สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 439 : ตราประทับจิต
WSSTH บทที่ 439 : ตราประทับจิต
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนยื่นมือออกไปหมายปัดฝุ่นบริเวณรอยประทับประหลาดนั้นเอง ฝ่ามือของเขาพลันสัมผัสถูกรอยประทับประหลาดๆนั่น…!
วู้มมมม!!
ทันใดนั้น มีบางสิ่งเรืองรองกระพริบเข้าสู่สายตาของต้วนหลิงเทียน มันเป็นรอยประทับประหลาดนั่น ที่อยู่ดีๆ ก็ราวกับจะกลับกลายเป็นแสงพวยพุ่งออกมาจากผนังเข้าตาเขา! อีกทั้งมันยังระเบิดแสงสีทองเรืองรองขึ้นมาอย่างกะทันหัน ซ้ำร้ายแสงสีทองนี้ยังเจิดจ้าคล้ายดวงตะวันอันร้อนแรง! แทบจะทำให้ดวงตาของเขาต้องมอดไหม้แล้ว!!
หลังจากนั้นครู่หนึ่งแสงสว่างจ้าก็ค่อยๆเบาบางลง …
แต่ทว่า…ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ว่า มีพลังงานประหลาดแผ่พุ่งออกมาจากผนัง…และหลั่งไหลเข้าสู่ฝ่ามือของเขาด้วยความเร็วที่ทำให้เขาตื่นตระหนก…!
ในเวลาเดียวกันสีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวโดยพลัน…! เพราะเขาสัมผัสได้ว่าพลังงานแปลกๆนี่กำลังมุ่งไปยังดวงจิต อันเป็นขุมพลังวิญญาณของเขา!!
"บัดซบ! แย่แล้ว!!" ต้วนหลิงเทียนตื่นตระหนกและพรั่นพรึงตกใจถึงขีดสุด
ดวงจิตนั้น เปรียบเสมือนรากฐานและตัวตนของคนเรา
หากดวงจิตของผู้ใดถูกทำลายลงแล้วละก็ คนผู้นั้นก็เสมือนตกตายไปแล้ว…ร่างอาจจะยังมีลมหายใจ แต่ทว่ามันก็เหลือแต่เปลือกเท่านั้น ไร้ซึ่งสติความนึกคิดใดๆทั้งมวล…
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ต้วนหลิงเทียนรีบผนึกพลังวิญญาณทั้งหมด! หมายต้านทานพลังงานแปลกๆที่กำลังพุ่งดิ่งไปยังดวงจิตของเขา!!
อย่างไรก็ตามพลังแปลกประหลาดนั่น มันทรงพลังอำนาจมากกว่าพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนหลายขุม! พลังวิญญาณที่ต้วนหลิงเทียนพยายามแผ่ออกมาป้องกันถูกทะลวงฝ่าได้อย่างง่ายดาย! มันทะลุทะลวงตรงดิ่งไปยังดวงจิตของเขาเร็วจี๋ราวกับว่าจะไม่มีอะไรหยุดยั้งมันได้ จนกว่าจะทำลายดวงจิตของเขาจนพินาศ…!
ปงงงงง!!
ในวินาทีนี้เองเมื่อพลังงานแปลกประหลาดพุ่งเข้าสู่ดวงจิตอย่ารุนแรง ความสิ้นหวังบังเกิดขึ้นในใจของต้วนหลิงเทียน ‘ข้ากำลังจะตายแล้วหรือ?’
