หน้าแรก Amnovel
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
ค้นหา
ค้นหาขั้นสูง
เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
  • เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
Prev
Next

สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 440 : ออกจากค่ายกล!

  1. หน้าแรก
  2. สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์
  3. บทที่ 440 : ออกจากค่ายกล!
Prev
Next

WSSTH บทที่ 440 : ออกจากค่ายกล!

 

 

การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่าถูกเทียนหวู่ที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นได้ชัดเจน

แต่นางก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น จึงทำได้เพียงยืนรออยู่ข้างๆอย่างเงียบงัน

"หืม?" ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ดึงสติกลับมาจากภวังค์คิดเสียที

ตอนนี้เมื่อหันมองไปรอบๆก็พบว่าอาวุโสคงกำลังศึกษา อักขระที่จารึกอยู่บริเวณฝาผนังตำหนัก อันเป็นบันทึกประสบการณ์และองค์ความรู้ชั่วชีวิตของผู้จารึกอาคมผันแปรธรรมชาติ

"ประสบการณ์และองค์ความรู้นี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับข้าเลย …แต่ยังไงสำหรับอาวุโสคงแล้ว คงมีประโยชน์ไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวฉีกยิ้ม

หลังจากที่เขาดูแล้วพบว่าอาวุโสคง น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักในการซึมซับความรู้และประสบการณ์บนฝาผนัง  ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะไปนั่งบ่มเพาะพลังบนเตียงศิลา เข้าสู่ภวังค์แห่งการฝึกฝน หลังจากที่บอกกล่าวกับเทียนหวู่ไปก่อนหน้าคำหนึ่งว่ามันจะบ่มเพาะ

วิชา  9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบมังกรปีกวายุ!

ตอนนี้นัดหมายประลอง 2 ปี กับนายน้อยกู่ฉินใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ต้วนหลิงเทียนไม่กล้าประมาทอะไร

การกระทำนี้ของต้วนหลิงเทียน แน่นอนว่าถูกพบเห็นโดยเฟิ่งหวู่เต้า และมันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความชื่นชมขึ้นมา

อัจฉริยะนั้นหาใช่เพียงพึ่งพาพรสวรรค์เท่านั้น คนยังต้องขยันหมั่นเพียรขัดเกลาตัวเองไม่ว่างเว้นเกียจคร้าน ถึงจะประสบความสำเร็จด้วยดี

ยกตัวอย่างหากอัจฉริยะมากพรสวรรค์คนหนึ่งคร้านการฝึก มัวแต่จมจ่อมไปกับความสุขจอมปลอม อัจฉริยะมากพรสวรรค์คนนั้น ก็ย่อมไม่มีความสำเร็จมากมายอะไร เสียพรสวรรค์ไปเปล่าๆปลี้ๆ

ครู่ต่อมา เฟิ่งเทียนหวู่ กับเฟิ่งหวู่เต้าเอง ก็ไปหาที่นั่งบนเตียงศิลาบ่มเพาะพลังเพื่อฆ่าเวลาเช่นกัน

เตียงศิลานี้มีขนาดใหญ่ไม่น้อย นั่งกันไม่กี่คนไม่นับว่าแออัดเบียดเสียดอะไร ต่างยังมีที่ว่างเว้นห่างพอสมควร

แล้วต้วนหลิงเทียนก็เข้าสู่ภวังค์บ่มเพาะ จนลืมเลือนเวลา

เขาเพียงแต่โคจรพลังงานต้นกำเนิดรอบแล้วรอบเล่าเพื่อสั่งสมพลังงานอย่างไม่หยุดยั้ง พลังงานจาการสั่งสมเองก็เพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลา

…

ต้วนหลิงเทียนเพียงระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆเปิดตาขึ้นมา  ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของเขามาถึงช่วงสำคัญระหว่างระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 กับขั้นที่ 6 แล้ว เพียงทะลวงจุดรอคอยได้ก็จะตัดผ่านระดับ

“ท่านเจ้าเมือง อาวุโสคง เทียนหวู่…”เมื่อต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้น ก็เห็นทั้ง 3 คนกำลังนั่งสนทนากันด้วยน้ำเสียงกระซิบบริเวณโต๊ะศิลา

