง่ายดายหากต้องการ …ทว่าเขาเพียงแค่เลือกจะเปิดมันเท่านั้น ไม่คิดทำลายอะไร
ครืนนนน!!
เมฆหมอกหนาทึบที่ปกคลุมทางเข้าได้เริ่มแหวกออก เปิดทางอีกครั้ง
กลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 คน ก็เดินออกมาหน้าหุบเขาสำเร็จ ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะแผ่พลังวิญญาณไปควบคุมจัดการแก่นค่ายกลอีกครั้ง และเลือกที่จะปิดทางเข้าเอาไว้ดังเดิม
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังกระทำการแก้ไขกลไกเรื่องการเปิดออกทุกๆ 3 ปีของสระชำระจิตอีกด้วย
“ต่อไปสระชำระจิตนี้จะไม่เปิดให้ใครเข้าไปอีกแล้ว…”ต้วนหลิงเทียนดำเนินการเสร็จก็หันไปบอกกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ
ทั้ง 3 คนล้วนพยักหน้า และไม่คิดว่าการกระทำครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ผิดหรือไม่สมควรแต่อย่าไร
เพราะจะอย่างไรผลวิญญาณสันโดษก็ถูกเจ้าหนูตัวน้อยกินไปเสียแล้ว สระชำระจิตที่ว่าก็ไร้ซึ่งพลังวิญญาณอันใด ไม่อาจขัดเกลาวิญญาณผู้คนได้อีกแล้ว
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่แก้ไขค่ายกลและปล่อยให้มันเปิดออกเหมือนเดิม แต่ภายภาคหน้าผู้คนที่รอนแรมมายังสระชำระจิตก็คงต้องผิดหวัง ไม่เกิดประโยชน์อะไร..
หลังจากใช้เวลาไม่นาน กลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ก็อาศัยสัตว์อสูรบินได้กลับมายังเมืองหงส์ฟ้า
เมืองหงส์ฟ้ายังคงเงียบสงบเหมือนเดิม เป็นดั่งตอนที่พวกเขาจากไป
หลังจากกลับมาคราวนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อาศัยอยู่ที่จวนเจ้าเมืองเพียงแค่ 3 วันนั้นก่อนที่จะเลือกจากไป
"พีใหญ่ต้วน ใยท่านรีบร้อนเดินทางนักเล่า?" ใบหน้างดงามของเฟิ่งเทียนหวู่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ
"งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา …นอกจากนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องรีบไปกระทำ แล้วข้าจะมาพบเจ้าในอนาคต" ต้วนหลิงเทียนยิ้มอ่อนๆ ขณะกล่าวคำ
เฟิ่งเทียนหวู่พยักหน้ารับคำ นางไม่ใช่สตรีโง่งม เพียงดูก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีความจำเป็นต้องออกเดินทางจริงๆ
"หลิงเทียน เจ้าอย่าได้ลืมคำกล่าวไว้เสียเล่า" เฟิ่งหวู่เต้าหันไปมองต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมาผ่านพลังงานต้นกำเนิด
"ท่านเจ้าเมืองเรื่องนี้ท่านสบายใจได้ ข้าต้วนหลิงเทียนรักษาสัญญาเสมอ คำไหนย่อมเป็นคำนั้นไม่คิดกลับคำ …ตราบใดที่ในวันหนึ่งร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำ หรือน้ำแข็งของข้าตื่นขึ้น ข้าจะกลับมาแต่งกับเทียนหวู่ และช่วยชีวิตนางให้ได้" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเฟิ่งหวู่เต้าพร้อมพยักหน้าส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดตอบกลับ "ถึงเวลานั้นข้าจะมายังเมืองหงส์ฟ้านี่อีกครั้ง"
"เจ้าไม่จำเป็นต้องมาแล้ว" เสียงของเฟิ่งหวู่เต้าที่ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนครานี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนสับสนไปไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกล่าวถามกลับไป "ไม่จำเป็นต้องมาแล้ว? ท่านเจ้าเมือง แล้ว… "