แต่ทันใดนั้นเองดวงจิตของต้วนหลิงเทียนก็สั่นสะท้าน พลังวิญญาณของเขาพลันปั่นป่วน ชวนให้วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง …
‘ข้า…ข้ายังไม่ตาย?!’ เมื่อต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็สังเกตว่าเขายังคงมีสติสัมปชัญญะอยู่ครบถ้วน อีกทั้งดวงจิตของเขาเองก็ยังอยู่ดี วิญญาณไม่ได้ถูกทำลายอะไร
"พี่ใหญ่ต้วน เกิดอันใดขึ้นกัน…ใยอักขระจารึกสีทองนั่นกลับหายไปเสียแล้วเล่า?" ตอนนี้เอง น้ำเสียงไพเราะกระจ่างใสพลันดังเข้าหูของต้วนหลิงเทียน เรียกสติจนทำให้ต้วนหลิงเทียนดึงความรู้สึกกลับมาจากความกระวนกระวายใจ และหันมารับรู้สถานการณ์รอบๆตัวอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังผนังเบื้องหน้าทันที ก่อนที่จะพบว่ารอบประทับประหลาดสีทองนั่นหายไปแล้ว! มันอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน!!
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าพรั่นพรึงก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียน กล่าวถามเทียนหวู่ออกมาอย่างจริงจัง “เทียนหวู่ เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไรแปลกๆรึเปล่า?”
"มิมีอันใด" เฟิ่งเทียนหวู่ส่ายหัวไปมา "ข้าเห็นเพียงพี่ใหญ่ต้วนนำมือไปปัดฝุ่นออกจากอักขระจารึกสีทอง แล้วอักขระจารึกสีทองนั่นก็หายไป… เป็นไปได้หรือไม่ที่อักขระจารึกสีทองนั่นจักเป็นสีที่ทาเอาไว้ พอพี่ใหญ่ต้วนไปปัดฝุ่นเข้า จึงเผลอเช็ดมันออกไปด้วย?"
"อาจเป็นเช่นนั้น" ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับไป ถึงแม้ในใจจะกำลังตื่นตระหนกก็ตาม
เขามองดูแล้วบนผนังไม่เหลือร่องรอยประทับประหลาดนั่นสักเพียงนิด นี่ทำให้เขารู้ดี…ว่าไอรอยประทับประหลาดนั่นหาได้ง่ายดายดั่งตาเห็นไม่
‘เทียนหวู่บอกว่านางไม่เห็นอะไรเลย นั่นหมายความว่าไอแสงสีทองสว่างราวกับตะวันฉายที่พุ่งมาจากรอยประทับแปลกๆนั่น มีเพียงข้าคนเดียวที่มองเห็นสินะ’ ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดในใจ ก่อนที่จะหันไปมองเฟิ่งหวู่เต้าและอาวุโสคงที่อยู่ไม่ไกล
เฟิ่งหวู่เต้ากับอาวุโสคงเอง ก็ไม่ได้มีทีท่า ว่ารู้เรื่องราวใดๆ ที่พึ่งเกิดขึ้นสักนิด …
‘รอยประทับประหลาดนั่นคืออะไรกันแน่?’ ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็เริ่มจมดิ่งลงในสำนึกสติ ใช้พลังวิญญาณสำรวจดวงจิตของเขาอย่างละเอียด และเริ่มค้นหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น …
สุดท้ายเขาก็สังเกตเห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่สลักอยู่ในดวงจิตของเขา …
ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งพลังวิญญาณของเขาในปัจจุบัน จะไม่อาจทำให้เขามองเห็นทุกสิ่งชัดแจ้งกระจ่างดั่งดวงตา และไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งที่อยู่ในดวงจิตของเขามันมีลักษณะอย่างไร
แต่จากสัมผัสที่พลังวิญญาณเขารับรู้ได้ มันบอกเขาว่า…ตอนนี้ภายในดวงจิตของเขานั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น จากที่เมื่อก่อนมันไม่เคยมี…!
‘หืม? ความรู้สึกนี้ …’ ต้วนหลิงเทียนปิดตาลงและเริ่มใช้พลังวิญญาณสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของดวงจิตเขาอย่างละเอียด พยายามระวังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็พบคำตอบ ‘จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ความรู้สึกอะไรเช่นนี้มักจะเกิดในดวงจิตของสัตว์อสูรปีศาจที่ครอบครองพรสวรรค์ตามธรรมชาติไม่ธรรมดา…ดูเหมือนสิ่งที่อยู่ในดวงจิตของข้า…จะเป็นอะไรที่คล้ายคลึงกับ ตราประทับจิต ในดวงจิตของเหล่าสัตว์อสูรปีศาจพวกนั้น!!’