ทั้งหมดต่างคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนตื่นขึ้นมาแล้ว

โดยเฉพาะเฟิ่งเทียนหวู่ ดวงตาคู่ใสกระจ่างดั่งสายธารายามสารทฤดูของนาง  ยังเผยร่องรอยแห่งความสุขลนปรี่ออกมาอย่างบอกไม่ถูก

"พี่ใหญ่ต้วน ท่านตื่นแล้ว" เฟิ่งเทียนหวู่ยินขึ้น ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนๆมาทางต้วนหลิงเทียน

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ก่อนอดไม่ได้ที่จะไถ่ถามออกมา เมื่อท้องเริ่มร้องโครกครากส่งเสียงดัง ราวกับกำลังจะประชด "นี่ข้าบ่มเพาะไปนานเท่าไหร่กันหรือ?"

"หนึ่งเดือนครึ่ง" เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวตอบ

"หนึ่งเดือนครึ่ง … " คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นทันใด กล่าวอีกอย่าง นั่นหมายความว่านัดหมายประลองกับนายน้อยกู่ฉิน เหลือเวลาอีกเพียง 4 เดือนครึ่งเท่านั้น

"อาวุโสคง ท่านชมดูบันทึกบนผนังเสร็จสิ้นแล้วหรือ?" ต้วนหลิงเทียนหันไปมองผนังตำหนักรอบหนึ่ง ก่อนที่จะหันมากล่าวถามอาวุโสคง

"เสร็จสิ้นแล้ว" ชายชราพยักหน้าพร้อมคลี่ยิ้มสดใส ประกายตาของมันยังใสกระจ่าง เห็นได้ชัดว่ามันได้กำไรค่อนข้างมหาศาลนัก "สหายน้อยต้วน แล้วท่านไม่ชมดูมันหรือ?"

"องค์ความรู้และประสบการณ์ของผู้จารึกคนนี้ ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าเลย" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมา

ชายชราย่อมเข้าใจได้โดยพลัน

หากมันไม่รู้ความสามารถ และความสำเร็จในเต๋าแห่งการจารึกของต้วนหลิงเทียนแล้วล่ะก็ มันคงคิดว่าวาจาของต้วนหลิงเทียนนั้น ช่างยโสโอหังนัก

‘ดูเหมือนความสำเร็จในเส้นทางเต๋าแห่งการจารึก ของอาจารย์สหายน้อยต้วน จะเหนือกว่า ผู้จารึกอาคมระดับผันแปรธรรมชาติเจ้าของตำหนักนี้!’ ตอนนี้ทั้งหมดลอบตื่นตระหนกในใจ

"เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเราก็ออกไปกันเถอะ" เฟิ่งหวู่เต้าค่อยๆกล่าวออกมา

ต้วนหลิงเทียน อาวุโสคง และเฟิ่งเทียนหวู่ก็ไม่มีใครคัดค้านอะไร

หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มคนทั้ง 4 ก็กลับมาถึงริมสระชำระจิต

"เอ๊ะ! เจ้าเสี่ยวจินยังมิตื่นอีก" เฟิ่งเทียนหวู่เดินไปหยิบเจ้าหนูน้อยที่นอนอยู่บนกองผ้าขึ้นมาถือไว้อย่างทะนุถนอม นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเจ้าเสี่ยวจินยังคงหลับปุ๋ยอยู่

จะอย่างไรนี่มันก็ผ่านไปเดือนครึ่งแล้ว

"มันคงหลับไปอีกสักพักล่ะ" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมยิ้มบางๆ …ตอนนี้เขาก็คิดที่จะปิดค่ายกลออกไป ทว่ากลับเป็นผู้อาวุโสคงที่ต้องการจะเปิดค่ายกลด้วยตัวเอง  ทางด้านต้วนหลิงเทียนเมื่อเห็นผู้อาวุโสคงอยากลองวิชาก็ปล่อยให้มันแสดงได้อย่างเต็มที่

ทว่าหลังจากเนิ่นนานผ่านไป หยาดเหงื่อของผู้อาวุโสคงยิ่งมายิ่งมาก แลคล้ายไปยืนตากฝนมาอย่างไรอย่างนั้น  จนแล้วจนรอดมันก็ไม่อาจเปิดค่ายกลได้

"อาวุโสคง ท่านเปิดมิได้หรือ?" เฟิ่งหวู่เต้าประหลาดใจไม่น้อย

มิใช่ว่าอาวุโสคงได้ศึกษาบันทึกประสบการณ์ชั่วชีวิตและเต๋าในการจารึกของผู้เชี่ยวชาญจารึกอาคมที่ก่อตั้งค่ายกลนี้แล้วหรอกหรือ?