"สิ่งที่ข้าจะบอกคือเจ้าไม่ต้องมายังเมืองหงส์ฟ้าอีกต่อไปแล้ว เพราะหลังจากนี้อีกไม่นานพวกเราจะกลับไปยังที่ๆเราจากมา …ในอนาคตหากเจ้าคิดหาพวกเรา ให้เจ้าเดินทางไปยังเมืองหลวงของราชอาณาจักรต้าฮั่น เพียงเจ้ากล่าวถามผู้คนในเมืองหลวง ทั้งหมดย่อมรู้ดีตระกูลเฟิ่งอยู่ที่ใด" เสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของเฟิ่งหวู่เต้าดังขึ้นอีกครั้ง ไขข้อสงสัยของต้วนหลิงเทียน ให้เขาเข้าใจได้โดยพลัน
ตระกูลเฟิ่ง
เขาคิดว่าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ คงมาจากตระกูลนี้แน่นอน
เขาจดจำเอาไว้อย่างดี
“พี่ใหญ่ต้วน…ท่านยังมิได้บอกพวกเราเลยว่าท่านมาจากที่ใด?” เฟิ่งเทียนหวู่หันไปมองต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา
"อะไร? เจ้ากลัวข้าจะหายตัวไปงั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาหยอกล้อนางเล็กน้อย เพื่อสลายบรรยากาศซึมๆยามต้องลากจาก “ข้ามาจากอาณาจักรพนาครามน่ะ มันตั้งอยู่ทางใต้ของอาณาจักรศิลาทมิฬนี่ล่ะ… ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ในนิกายอันดับ 1 ของ 5 นิกายใหญ่แห่งอาณาจักรพนาคราม เรียกว่านิกายกระบี่ 7 ดาว..หากไม่มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าอาจจะยังอยู่ในนิกาย 7 ดาวอีกสักพัก "
"นิกายกระบี่ 7 ดาว" เฟิ่งเทียนหวู่เพียงพยักหน้ารับคำช้าๆ ในใจจดจำชื่อนี้เอาไว้อย่างดี
"เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว … อาวุโสคง ข้าลาแล้ว!" ต้วนหลิงเทียนหันไปร่ำลาอาวุโสคง ก่อนที่จะเดินออกจาก จวนเจ้าเมืองไป
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเดินจากไป
“พอแล้ว…ลูกหวู่…เขาไปแล้ว”เฟิ่งหวู่เต้ามองไปยังเฟิ่งเทียนหวู่ที่ชะเง้อคอมองไปยังทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนเดินจากไปอยู่นาน จนอดไม่ได้ที่มันจะต้องกล่าวดึงสตินางกลับมา
มันรู้ดีแก่ใจว่า การจากไปครานี้ของต้วนหลิงเทียน …อีกฝ่ายหอบหิ้วหัวใจของลูกสาวมันไปด้วย
"ต้วนหลิงเทียนนี่ช่างร้ายกาจจริงๆ …ตั้งแต่เล็กๆแล้วบุตรีข้านั้นมีพรสวรรค์และความสามารถจนไม่มีใครเทียบนางได้ ทั้งไร้ผู้ใดเอาชนะใจนางได้ …ไม่คิดเลยเจ้ามาไม่ทันไร ก็ได้หัวใจของนางไปเสียแล้ว…กระทั่งบิดายังไม่สนใจฟังแล้ว เฮ่อ…" ถึงแม้เรื่องนี้จะทำให้ตัวมันไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยที่ถูกแย่งบุตรี แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับ
"ฮึ่มม!" เฟิ่งเทียนหวู่ถอนสายตากลับมาถลึงมองเฟิ่งหวู่เต้าเล็กน้อย ก่อนที่จะหันหน้าไป ในแววตาแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้ไม่น้อย ในใจยังรู้สึกว่างเปล่าคล้ายสูญเสียสิ่งใดไป
บรรยากาศกลับมาหดหู่อีกครั้ง
นอกเมืองหงส์ฟ้า
"ย่าห์!" อาชาใหญ่โต ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยสีแดงฉานดั่งโลหิตกำลังห้อตะบึงพุ่งไปด้วยความเร็วสูง โดยมีชายหนุ่มในชุดสีม่วงควบคุมบังเหียน
แน่นอนย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินทางออกจากเมืองหงส์ฟ้า
"บ้าเอ๊ย!…ข้าก็ลืมไปสนิทเลยว่าเจ้าเสี่ยวจินมันหลับอยู่ …ตอนนี้คงทำได้เพียงรีบเดินทางด้วยอาชาเหงื่อโลหิตนี่เท่านั้นล่ะนะ…" ต้วนหลิงเทียนเผยรอยยิ้มขื่นขมบนใบหน้า
เขาพึ่งนึกถึงเรื่องนี้ได้ ก็ตอนที่เดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะบาดกหน้ากลับเข้าจวนเข้าเมืองไปขอสัตว์อสูรบินได้เพื่อเดินทาง ได้อย่างไม่มีปัญหาก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกความคิดอะไรแบบนั้น
เนื่องจากเขาเองก็ยังไม่ได้ถึงคราวรีบเร่งอะไร เขาจึงไม่อยากเข้าไปสร้างปัญหาอะไรเพิ่มอีก
เขาไม่อยากติดค้างเฟิ่งหวู่เต้า
ต้วนหลิงเทียนห้อม้าตะบึงมุ่งลงใต้ไป ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มันจะวิ่งได้
ห้อตะบึงข้ามผ่านระยะทางกลางวันไม่พัก กลางคืนไม่หลับ…ความลำบากจากการเดินทางเคี่ยวกรำผู้คนไม่น้อย
ม้าพาคนห้อตะบึงบึ่งไปดั่งไร้จุดหมายปลายทาง ทั้งหมดที่พบพานมีเพียงความรกร้างว่างเปล่า
"อีกสี่เดือนครึ่ง… ข้าจะเดินทางไปเรื่อยๆ และใช้เวลานี้เคี่ยวกรำตัวเองให้มาก" ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจ
ขุนเขาเทียนชู นิกายกระบี่ 7 ดาว…
สถานที่โออ่าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณยอดเขาเทียนชู แลดูมีความสันโดษไม่น้อย มองไปไกลๆ แลคล้ายสัตว์อสูรตัวหนึ่งกำลังเอนายลงนอน
“พี่ใหญ่เหล่ย พี่ใหญ่เหล่ย” ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบสงบดังขึ้น
ชายหนุ่มอายุราวๆ 17-18 ปี ผลักประตูบ้านหนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องหับอันกว้างขวาง
“พรวด!”ชายสวมชุดสีฟ้าที่นั่งบ่มเพาะพลังอยู่บนเตียงพลันกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง มันบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างสุดแสน เนื่องด้วยพลังงานที่มันโคจรตามแนวทางวิชาอย่างยากลำบาก พลันตีกลับจนสร้างผลร้ายแก่มัน ยังดีที่มันยังควบคุมพลังงานเอาไว้ได้ทัน ไม่ได้เป็นอันรายอะไรมาก เพียงกระอักโลหิตคำหนึ่งเท่านั้น
ชายในชุดสีฟ้าลืมตาขึ้น แสงเย็นเยือกแผ่ว่านออกจากแววตาของมัน ก่อนที่จะวูบดับหายไปอย่างรวดเร็ว ค่อยหันไปมองผู้ที่ส่งเสียงเรียกมันเมื่อครู่ ทั้งยังบังคับให้มุมปากคลี่ยิ้มทักทายชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นที่พึ่งเข้ามาเสียอีก “น้องเคอ เจ้ามีอันใด ใยถึงได้รีบร้อนหาข้าถึงเพียงนี้?”
มันย่อมรู้ดีแก่ใจว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของมันคนหนึ่ง และตัวมันนั้นนับว่ามีสถานะ และความสามารถห่างไกลจากอีกฝ่ายมากนัก
เอาเพียงแค่สถานที่บ่มเพาะ ลูกพี่ลูกน้องของมันคนนี้ก็ได้บ่มเพาะในสถานที่เลิศล้ำเช่นนี้ตั้งแต่น้อย
เพราะจะอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็คือจวนของผู้พิทักษ์อาวุโสของนิกายกระบี่ 7 ดาวจ้าวหมิง อันเป็นสถานที่บ่มเพาะ เลิศล้ำ ด้วยตั้งบนจุดชีพจรวิญญาณ
และอาวุโสผู้พิทักษ์จ้าวหมิงก็เป็นปู่แท้ๆของลูกพี่ลูกน้องมันคนนี้
"พี่ใหญ่เหล่ย ท่านชมดูนี่เร็วเข้า… " หนุ่มน้อยชุดสีเขียวเหลือบมองไปยังชายชุดฟ้าเล็กน้อยไม่ได้แยแสอาการบาดเจ็บอะไรอีกฝ่ายก่อนที่จะ ล้วงควักคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาอย่างตื่นเต้น รีบพลิกเปิดคัมภีร์ไปยังหน้ากลาง พร้อมชี้ไปทันที "ท่านเห็นข้อความเหล่านี้หรือไม่…"
ชายหนุ่มชุดฟ้ารีบมองตามที่นิ้วชี้ทันที
ที่หน้ากลางของคัมภีร์ กลับปรากฏข้อความหนึ่งที่สะดุดตาไม่น้อย
ประการที่หนึ่ง จำเป็นปลิดปลงเครื่องเพศลงมือตอนตน ถึงจะสามารถฝึกฝนเดินพลังในวิชาบ่มเพาะครึ่งหลัง ได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด
หากไม่ปลิดปลงองค์ชาติตอนตนแล้วไซร้ ไม่อาจสำเร็จวิชาเลิศล้ำดั่งเทพเซียน
เพียงฝึกฝนสำเร็จ ดั่งเสมือนเกิดใหม่ ทุกสิ่งงอกเงยกลับคืน ร่างบรรลุจุดสูงสุดแห่งยุทธ์!