ตราประทับจิต!!
สัตว์อสูรปีศาจบางตัวนั้นมีพรสวรรค์สูงล้ำ มันจะสามารถปลุกตราประทับจิต ของตัวเองได้ก่อนที่จะกลายเป็นปีศาจระดับจักรพรรดิเสียอีก…และกระทั่งสามารถปลุกความรู้เกี่ยวกับ ทักษะทางวิญญาณที่สืบทอดกันมาในสายเลือดได้ก่อนเวลา!
สัตว์อสูรปีศาจเหล่านี้อาศัยตราประทับจิต เพื่อให้สามารถใช้อำนาจจิตโจมตีได้ก่อนที่พวกมันจะบรรลุสู่ระดับจักรพรรดิ! กล่าวได้ว่ามันสามารถใช้อำนาจจิตได้ล่วงหน้า!!
อย่างเช่นหนูสวรรค์นัยน์ตาหยกนั้น ก็นับรวมอยู่ในบรรดาเหล่าสัตว์อสูรปีศาจที่ไม่ธรรมดาเหล่านั้นเช่นกัน พวกมันล้วนมีพรสวรรค์อันพิเศษ!
‘แต่จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่ ตราประทับจิตจะปรากฏขึ้นในตัวมนุษย์…! ผู้ฝึกยุทธ์ของมนุษย์…จะสามารถบรรลุพื้นฐานการใช้พลังวิญญาณและอำนาจจิตในการต่อสู้กับศัตรูได้…ก็ต้องตัดผ่านไปยังระดับจักรพรรดิก่อนเท่านั้น’
‘นอกจากนี้ ยังไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่สามารถควบคุมอำนาจจิตในการต่อสู้ได้ และกว่า 80% ของมนุษย์ที่สามารถควบคุมใช้อำนาจจิตในการต่อสู้ได้ไม่ยากเย็นอะไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้จารึกอาคมทั้งสิ้น…ส่วนมนุษย์ที่สามารถควบคุมใช้อำนาจจิตในการต่อสู้ได้ที่เหลือ ต่างก็เป็นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มักจะมีพลังวิญญาณเหนือชั้นกว่าระดับ เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป’
‘ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิที่เป็นเพียงคนธรรมดา หากคิดจะใช้อำนาจจิตในการต่อสู้ ก็จะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และฝึกฝน ทุ่มเทให้มากกว่าผู้ที่มีพรสวรรค์ถึง 2 เท่า ถึงจะพอใช้อำนาจจิตในการจู่โจมได้! เมื่อพื้นฐานและจุดเริ่มต้นห่างไกลจากเหล่าผู้มีพรสวรรค์ทางพลังวิญญาณ…ถึงจะทุ่มเทและเสียเวลาฝึกฝนการใช้อำนาจจิตมากแค่ไหน แต่จักรพรรดิที่เป็นคนธรรมดาเหล่านี้…หากคิดที่จะมีความสำเร็จดุจเดียวกัน… ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นแล้ว…’
‘แล้วทำไมไอสิ่งที่คล้ายกับ ตราประทับจิต ถึงได้มาปรากฏอยู่ในดวงจิตของข้ากัน?’ ต้วนหลิงเทียนอดส่ายหัวออกมาไม่ได้
‘หรือมันจะเป็นเพราะไอ รอยประทับประหลาดๆ ที่อยู่บนกำแพงก่อนหน้านี้’ อดไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะคิดว่าเป็นเพราะตราประทับประหลาดๆ สีทองนั่น!
ในตอนนี้เองเพื่อให้รู้แน่ชัดว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ต้วนหลิเทียนจึงค่อยๆส่งพลังวิญญาณเข้าไปสำรวจดวงจิตอีกครั้งอย่างละเอียด สำรวจตราประทับจิตที่ว่านั่นช้าๆ ระมัดระวังอย่างถึงขีดสุด
วู้มมมม!!