แล้วเหตุใดอาวุโสคงยังไม่อาจเปิดค่ายกลของผู้เชี่ยวชาญจารึกนั่นได้เล่า?

อาวุโสคงบังเกิดความละอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ “ข้าอาจจะต้องฝึกซ้อมสักพักหนึ่งก่อน…”

"ให้ข้าเอง" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวและยิ้ม พลังวิญญาณของเขาแผ่ซ่านไปสำรวจค่ายกลอีกครา อาศัยความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ต้วนหลิงเทียนย่อมมองทะลุค่ายกลนี้ทะลุปรุโปร่ง

ถึงแม้ว่าตอนนี้พลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะนับว่าด้อยกว่าอาวุโสคง แต่เขาก็สามารถพบแกนหลักของค่ายกล ที่ทำหน้าที่ประสานอาคมจารึกต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน  ทำให้สามารถทำลายการก่อตัวของค่ายกลได้ง่ายดายหากต้องการ …ทว่าเขาเพียงแค่เลือกจะเปิดมันเท่านั้น ไม่คิดทำลายอะไร

ครืนนนน!!

เมฆหมอกหนาทึบที่ปกคลุมทางเข้าได้เริ่มแหวกออก  เปิดทางอีกครั้ง

กลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 คน ก็เดินออกมาหน้าหุบเขาสำเร็จ  ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะแผ่พลังวิญญาณไปควบคุมจัดการแก่นค่ายกลอีกครั้ง และเลือกที่จะปิดทางเข้าเอาไว้ดังเดิม

ไม่เพียงเท่านั้นเขายังกระทำการแก้ไขกลไกเรื่องการเปิดออกทุกๆ 3 ปีของสระชำระจิตอีกด้วย

“ต่อไปสระชำระจิตนี้จะไม่เปิดให้ใครเข้าไปอีกแล้ว…”ต้วนหลิงเทียนดำเนินการเสร็จก็หันไปบอกกับเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ

ทั้ง 3 คนล้วนพยักหน้า และไม่คิดว่าการกระทำครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ผิดหรือไม่สมควรแต่อย่าไร

เพราะจะอย่างไรผลวิญญาณสันโดษก็ถูกเจ้าหนูตัวน้อยกินไปเสียแล้ว  สระชำระจิตที่ว่าก็ไร้ซึ่งพลังวิญญาณอันใด ไม่อาจขัดเกลาวิญญาณผู้คนได้อีกแล้ว

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่แก้ไขค่ายกลและปล่อยให้มันเปิดออกเหมือนเดิม แต่ภายภาคหน้าผู้คนที่รอนแรมมายังสระชำระจิตก็คงต้องผิดหวัง ไม่เกิดประโยชน์อะไร..

หลังจากใช้เวลาไม่นาน กลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 ก็อาศัยสัตว์อสูรบินได้กลับมายังเมืองหงส์ฟ้า

เมืองหงส์ฟ้ายังคงเงียบสงบเหมือนเดิม เป็นดั่งตอนที่พวกเขาจากไป

หลังจากกลับมาคราวนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อาศัยอยู่ที่จวนเจ้าเมืองเพียงแค่ 3 วันนั้นก่อนที่จะเลือกจากไป

"พีใหญ่ต้วน ใยท่านรีบร้อนเดินทางนักเล่า?" ใบหน้างดงามของเฟิ่งเทียนหวู่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ

"งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา …นอกจากนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องรีบไปกระทำ แล้วข้าจะมาพบเจ้าในอนาคต" ต้วนหลิงเทียนยิ้มอ่อนๆ ขณะกล่าวคำ

เฟิ่งเทียนหวู่พยักหน้ารับคำ นางไม่ใช่สตรีโง่งม เพียงดูก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีความจำเป็นต้องออกเดินทางจริงๆ

"หลิงเทียน เจ้าอย่าได้ลืมคำกล่าวไว้เสียเล่า" เฟิ่งหวู่เต้าหันไปมองต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมาผ่านพลังงานต้นกำเนิด

