สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 438 : รอยประทับประหลาด
WSSTH บทที่ 438 : รอยประทับประหลาด
‘ข้าล่ะอยากรู้นัก ว่าเจ้าเสี่ยวจินมันจะสามารถปลุกความสามารถในด้านพลังวิญญาณของมันได้หรือไม่… หลังจากที่พลังวิญญาณของมันได้ยกระดับพัฒนาขึ้น จากการกินผลวิญญาณสันโดษนี่ลงไปแล้ว’ จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ต้วนหลิงเทียนพบว่าเมื่อลูกหลานของหนูสวรรค์นัยน์ตาหยกเติบโต หรือมีระดับพลังเหมาะสมในระดับหนึ่งแล้ว…ความรู้ที่สืบทอดกันในสายเลือดของพวกมันจะตื่นขึ้น!
แน่นอนว่าทามกลางความสามารถที่จะตื่นขึ้น ยังรวมไปถึงวิชาเกี่ยวกับการใช้พลังวิญญาณด้วย
"ทักษะเกี่ยวกับพลังวิญญาณ ส่วนมากมันเป็นการใช้อำนาจจิตอันร้ายกาจ ที่ไม่อาจป้องกันได้ง่ายๆ…ทักษะทางพลังวิญญาณของสัตว์อสูรปีศาจส่วนมากนั้นส่วนมากจะสืบทอดกันอยู่ในสายเลือดผ่านตราประทับจิต ถึงแม้มนุษย์เราจะรู้ว่าว่าทักษะเหล่านั้นเป็นอย่างไร และมีวิธีใช้ แต่ก็ไม่อาจเลียนแบบและใช้ออกได้ เพราะไร้ซึ่งตราประทับจิตที่ว่า’ หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนพบข้อมูลทั้งหมดในควาทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด เขาก็อดที่จะทอดถอนใจออกมาเสียไม่ได้
เพราะเมื่อครู่ก่อนที่จะได้รับรู้ความนี้ เขาดันคิดไปว่าหากความสามารถทางด้านพลังวิญญาณของเจ้าเสี่ยวจินมันตื่นขึ้น เขาจะให้มันสอนทักษะวิญญาณ ที่มันสามารถใช้ออกได้ ให้แก่เขาสักหน่อย..
ถ้ามันเป็นไปได้ตามที่คิด เท่านี้เขาก็จะสามารถใช้ทักษะวิญญาณได้ และด้วยพลังวิญญาณที่เหนือกว่าผู้อื่นในระดับเดียวกันของเขา ย่อมทำให้ได้เปรียบผู้อื่นมาก!
แต่น่าเสียดาย ถึงแม้จินตนาการจะเลิศล้ำสวยหรู แต่ความเป็นจริงมันก็ดูโหดร้ายนัก
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีเขาก็ว่ายมาถึงทางออกของอุโมงค์ มาโผล่ที่สระชำระจิต บริเวณที่มีพืชปกคลุมอยู่หนาแน่นซะแล้ว
และตอนที่เขาเริ่มว่ายน้ำขึ้นไปด้านบนสระ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งกำลังแผ่ซ่านตรวจจับไปทั่วบริเวณ…
‘อาวุโสคง’ ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ในพริบตา ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของ พลังวิญญาณขุมนี้…
และเมื่อต้วนหลิงเทียนโผล่พ้นที่ผิวสระชำระจิต เขาก็เห็นว่า เฟิ่งหวู่เตาเฟิ่งเทียนหวู่ และผู้อาวุโสคงกำลังยืนรอเขากันอยู่ที่ริมสระ
"พี่ใหญ่ต้วน!" ตอนนี้เองเฟิ่งเทียนหวู่ก็ได้ถอดม่านคลุมหน้าออกไปแล้ว เผยให้เห็นพวงพักตร์งดงามหาใดเทียบออกมา แต่ทว่ายามนี้ใบหน้าของนางแลดูหม่นหมองลงไปไม่น้อย "พี่ใหญ่ข้าต้องขออภัยท่าน … เป็นข้าใช้การไม่ได้…ข้าดูแลเสี่ยวจินไม่ดี มิรู้มันหายไปที่ใดแล้ว…"