พลังวิญญาณของเขาค่อยๆหลั่งไหลไปยังตราประทับจิต ลึกลับนั่น…
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงการกระเพื่อมในดวงจิต และทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในใจ “ขอแสดงความยินดีต่อสหายรุ่นหลังผู้มีวาสนา…หากเจ้าได้ยินเสียงของข้า…เช่นนั้นเจ้าสมควรได้รับ ตราประทับจิต ที่ข้าได้ทิ้งเอาไว้แล้ว…”
น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวเช่นนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนสะดุ้งไปดั่งถูกอัสนีบาตฟาด
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง…ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของเสียงนี้
“สหายเอ๋ย…ข้าเป็นผู้จารึกอาคมที่มาจากดินแดนรอบนอก…และข้ายังเป็นผู้จารึกอาคมที่เลือกเดินในหนทาง ที่ต่างออกไปจากผู้จารึกอาคมคนอื่นๆ…เป็นหนทางอันยากลำบากยิ่งนัก ข้า…ได้อุทิศทั้งชีวิตให้กับการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของตราประทับจิต! ข้าพบว่ามีสัตว์อสูรปีศาจมากมายที่ยังไม่ทันได้เป็นปีศาจระดับจักรพรรดิ แต่พวกมันก็ยังสามารถใช้ อำนาจจิต ผ่านตราประทับจิตของพวกมันได้…! และนั่นทำให้ผู้ฝึกยุทธ์อย่างมนุษย์เรามิอาจต่อต้าน หรือรับมืออะไรพวกมันได้เลย…!”
“ที่ตัวข้าอุทิศชีวิตทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องตราประทับจิตนี้ ก็เพื่อให้ผู้ฝึกยุทธ์ของมนุษย์เรา สามารถมีตราประทับจิต นั่นเป็นของตัวเองบ้าง และใช้พวกมันในการต้านทานเหล่าสัตว์อสูรปีศาจพวกนี้…! น่าเสียดาย ที่ตัวข้ายังนับว่าไร้เดียงสานัก ข้าคิดว่าอะไรๆ มันจะง่ายดาย… แต่เมื่อข้าเดินทางรอนแรมมาถึงที่แห่งนี้ ตัวข้าก็ชราเสียแล้ว… ข้าจักอยู่ในระดับผันแปรธรรมชาติแล้วอย่างไร? เมื่อเวลาผันผ่านไป 100 ปี ตัวข้าก็ต้องกลับกลายเป็นธุลี เหลือเพียงดินกลบหน้าในพื้นที่เล็กๆ จำต้องหวนคืนสู่สวรรค์และโลก… ”
“สหายร่วมชะตากรรมเอ๋ย อย่าพึ่งรำคาญข้าเลย ผู้ชราก็ชมชอบกล่าววาจายืดยาวเช่นนี้เป็นเรื่องปกตินั่นแหล่ะ…หวังว่าเจ้าจักไม่ถือสาหาความอันใดข้า… ถึงแม้ว่าตัวข้าจักยังไม่ประสบความสำเร็จ ในการค้นคว้าเรื่อง ตราประทับจิต และทำให้มนุษย์สามารถครอบครองตราอำนาจจิตได้ ก่อนที่จะตัดผ่านไปยังระดับจักรพรรดิได้สมบูรณ์….แต่ก็มิใช่ว่าข้าจักมิมีผลสำเร็จเลิศล้ำอันใดเลย…ข้าได้ใช้เมล็ดพันธุ์ของผลวิญญาณสันโดษเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา กอปรกับการพึ่งพาเต๋าแห่งการจารึกอาคมที่ข้าเรียนรู้มาชั่วชีวิต สร้างอาคมจารึกหนึ่งขึ้นมา…จนในที่สุดข้าก็สามารถสร้างตราประทับจิตพิเศษนี้ ทิ้งเอาไว้ได้…”