"ท่านเจ้าเมืองเรื่องนี้ท่านสบายใจได้ ข้าต้วนหลิงเทียนรักษาสัญญาเสมอ  คำไหนย่อมเป็นคำนั้นไม่คิดกลับคำ …ตราบใดที่ในวันหนึ่งร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำ หรือน้ำแข็งของข้าตื่นขึ้น ข้าจะกลับมาแต่งกับเทียนหวู่ และช่วยชีวิตนางให้ได้" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเฟิ่งหวู่เต้าพร้อมพยักหน้าส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดตอบกลับ "ถึงเวลานั้นข้าจะมายังเมืองหงส์ฟ้านี่อีกครั้ง"

"เจ้าไม่จำเป็นต้องมาแล้ว" เสียงของเฟิ่งหวู่เต้าที่ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนครานี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนสับสนไปไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกล่าวถามกลับไป "ไม่จำเป็นต้องมาแล้ว? ท่านเจ้าเมือง แล้ว… "

"สิ่งที่ข้าจะบอกคือเจ้าไม่ต้องมายังเมืองหงส์ฟ้าอีกต่อไปแล้ว เพราะหลังจากนี้อีกไม่นานพวกเราจะกลับไปยังที่ๆเราจากมา …ในอนาคตหากเจ้าคิดหาพวกเรา ให้เจ้าเดินทางไปยังเมืองหลวงของราชอาณาจักรต้าฮั่น  เพียงเจ้ากล่าวถามผู้คนในเมืองหลวง ทั้งหมดย่อมรู้ดีตระกูลเฟิ่งอยู่ที่ใด" เสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของเฟิ่งหวู่เต้าดังขึ้นอีกครั้ง ไขข้อสงสัยของต้วนหลิงเทียน ให้เขาเข้าใจได้โดยพลัน

ตระกูลเฟิ่ง

เขาคิดว่าเฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ คงมาจากตระกูลนี้แน่นอน

เขาจดจำเอาไว้อย่างดี

“พี่ใหญ่ต้วน…ท่านยังมิได้บอกพวกเราเลยว่าท่านมาจากที่ใด?” เฟิ่งเทียนหวู่หันไปมองต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา

"อะไร? เจ้ากลัวข้าจะหายตัวไปงั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาหยอกล้อนางเล็กน้อย เพื่อสลายบรรยากาศซึมๆยามต้องลากจาก  “ข้ามาจากอาณาจักรพนาครามน่ะ มันตั้งอยู่ทางใต้ของอาณาจักรศิลาทมิฬนี่ล่ะ… ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ในนิกายอันดับ 1 ของ 5 นิกายใหญ่แห่งอาณาจักรพนาคราม เรียกว่านิกายกระบี่ 7 ดาว..หากไม่มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น  ข้าอาจจะยังอยู่ในนิกาย 7 ดาวอีกสักพัก "

"นิกายกระบี่ 7 ดาว" เฟิ่งเทียนหวู่เพียงพยักหน้ารับคำช้าๆ ในใจจดจำชื่อนี้เอาไว้อย่างดี

"เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว … อาวุโสคง ข้าลาแล้ว!" ต้วนหลิงเทียนหันไปร่ำลาอาวุโสคง ก่อนที่จะเดินออกจาก จวนเจ้าเมืองไป

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเดินจากไป

“พอแล้ว…ลูกหวู่…เขาไปแล้ว”เฟิ่งหวู่เต้ามองไปยังเฟิ่งเทียนหวู่ที่ชะเง้อคอมองไปยังทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนเดินจากไปอยู่นาน จนอดไม่ได้ที่มันจะต้องกล่าวดึงสตินางกลับมา

มันรู้ดีแก่ใจว่า การจากไปครานี้ของต้วนหลิงเทียน …อีกฝ่ายหอบหิ้วหัวใจของลูกสาวมันไปด้วย