ต้วนหลิงเทียนเองก็สงสัยไม่น้อยว่าทำไม สีหน้าของเฟิ่งเทียนหวู่แลดูซึมๆ แต่เมื่อได้ยินคำที่นางกล่าวออก เขาก็รู้ได้ในทันที ว่าเป็นเพราะอะไร เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาบางๆพร้อมส่ายหัว “เจ้าตัวแสบน้อย อยู่นี่”
ต้วนหลิงเทียนเอื้อมมือไปหยิบเสี่ยวจินออกมา
ก่อนหน้านี้ในขณะที่เขาว่ายน้ำนั้น เขากลัวมันจะตกหายไป เลยเอามันใส่ไว้ในช่องว่างของเสื้อบริเวณใกล้ๆกับเข็มขัดรัดเอว
“เสี่ยวจิน!”เมื่อเฟิ่งเทียนหวู่ได้เห็นเจ้าหนูตัวน้อย ความซึมเศร้าบนใบหน้างดงามของนางก็อันตรธานหายไป ทว่าเมื่อนางเห็นเจ้าหนูน้อยจอมซนที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง นางก็เผยความกังวลออกมาอีกครั้ง “พี่ใหญ่ต้วน เจ้าเสี่ยวจินเป็นอันใดไป ใยมันนิ่งไปแล้ว…?”
“มันหรือ..แน่นอนว่าสบายดีไม่ได้เป็นอะไร…แค่หลับไปเท่านั้น”ต้วนหลิงเทียนขบเคี้ยวฟันด้วยความหมั่นเขี้ยว เมื่อนึกถึงเหตผลที่ทำให้เจ้าหนูน้อยนี่หลับไปเช่นนี้
"เจ้าเมือง,อาวุโสคง …แล้วทำไมพวกท่านทั้งสองคนอยู่ที่นี่ด้วยเล่า?" ตามที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจ ป่านนี้ค่ายกลที่คอยควบคุมสระชำระจิตอยู่ สมควรปิดตัวลงแล้ว
หากว่าการที่เจ้าเสี่ยวจินอยู่ๆก็โผล่ออกมาเท่าให้เขาตกใจแล้ว การที่เฟิ่งหวู่เต้าและคนอื่นๆ อยู่ที่สระชำระจิตนี่ด้วยเช่นกัน ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
"นี่เพราะลูกหวู่เห็นเจ้าหนูน้อยนี่พุ่งพรวดเข้ามาด้านในนี้อย่างไรเล่า นางถึงได้พุ่งตามมันเข้ามาด้วย … ข้ากับอาวุโสคงเองก็กังวลและเป็นห่วงนางถึงได้ติดตามเข้ามาด้วย เจ้าต้องไม่รู้แน่ว่าลูกข้ากังวลขนาดไหน ยามที่นางหาเจ้าหนูตัวจ้อยนี่ไม่พบ แน่นอนว่ากังวลเรื่องที่หาเจ้าไม่พบด้วย… " ในขณะที่เฟิ่งหวู่เต้ากล่าว มันก็หรี่ตามองไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างลึกซึ้ง
“เทียนหวู่” ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเฟิ่งเทียนหวู่ ก่อนที่ในใจจะบังเกิดความรู้ผิดไม่น้อย รอยยิ้มเจื่อนๆคลี่ออกมาบนใบหน้า “ข้าขอโทษเจ้าด้วย ที่ทำให้เจ้าต้องเป็นกังวล”
"พี่ใหญ่ต้วนมิเป็นใดหรอก เพียงท่านกับเสี่ยวจินอยู่ดี ก็พอแล้ว…" เฟิ่งเทียนหวู่ส่ายหน้าของนางไปมาช้าๆ ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มสดใสมากเสน่ห์สามารถสะกดใจผู้คนได้ออกมา "จริงสิพี่ใหญ่ต้วน แล้วท่านกับเสี่ยวจินไปอยู่ที่ใดกันเล่า? ทั้งบิดาข้าและท่านปู่คงตามหาท่านไปทั่วแต่กลับมิเห็นแม้แต่เงาของพวกท่าน"
เฟิ่งหวู่เต้ากับอาวุโสคงเองก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนราวกับอยากรู้คำตอบเช่นกัน