“หรือจักให้กล่าวง่ายๆ ตราประทับจิตพิเศษที่ว่า ก็คือตราประทับจิตที่เจ้าได้รับไปนั่นเอง…เสียงของข้าได้ถูกบันทึกเอาไว้ในตราประทับจิตนี้ โดยใช้อาคมจารึกระดับผันแปรธรรมชาติ…และในตอนที่ข้าทิ้งตราประทับจิตนี้ไว้…ชีวิตของข้าก็ดำเนินมาสุดทางแล้ว…ไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีอย่างข้า ก็ได้ตัดสินใจที่จะจากสถานที่แห่งนี้ไป…เพื่อหาสถานที่อันเงียบสงบ ใช้เวลาชีวิตช่วงสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของข้า…”
“ถึงแม้ตราประทับจิตพิเศษ จะมิอาจทำให้เจ้าใช้อำนาจจิตในการจู่โจมเล่นงานดวงจิต หรือทำลายวิญญาณของศัตรูเจ้าได้โดยตรง….แต่จากการคาดการณ์ของข้ามันสมควรช่วยเหลือให้เจ้าใช้อำนาจจิตพิเศษบางประการได้เช่นกัน…ส่วนที่ว่าจักเป็นความสามารถอันใดนั้น เจ้าจักต้องค้นหามันด้วยตัวเอง…”
“นอกจากนั้น ตั้งแต่ที่สหายรุ่นหลังเช่นเจ้าสามารถหลอมรวมกับตราประทับจิตที่ข้าทิ้งเอาไว้ได้ ข้าคิดว่าเจ้าเองก็หาใช่ธรรมดาและสมควรมีความสามารถในแง่ของพลังวิญญาณไม่น้อย หรือกระทั่งบางทีเจ้าอาจจะเป็นเหมือนข้า…เป็นผู้จารึกอาคมคนหนึ่ง! …ตัวข้าได้ทิ้งประสบการณ์ชั่วชีวิต รวมถึงเต๋าแห่งการจารึกของข้า โดยการสลักพวกมันเอาไว้ที่ผนังตำหนักแห่งนี้หมดสิ้นแล้ว…ข้าหวังว่ามันจักช่วยเหลืออันใดเจ้าได้ไม่มากก็น้อย…” แล้วเสียงที่ดังออกมาอย่างยาวนานก็สิ้นสุดลง
ต้วนหลิงเทียนเองก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ม่านตาของเขาหดแคบลงโดยพลัน ในใจยังบังเกิดอารมณ์สะทกสะท้อน ทั้งตื่นตระหนกไม่น้อย
“ผู้เชี่ยวชาญการจารึกอาคมผู้นี้ช่างอัศจรรย์นัก!” ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
คนที่ได้หลอมรวมเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิมาเกิดเช่นเขา ย่อมรับรู้ได้อย่างถ่องแท้ ว่าการกระทำของผู้จารึกอาคมคนนี้มีความหมายถึงเพียงใด
ถึงแม้ว่าตอนที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดยังมีชีวิตอยู่ ตัวมันเองก็พยายามค้นหาความลับเรื่องตราประทับจิตของสัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์มากเช่นกัน…แต่ทว่าเรื่องราวนี้กลับต้องใช้เวลานานไม่น้อยในการค้นคว้าหาคำตอบ ทำให้จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดล้มเลิกความตั้งใจหลังจากวิจัยค้นคว้าได้ไม่กี่ปี
เนื่องจากจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเองรู้สึกว่า… ถึงจะค้นคว้าวิจัยต่อไป ก็เป็นการกระทำที่ไม่ได้ประโยชน์อันใดกับตัวมันแล้ว!