"ต้วนหลิงเทียนนี่ช่างร้ายกาจจริงๆ …ตั้งแต่เล็กๆแล้วบุตรีข้านั้นมีพรสวรรค์และความสามารถจนไม่มีใครเทียบนางได้ ทั้งไร้ผู้ใดเอาชนะใจนางได้ …ไม่คิดเลยเจ้ามาไม่ทันไร ก็ได้หัวใจของนางไปเสียแล้ว…กระทั่งบิดายังไม่สนใจฟังแล้ว เฮ่อ…" ถึงแม้เรื่องนี้จะทำให้ตัวมันไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยที่ถูกแย่งบุตรี แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับ

"ฮึ่มม!" เฟิ่งเทียนหวู่ถอนสายตากลับมาถลึงมองเฟิ่งหวู่เต้าเล็กน้อย ก่อนที่จะหันหน้าไป ในแววตาแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้ไม่น้อย ในใจยังรู้สึกว่างเปล่าคล้ายสูญเสียสิ่งใดไป

บรรยากาศกลับมาหดหู่อีกครั้ง

นอกเมืองหงส์ฟ้า

"ย่าห์!" อาชาใหญ่โต ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยสีแดงฉานดั่งโลหิตกำลังห้อตะบึงพุ่งไปด้วยความเร็วสูง โดยมีชายหนุ่มในชุดสีม่วงควบคุมบังเหียน

แน่นอนย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินทางออกจากเมืองหงส์ฟ้า

"บ้าเอ๊ย!…ข้าก็ลืมไปสนิทเลยว่าเจ้าเสี่ยวจินมันหลับอยู่ …ตอนนี้คงทำได้เพียงรีบเดินทางด้วยอาชาเหงื่อโลหิตนี่เท่านั้นล่ะนะ…" ต้วนหลิงเทียนเผยรอยยิ้มขื่นขมบนใบหน้า

เขาพึ่งนึกถึงเรื่องนี้ได้ ก็ตอนที่เดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองแล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะบาดกหน้ากลับเข้าจวนเข้าเมืองไปขอสัตว์อสูรบินได้เพื่อเดินทาง ได้อย่างไม่มีปัญหาก็ตาม  แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกความคิดอะไรแบบนั้น

เนื่องจากเขาเองก็ยังไม่ได้ถึงคราวรีบเร่งอะไร เขาจึงไม่อยากเข้าไปสร้างปัญหาอะไรเพิ่มอีก

เขาไม่อยากติดค้างเฟิ่งหวู่เต้า

ต้วนหลิงเทียนห้อม้าตะบึงมุ่งลงใต้ไป ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่มันจะวิ่งได้

ห้อตะบึงข้ามผ่านระยะทางกลางวันไม่พัก กลางคืนไม่หลับ…ความลำบากจากการเดินทางเคี่ยวกรำผู้คนไม่น้อย

ม้าพาคนห้อตะบึงบึ่งไปดั่งไร้จุดหมายปลายทาง ทั้งหมดที่พบพานมีเพียงความรกร้างว่างเปล่า

"อีกสี่เดือนครึ่ง… ข้าจะเดินทางไปเรื่อยๆ และใช้เวลานี้เคี่ยวกรำตัวเองให้มาก" ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจ

 

ขุนเขาเทียนชู นิกายกระบี่ 7 ดาว…

สถานที่โออ่าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณยอดเขาเทียนชู แลดูมีความสันโดษไม่น้อย มองไปไกลๆ แลคล้ายสัตว์อสูรตัวหนึ่งกำลังเอนายลงนอน

“พี่ใหญ่เหล่ย พี่ใหญ่เหล่ย” ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบสงบดังขึ้น

ชายหนุ่มอายุราวๆ 17-18 ปี ผลักประตูบ้านหนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องหับอันกว้างขวาง

“พรวด!”ชายสวมชุดสีฟ้าที่นั่งบ่มเพาะพลังอยู่บนเตียงพลันกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง  มันบังเกิดความตื่นตระหนกอย่างสุดแสน เนื่องด้วยพลังงานที่มันโคจรตามแนวทางวิชาอย่างยากลำบาก พลันตีกลับจนสร้างผลร้ายแก่มัน ยังดีที่มันยังควบคุมพลังงานเอาไว้ได้ทัน ไม่ได้เป็นอันรายอะไรมาก เพียงกระอักโลหิตคำหนึ่งเท่านั้น

ชายในชุดสีฟ้าลืมตาขึ้น แสงเย็นเยือกแผ่ว่านออกจากแววตาของมัน ก่อนที่จะวูบดับหายไปอย่างรวดเร็ว ค่อยหันไปมองผู้ที่ส่งเสียงเรียกมันเมื่อครู่ ทั้งยังบังคับให้มุมปากคลี่ยิ้มทักทายชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นที่พึ่งเข้ามาเสียอีก “น้องเคอ เจ้ามีอันใด ใยถึงได้รีบร้อนหาข้าถึงเพียงนี้?”

มันย่อมรู้ดีแก่ใจว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของมันคนหนึ่ง และตัวมันนั้นนับว่ามีสถานะ และความสามารถห่างไกลจากอีกฝ่ายมากนัก

เอาเพียงแค่สถานที่บ่มเพาะ ลูกพี่ลูกน้องของมันคนนี้ก็ได้บ่มเพาะในสถานที่เลิศล้ำเช่นนี้ตั้งแต่น้อย

เพราะจะอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็คือจวนของผู้พิทักษ์อาวุโสของนิกายกระบี่ 7 ดาวจ้าวหมิง อันเป็นสถานที่บ่มเพาะ เลิศล้ำ ด้วยตั้งบนจุดชีพจรวิญญาณ

และอาวุโสผู้พิทักษ์จ้าวหมิงก็เป็นปู่แท้ๆของลูกพี่ลูกน้องมันคนนี้

"พี่ใหญ่เหล่ย ท่านชมดูนี่เร็วเข้า… " หนุ่มน้อยชุดสีเขียวเหลือบมองไปยังชายชุดฟ้าเล็กน้อยไม่ได้แยแสอาการบาดเจ็บอะไรอีกฝ่ายก่อนที่จะ  ล้วงควักคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาอย่างตื่นเต้น รีบพลิกเปิดคัมภีร์ไปยังหน้ากลาง พร้อมชี้ไปทันที "ท่านเห็นข้อความเหล่านี้หรือไม่…"

ชายหนุ่มชุดฟ้ารีบมองตามที่นิ้วชี้ทันที

ที่หน้ากลางของคัมภีร์ กลับปรากฏข้อความหนึ่งที่สะดุดตาไม่น้อย

ประการที่หนึ่ง จำเป็นปลิดปลงเครื่องเพศลงมือตอนตน ถึงจะสามารถฝึกฝนเดินพลังในวิชาบ่มเพาะครึ่งหลัง ได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด

หากไม่ปลิดปลงองค์ชาติตอนตนแล้วไซร้  ไม่อาจสำเร็จวิชาเลิศล้ำดั่งเทพเซียน

เพียงฝึกฝนสำเร็จ ดั่งเสมือนเกิดใหม่ ทุกสิ่งงอกเงยกลับคืน ร่างบรรลุจุดสูงสุดแห่งยุทธ์!

 

 

Prev
Next

ความคิดเห็นสำหรับ "บทที่ 440 : ออกจากค่ายกล!"

3.7 233 โหวต
คุณชอบเรื่องนี้ไหม?
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
แจ้งเตือนของ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจชอบ

The Divine Nine-Dragon Cauldron
The Divine Nine-Dragon Cauldron
พฤษภาคม 17, 2022
ดาบจอมราชัน
ดาบจอมราชัน
มีนาคม 12, 2022
davisam
จักรพรรดิเทพมรณะ
มกราคม 14, 2023
รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ ( 末世虐杀游戏最新章节 )
รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ ( 末世虐杀游戏最新章节 )
มีนาคม 12, 2022
ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!
ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!
มีนาคม 12, 2022
Crazy  Leveling  System
Crazy Leveling System
พฤษภาคม 17, 2022
Tags:
#ผจญภัย, กำลังภายใน, ต่อสู่, สงคราม
ประวัติการเข้าชม
You don't have anything in histories
หมวดหมู่นิยาย
  • sci-fi (24)
  • Video Games (11)
  • กำลังภายใน (36)
  • จีนกำลังภายใน (1)
  • ดราม่า (3)
  • ตลก (3)
  • นิยายลิขสิทธิ์ (18)
  • นิยายแต่ง (3)
  • ย้อนยุค อนาคต (7)
  • สยองขวัญ (2)
  • เกมส์ออนไลน์ (5)
  • แฟนตาซี (161)

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Premium Chapter

คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อน

wpDiscuz