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดปิดบังอะไร ค่อยๆกล่าวออกมา “มีทางเดินน้ำใต้ดินอยู่ที่ด้านหนึ่งของก้นสระชำระจิต ซึ่งนำไปสู่ตำหนักลับหลังหนึ่ง…ข้าเองก็ใช้เวลา 2 วันที่ผ่านมานี้อยู่ในตำหนักนั้น ดูท่าแล้วต้องมีผู้ใดเคยมาสร้างและอยู่อาศัยที่ตำหนักนั่นเมื่อนานมาแล้ว …แต่ทว่ายามนี้มันเต็มไปด้วยฝุ่นไร้ร่องรอยของผู้ใด หากการคาดการณ์ของข้าไม่ผิด ตำหนักนี้สมควรเป็นตัวตนที่ จัดตั้งค่ายกลควบคุมสระชำระจิต”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ ทั้งเฟิ่งหวู่เต้าและอาวุโสคงตอบสนองทันที
“สหายน้อยต้วนท่านบอกว่ามีทางเดินน้ำใต้ดินบริเวณก้นสระชำระจิต เชื่อมต่อไปยังตำหนักของผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นตัวตนที่จัดตั้งค่ายกล ของสระชำระจิตแห่งนี้เช่นนั้นหรือ”
ตัวมันเป็นคนที่สามารถมองเห็นความลึกซึ้งของค่ายกลที่ควบคุมสระชำระจิตนี่เอาไว้อย่างดี มันยังรู้อีกว่าค่ายกลนี้เป็นการประสานอาคมจารึกทั้ง 9 อาคมเอาไว้อย่างลึกล้ำ ทุกอาคมเกื้อหนุนส่งเสริมกันอย่างไร้ที่ติ ซึ่งมันเป็นระดับเหนือชั้นที่มีเพียงตัวตนระดับผันแปรธรรมชาติเท่านั้นที่จะสามารถกระทำได้
ทว่ายามนี้ตำหนักอันเป็นที่พักพิงของตัวตนเช่นนั้น กำลังอยู่ตรงหน้ามัน?
“อ่า…มันเป็นเพียงการคาดเดาของข้าฝ่ายเดียวเท่านั้น…มันอาจจะไม่ใช่ตำหนักของผู้ที่จัดตั้งค่ายกลนี่ก็ได้” แน่นอนล่ะ ว่าต้วนหลิงเทียนต้องรู้ว่าเพราะอะไรผู้อาวุโสคงถึงตื่นเต้นขึ้นมา
“หนุ่มน้อย…เจ้าใช้เวลาไปในตำหนักนั่นถึงสองวัน ใช่เจ้าพบพานอันใดหรือไม่?”เฟิ่งหวู่เต้าหรี่ตามองต้วนหลิงเทียนอย่างพินิจ
“จะว่าไปแล้ว…มันก็เป็นอะไรทำนองนั้นนั่นล่ะ” ต้วนหลิงเทียนเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมา เรียกร้องความสนใจของเฟิ่งหวู่เต้าและอาวุโสคงไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนพลันก้มลงไปจ้องเจ้าหนูตัวน้อยที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ในอุ้งมือ เมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่ใคร่รู้จนแทบจะพุ่งมาคาดคั้นคำตอบจากเขา “เมื่อ 3 วันก่อน หลังจากที่ข้าเข้ามายังสระชำระจิตนี่ ข้าก็เริ่มออกค้นหาตำแหน่งขุมพลังวิญญาณของสระชำระจิต…จนในที่สุดข้าก็พบความลับหลังพืชใต้น้ำ จนนำไปสู่ช่องทางเดินน้ำใต้ดิน และทางน้ำนั่นก็เชื่อมไปยังตำหนักลับดังกล่าว…และข้าก็ได้พบผลวิญญาณสันโดษอยู่ในตำหนักหลังนั้น”
“ผลวิญญาณสันโดษ?”เฟิ่งเทียนหวู่แน่นอนว่าย่อมไม่รู้ว่าผลวิญญาณสันโดษที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงมันเป็นอะไร แต่ทว่าทางด้านเฟิ่งหวู่เต้าและอาวุโสคงนั้น ใบหน้าเปลี่ยนสีในทันใด ความตื่นตระหนกฉายออกมาให้เห็นได้ชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุโสคง มันราวกับจะเต้นแร้งเต้นกาขึ้นมาแล้ว
ผู้จารึกอาคมในระดับมันพลังวิญญาณของมันย่อมมิใช่ชั่ว และผมไม้วิญญาณมากมายก็นับว่ามีขีดจำกัด ไม่อาจช่วยเพิ่มพูนระดับพลังวิญญาณอะไรให้มันได้มากแล้ว…
อย่างไรก็ตามผลวิญญาณสันโดษที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา …เป็นผลไม้วิญญาณที่สามารถช่วยเหลือมันได้มากมายมหาศาลนัก
หากมันได้กินผลวิญญาณสันโดษล่ะก็ อย่างน้อยๆ ระดับพลังวิญญาณของมันสมควรเพิ่มพูนได้ถึง 2-3 ขั้น!
"เจ้า …เจ้ากินผลวิญญาณสันโดษไปแล้วหรือ?" อาวุโสคงจับจ้องมองไปยังร่างของต้วนหลิงเทียน ด้วยดวงตาสีโคลนที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความอิจฉา
ตอนนี้เองเฟิ่งเทียนหวู่ก็สัมผัสได้ว่า อะไรที่ต้วนหลิงเทียนพบ ย่อมมีคุณค่ามหาศาล เพราะดูจากท่าทีตื่นเต้นร้อนรนอันเห้นได้ชัดของปู่คง นางมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ขอแสดงความยินดี กับพี่ใหญ่ต้วน”
“ข้าไม่ได้เป็นคนกินผลวิญญาณสันโดษนั่นลงไป…”ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจ้าหนูตัวน้อยที่หลับปุ๋ยในอุ้งมือด้วยแววตาสั่นไหว
พวกเฟิ่งหวู่เต้าทั้ง 3 ก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย
"เมื่อ 3 วันที่แล้ว ในตอนที่ข้าค้นพบผลวิญญาณสันโดษนั้น… " ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนที่จะเล่าลำดับเหตุการณ์ออกมา
เรื่องทั้งหมดนี่ไม่ได้เป็นความลับอะไร
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนเล่าออกมา สายตาของพวกเฟิ่งหวู่เต้าทั้ง 3 ก็หันไปจับจ้องยังร่างหนูสีทองตัวน้อยบนอุ้งมือของต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียง และในแววตาของทุกคนก็เผยความซับซ้อนระคนประหลาดใจออกมา
“เสียดายยิ่งนัก…ของขวัญจากสวรรค์กลับต้องสูญเปล่าไปเช่นนี้! …น่าเสียดายยิ่งนัก!” เฟิ่งหวู่เต้าอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาและระบายลมหายใจออกมาด้วยอารมณ์ กล่าวคำซ้ำไปซ้ำมา “หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ว่าเจ้าตัวน้อยนี่จะไปขโมยกินวาสนาปาฏิหาริย์ของเจ้า ข้าจักจับตาดูมันเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา”
“พี่ใหญ่ต้วนข้าขอโทษ…เป็นข้าไม่ดีเอง…ข้าดูแลเสี่ยวจินไม่ดี…ทำให้มันไปขโมยกินผลไม้วิญญาณที่ท่านต้องการ” เฟิ่งเทียนหวู่มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก นางรู้สึกผิด จนดวงตาเริ่มพร่ามัว คล้ายหยาดน้ำตาจะหลั่งรินออกมาแล้ว
"เฮ่ๆ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าอย่าได้เศร้าแล้ว…มันไม่ได้เสียหายอะไรขนาดนั้น" ต้วนหลิงเทียนยิ้มอย่างไม่ได้คิดมากอะไร ก่อนที่จะค่อยๆลูบตัวเสี่ยวจินอย่างอ่อนโยน "เจ้าตัวน้อยนี่มีโอกาสได้กินผลวิญญาณสันโดษไป…ก็นับว่าเป็นวาสนาของมันเถอะ"
“สหายน้อยต้วน…ท่านช่างใจกว้างยิ่งนัก… ตาแก่เช่นข้านับถือท่านแล้ว” อาวุโสคงอดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวออกมา ก่อนที่มันจะเริ่มจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทยนด้วยสายตาวิงวอน “สหายน้อยต้วน…”
“อาวุโสคง หากท่านสนใจตำหนักลับนั่น ที่อาจจจะเป็นตำหนักที่ผู้จัดตั้งค่ายกลทิ้งไว้ ข้าจะพาท่านไปดู…”ไม่ทันที่อาวุโสคงจะทันได้กล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็กล่าวแทรกขึ้นมา แล้วเขาก็เดินไปหาที่ว่างริมสระ หยิบผ้ามาซ้อนๆกันทำเป็นที่นอนให้เจ้าเสี่ยวจิน ก่อนที่จะหันไปมองอาวุโสคง พยักหน้าเล็กน้อย ค่อยกระโดดลงสระชำระจิตไป
คราวนี้ไม่ใช่แค่อาวุโสคง แต่เฟิ่งหวู่เต้ากับเฟิ่งเทียนหวู่เองก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน
"ทางน้ำใต้ดินนี่ช่างเร้นลับนัก ที่แท้ก็ซ่อนอยู่หลังพืชใต้น้ำไว้อย่างมิดชิด…หาได้ต้องสงสัยเลยไม่ ว่าใยข้าถึงได้มิพบมันก่อนหน้ายามตรวจสอบ เพราะข้าจงใจเลี่ยงบริเวณนี้ไปเอง…มิคิดเลยว่าจุดที่ข้าละเลย กลับเป็นจุดที่มีความสำคัญมากที่สุด…สหายน้อยต้วนนับว่าแหลมคมยิ่งนัก" เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเริ่มว่ายดำลงมาบริเวณที่มีพืชใต้น้ำหนาทึบ และเดินไปแหวกพืชใต้น้ำเหล่านั้นจนเผยให้เห้นช่องทางลับ อาวุโสคงจึงส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดมายังต้วนหลิงเทียน
คิ้วของต้วนหลิงเทียนยักขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นเพราะเขาเป็นคนที่ระแวดระวังตัว จึงกริ่งเกรงอันตรายที่ซ่อนอยู่ ทำให้เขาตรวจสอบบริเวณไม่ชอบมาพากลอย่างละเอียด หาไม่แล้วเกรงว่าเขาเองก็คงจะต้องพลาดทางน้ำใต้ดินลึกลับนี่ไปเช่นเดียวกันกับอาวุโสคง
สุดท้ายภายใต้การนำทางของต้วนหลิงเทียน ทุกคนก็มาถึงตำหนักลับหลังนี้
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าการกระทำของผู้อาวุโสคงนั้นค่อนข้างไร้ประโยชน์อยู่บ้าง
แต่ไม่คิดไม่ฝันเลย…
"สหายน้อยต้วน ท่านรีบมาดูนี่เร็วเข้า!" นำเสียงตื่นตระหนกของอาวุโสคงดังขึ้น ก่อนที่มันจะส่งเสียงเรียกเฟิ่งเทียนหวู่กับเฟิ่งหวู่เต้าให้รีบมาดูชมเช่นกัน
ทั้ง 3 เดินมุ่งหน้าไปชมดู
เมื่อมาถึงพวกเขาก็เห็นว่าตอนนี้อาวุโสคงกำลังยกมือลูบๆปัดๆที่ผนังด้านหนึ่งของตัวตำหนัก และเมื่อฝุ่นละอองทั้งหลายถูกปัดออกไป ก็มีอักขระจารึกเรียงไว้เป็นแถวๆ เต็มไปหมดราวกับบันทึกอย่างไรอย่างนั้น
"นี่มัน…บันทึกประสบการณ์ของผู้จารึกเช่นนั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองคร่าวๆ ก็พบว่าอักขระที่จารึกเอาไว้บริเวณผนังตำหนักนี้ ที่แท้เป็นตัวอักษร บอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ชั่วชีวิตของผู้จารึกอาคม
“ดูเหมือนสิ่งที่สหายน้อยต้วนคาดเดาเอาไว้จักถูกต้องแล้ว…ตำหนักแห่งนี้เป็นของผู้ที่จัดตั้งค่ายกลของสระชำระจิต…นี่คือผู้เชี่ยวชาญการจารึกอาคมระดับผันแปรธรรมชาติ!” อาวุโสคงที่เหม่อมองตัวอักษรบนผนักล่าววาจาพึมพำออกมาราวกับวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว…
อักขระที่จารึกเอาไว้เป็นถึงประสบการณ์ชั่วชีวิตผู้เชี่ยวชาญการจารึกระดับผันแปรธรรมชาติ! มันมีค่ามหาศาล เป็นสมบัติล้ำค่า!
แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว ยังไม่ได้นับเป็นอะไร…
‘ประสบการณ์ชั่วชีวิตของผู้เชี่ยวชาญการจารึกอาคมระดับผันแปรธรรมชาตินี่…ไม่อาจเทียบกับประสบการณ์และความรู้ของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดได้เลย มันอาจจะมีประโญชน์มหาศาลกับอาวุโสคง แต่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับข้าแม้แต่น้อย’ต้วนหลิงเทียนเพียงกวาดตามองบันทึกบนผนังตำหนักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเลิกสนใจมัน และหันไปตรวจสอบบริเวณอื่นๆ
ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ทันได้สังเกตว่าบริเวณผนังมีบันทึกอะไรไว้เช่นนี้…
“พี่ใหญ่ต้วนท่านมาดูนี่เร็ว มีอันใดมิรู้”เสียงของเฟิ่งเทียนหวู่ดังขึ้น และตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพบว่า ผนังตำหนักด้านอื่นๆเองก็จารึกอักขระอักษรเอาไว้เต็มไปหมด
"หืม มีอะไรหรือ?" ตอนแรกต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะสนใจข้อความบนผนังตำหนักด้านอื่นๆ แต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเฟิ่งเทียนหวู่นับว่ากระตุ้นความสนใจเขาไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนเดินไปหานางทันที
"พี่ใหญ่ต้วน..อันนี้ใช่คำจารึกหรือไม่?" เฟิ่งเทียนหวู่ชี้ไปยังผนังด้านหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวถามต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องมันทันที
บนผนังนั้นนอกเหนือจากข้อความอันเป็นประสบการณ์และองค์ความรู้ของผู้จารึกแล้ว ยังมีรอยประทับแปลกๆ ซ่อนอยู่ ด้านหลังฝุ่นหนาเตอะ
รอยประทับนี้ดูแล้วไม่คล้ายอักขระจารึกอื่นๆที่ถูกจารึกไว้บนผนัง
และดูเหมือนภายใต้ฝุ่นละอองหนาเตอะนั่น…จะมีประกายสีทองเรืองรองซุกซ่อนเอาไว้ …
"มันดูคล้ายกับอักขระจารึก แต่ดูดีๆแล้วกลับไม่ใช่อักขระจารึก… " ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนจึงยื่นมือออกมา หมายจะปัดฝุ่นที่ปกคลุมให้กับรอยประทับแปลกๆนั่น…