นอกจากนี้ ในตอนนั้นตัวจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเอง ก็บรรลุสู่ระดับจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมี ตราประทับจิตอะไรนี่ ดังนั้นมันจึงไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องนี้มากนัก
สำหรับ ผู้เชี่ยวชาญยุทธ์ในระดับจักรพรรดิและเป็นถึงผู้จารึกอาคมที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง ตราบใดที่ตัวจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดควบรวมพลังวิญญาณ และแผ่ซ่านออกไปหมายโจมตี ก็ไร้ซึ่งจักรพรรดิคนใดในทวีปเมฆาล่องที่สามารถป้องกันการโจมตีด้วยอำนาจจิตของมันได้ โดยไม่บาดเจ็บ
‘หากเทียบกับจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดแล้ว ผู้จารึกอาคมคนนี้นับว่ามีความแน่วแน่กว่ากันมากนัก… มันถึงกับสละเวลาทั้งชีวิต ตั้งมั่นในการค้นคว้าเรื่องตราประทับจิต จนสุดท้ายก็ประสบผลสำเร็จบางประการ’ ความตื่นเต้นในใจของต้วนหลิงเทียนค่อยๆสงบลง
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนสงบใจได้ครู่หนึ่ง ใจเขาก็ถึงกับเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าเกือบลืมไปแล้ว… จากคำพูดที่ผู้จารึกคนนั้นทิ้งไว้…ดูเหมือนว่ามันเองก็ยังไม่รู้ใช่หรือไม่? …ว่าตราประทับจิตที่ผสานเข้ากับดวงจิตของข้านี้…มีความสามารถอะไร!? เช่นนั้นไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้ากลายเป็นหนูทดลองของมันหรือไร?!”
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้อย่างไม่รู้ตัว ว่าเขาดูเหมือนจะเป็นหนูทดลองเข้าซะแล้ว…
‘ข้าหวังว่าตราประทับจิต ที่ทิ้งไว้โดยผู้จารึกอาคมสติเฟื่องผู้นี้ จะไม่มีปัญหาอะไรนะ… มิฉะนั้นข้าต้องซวยจนตายเพราะมันเข้าแล้ว…’ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น….
‘จากที่ผู้จารึกอาคมคนนี้กล่าวบอกไว้ ข้าไม่อาจใช้ตราประทับจิตนี่ ใช้อำนาจจิตเล่นงานดวงจิตทำลายวิญญาณของศัตรูได้โดยตรง …ดูเหมือนว่าข้าต้องลองค้นหาดูเองว่าตราประทับจิตนี้ จะมอบอำนาจจิตประเภทใด และเป็นทักษะแบบไหนให้กับข้าด้วยตัวเองสินะ’ ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดในใจ
ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องราวบางประการที่ผู้จารึกอาคมคนนั้นกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ “จากที่ผู้จารึกอาคมคนนี้บอก ตราประทับจิตที่ข้าได้รับมา เหมือนจะถูกสร้างจาก อาคมจารึกผสานกับเมล็ดพันธุ์ของผลวิญญาณสันโดษโดยใช้มันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสินะ…เมล็ดพันธุ์ของผลวิญญาณสันโดษ!…มันกล้าใช้ของขวัญจากสวรรค์โดยไม่เสียดายเช่นนี้เลยหรือ!”
“ดูเหมือนว่าต้นผลวิญญาณสันโดษ ที่เติบโตขึ้นภายในตำหนักแห่งนี้ น่าจะงอกเงยมาจากเมล็ดพันธุ์ผลวิญญาณสันโดษที่หลงเหลือในตอนนั้นสินะ” ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้รู้แจ้งในอะไรหลายๆอย่าง ทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์
“แต่น่าเสียดายนัก ไอต้นผลวิญญาณสันโดษที่เติบโตจากเมล็ดพันธ์ผลวิญญาณสันโดษนั่น …มันสามารถให้ผลวิญญาณสันโดษได้แค่เพียงผลเดียวเท่านั้น..! ไม่อย่างนั้นล่ะก็…ข้าว่าจะขุดต้นผลวิญญาณสันโดษนี่กลับไปปลูกที่อื่นสักหน่อย” ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย