สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 429 : ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ
WSSTH บทที่ 429 : ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ
ถึงแม้ว่าคำบังเอิญจะกล่าวออกมาจากปากของเขาเอง แต่ในใจก็อดที่จะบังเกิดความหวั่นไหวขึ้นมาเสียไม่ได้
นั่นเพราะหากเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นความจริง นั่นหมายความว่าย่าทวดของเฟิ่งเทียนหวู่นี้ กลับเป็นตัวตนที่สามารถมองเห็นและทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำอย่างถึงที่สุด เพราะนางกระทั่งทำนายเอาไว้ได้ ว่าเขาจะเดินทางมายังเมืองหงส์ฟ้านี่!
อีกทั้งประเด็นสำคัญกลับอยู่ที่ผลวิญญาณผันแปร!
ก่อนหน้านี้ เฟิ่งเทียนหวู่ ก็ได้อธิบายความสำคัญของผลวิญญาณผันแปรเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าเพราะเหตุใดถึงมีมันเป็นของรางวัล …
มันเป็นผลวิญญาณที่ย่าทวดผู้นั้นให้เฟิ่งเทียนหวู่ไว้ใช้เป็นสินสอด!
กล่าวได้ว่า หากตัวเขาต้องการผลวิญญาณผันแปรนั่นจริงๆ ก็ต้องตบแต่งนางให้เรียบร้อยเสียก่อน!
หากตอนนี้ตัวเขายังโสด ไร้ซึ่งเค่อเอ๋อและลี่เฟยเคียงข้างกายแล้วล่ะก็ เขาอาจจะไม่รีรอชักช้า หรือลังเลอะไรมากมาย และเลือกที่จะแต่งกับเฟิ่งเทียนหวู่ไปตรงๆไม่คิดขัดข้องอะไร
เพราะหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวแล้ว เงื่อนไขของทางเฟิ่งเทียนหวู่ กล่าวได้ว่า ไม่มีอันใดไม่ดี…
รูปโฉมของนางงดงามล้ำปานบุปผาสวรรค์ ทั้งพื้นหลังความเป็นมายังสูงส่งมิใช่ชั่ว
แต่ทว่ายามนี้ตัวเขามีเค่อเอ๋อกับลี่เฟยแล้ว เขาย่อมมีความรับผิดชอบและซื่อสัตย์มากเป็นพิเศษ
หากเขาเลือกได้ เขาย่อมไม่อยากจะทำร้ายน้ำใจของสาวน้อยทั้ง 2 คนนั่น
ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกของเขาตอนนี้ที่มีต่อเฟิ่งเทียนหวู่ ก็มีเพียงความชื่นชมเท่านั้น ไม่ใช่เสน่หาอะไร ไม่เหมือนกับที่เขาเห็นลี่เฟยในวันนั้นจนบังเกิดความปรารถนาอันแรงกล้า…
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นเพราะเขามีเค่อเอ๋อกับลี่เฟยอยู่แล้วกัน ความคิดเขาถึงได้เป็นเช่นนี้?
กล่าวไปแล้วเรื่องความรู้สึกและใจมนุษย์นี่ มันซับซ้อนสุดที่ฟ้าจะหยั่งถึงได้จริงๆ
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น… เอ่อ ข้าแค่…แบบว่า …เรื่องมันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป…ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราทั้งคู่ ก็เพิ่งจะได้รู้จักทั้งยังพบกันก็ไม่ได้นานอะไร หาได้ทันมีความรู้สึกอะไรต่อกันเป็นพิเศษไม่…หรือเจ้าเองก็สามารถแต่งงานกับคนที่เจ้าไม่รู้จักมาก่อนได้?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเฟิ่งเทียนหวู่
เมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ริมฝีปากของเฟิ่งเทียนหวู่อ้าออกคล้ายจะกล่าววาจา แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
"พี่ใหญ่ต้วน ข้าจะออกไปแล้ว…ท่านพักผ่อนก่อนเถิด" เฟิ่งเทียนหวู่ ระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนที่จะยกสำหรับ พร้อมชามข้าวต้มที่ว่างเปล่า ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนทำได้เพียงมองแผ่นหลังนางเดินออกจากห้องไปเท่านั้น
“เมื่อครู่นางจะพูดอะไรกันนะ?”ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเห็นท่าทางลังเลก่อนหน้าได้อย่างชัดเจน เหมือนเฟิ่งเทียนหวู่คิดจะกล่าวอะไรสักอย่าง
วูบ!!
ทันใดนั้นประตูพลันถูกกระแทกเปิดออก ก่อนที่จะมีสายลมกรรโชกหอบหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็ว แสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งมาวูบเดียวก็ปรากฏอยู่ที่เตียงของต้วนหลิงเทียน
"พี่ใหญ่หลิงเทียน ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที" เจ้าหนูตัวน้อยมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความดีใจ มันดูท่าทางตื้นเต้นยินดีไม่น้อย เสียงที่ส่งผ่านพลังงานต้นกำเนิดมาเมื่อครู่เองก็เริงร่าไม่แพ้กัน
"เสี่ยวจิน มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง …หลังจากที่ข้าหมดสติไปวันนั้น?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
"อ่า วันนั้นหลังจากที่ท่านถูกเฟิ่งหวู่เต้ากดดันจนสลบ … "
หลังจากฟังเจ้าหนูตัวน้อยกล่าวเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว พร้อมมือน้อยที่โบกไปมาประกอบท่าทาง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
อันที่จริงแล้ว เฟิ่งหวู่เต้าก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับตัวเขาและเจ้าหนูน้อยนี่
อีกฝ่ายนำตัวเขากับเจ้าเสี่ยวจินมาพักยังจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ แล้วก็เอาโอสถฟื้นสภาพเลิศล้ำให้เขากิน
"พี่ใหญ่หลิงเทียน พี่สาวหวู่เทียนก็มิเลวอันใด…ท่านคิดแต่งกับนางหรือไม่?" เจ้าหนูตัวน้อยกล่าวคำด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน แววตากระพริบปริบๆ ขณะกล่าวถามต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเจ้าเสี่ยวจิน "เจ้าหนูตัวจิ๋ว เจ้ายังเป็นแค่หนูทารกตัวนิดเดียวเท่านั้น อย่าได้วุ่นวายเรื่องผู้ใหญ่แล้ว … อา..อาการบาดเจ็บของข้าก็นับว่าฟื้นฟูไม่น้อยแล้ว เราไปเดินเล่นข้างนอกกัน"
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่เตรียมจะออกไปเดินเล่นรับลมข้างนอกกับเจ้าเสี่ยวจินนั้น
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ประตูไม่ได้ลั่นดาล" หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปไม่นาน ก็มีร่างชราร่างหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำคนผู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว มันคือแม่เฒ่าสวมชุดฟ้า ที่คอยตรวจสอบเรื่องราวอยู่ด้านข้างเวทีประลองหาคู่ในวันนั้น และคงเป็นแม่เฒ่าซูที่เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถึง
ตุบ!
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียน โดยไม่ทันให้เขาตั้งตัวอะไร นี่เพราะแม่เฒ่าซูนั้นไม่พูดไม่จา เพียงเดินมาถึงข้างเตียงแล้วนางก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าลงบนพื้น
"ท่านแม่เฒ่า? ท่านทำอะไรกัน?" ต้วนหลิงเทียนเผยท่าทางตกตะลึงออกมา ก่อนที่จะรีบไปประคองแม่เฒ่าให้ลุกขึ้นยืน
แต่น่าเสียดายที่ระดับบ่มเพาะของแม่เฒ่าผู้นี้สูงส่งกว่าต้วนหลิงเทียนมากนัก เมื่อนางตั้งใจคุกเข่าเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะพยายามฉุดดึงอย่างไร ก็ไม่มีทางทำให้แม่เม่าผู้นี้ลุกขึ้นมาได้
"ท่านแม่เฒ่า" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม "ไม่ว่ามีเรื่องราวอะไร ได้โปรดท่านลุกขึ้นเถิด แล้วค่อยๆกล่าววาจาออกมา"
เมื่อเห็นแม่เฒ่าซูยังไม่ยอมลุกขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็ยืนขึ้นทันที "หากท่านยังไม่ลุก เช่นนั้นข้าจะไปแล้ว … "
แม่เฒ่าซูพลันลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อได้ยินคำนี้
"นายน้อยหลิงเทียน" แม่เฒ่าซูโค้งคำนับต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไรที่แม่เฒ่าซูรู้จักชื่อของเขา ไม่พ้นเฟิ่งเทียนหวู่ต้องพบกับนางแล้วบอกไปเป็นแน่ "ท่านแม่เฒ่า ท่านมีอะไรก็กล่าวออกมาตรงๆเถิด"
"นายน้อยหลิงเทียน คุณหนูได้กล่าวถึงเรื่องคำทำนาย และบุรุษแห่งโชคชะตาของนางแล้วใช่หรือไม่?"แม่เฒ่าซูกล่าวถาม
"ใช่" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบ
"แล้วท่านล่วงรู้หรือไม่ หากบุรุษแห่งโชคชะตาของนางมิได้ปรากฏตัวขึ้น … นางมิอาจมีชีวิตอยู่ได้เกิน 30 ปี?" แม่เฒ่าซูถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
"อะไรนะ?!" ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเผยความเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด "ท่านแม่เฒ่า เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?"
"ข้าคิดไว้แล้ว …คุณหนูนั้นเป็นคนที่จิตใจดีงามนัก นางคงมิคิดกล่าวเรื่องนี้กับท่าน" แม่เฒ่าซูยังคงกล่าวสืบต่อ"คุณหนูนั้น ตั้งแต่เกิดมา นางก็แตกต่างจากคนธรรมดามากนัก …นางเกิดมาพร้อมกับครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ"
ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ!
ต้วนหลิงเทียนพลันอึ้งและตื่นตระหนกไม่น้อยเมื่อได้ยินคำๆนี้จากปากแม่เฒ่าซู ความคิดในหัวโลดแล่นค้นหาในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดในพริบตา และเขาก็รู้ว่ามันคืออะไร
ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ เป็นร่างกายที่ทรงพลังและยากที่จะรับมือได้มากที่สุดในบรรดาร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งมวล! และมันพบพานได้ยากเย็นอย่างมาก!!
ในประวัติศาสตร์ของทวีปเมฆาล่องนั้น มิได้มีเพียงร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟเท่านั้น ยังมีร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุอื่นๆอาทิเช่น ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำ ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุสายฟ้า และ ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุลม ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกัน
แต่เหล่าผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณธาตุเหล่านี้ แทบจะไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่ได้เกิน 30 ปี!
นั่นเพราะเมื่ออายุครบ 30 ปีแล้ว พลังธาตุอันมหาศาลในร่างกายจะเริ่มปะทุ และตื่นขึ้นมาเต็มตัว ทำให้พลังงานและความแข็งแกร่งพวยพุ่งขึ้นมาอย่างมหาศาล อนิจจาที่ผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณธาตุเหล่านี้ กลับไร้ซึ่งความสามารถและความแข็งแกร่ง มากพอที่จะทานทนพลังงานมหาศาลที่เอ่อล้นปะทุขึ้นนี้ได้ ร่างกลับกลายเป็นระเบิดตกตายไป…
จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดที่อยู่มา 2 ชาติภพย่อมเคยพบพานผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุอยู่บ้าง และที่ได้พบก็คือ ร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำ
ผู้ที่ครอบครองร่างร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำนั้น มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์และความเข้าใจสูงล้ำมาก ก่อนที่มันจะอายุได้ 30 ปี มันพึ่งพาความสามารถของร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำ จนสามารถทำความเข้าใจแนวคิดน้ำระดับ 3 ได้ตั้งแต่ตัวมีระดับบ่มเพาะ แรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 7 เท่านั้น!
กล่าวได้ว่าผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำคนนี้ ยามลงมือเต็มกำลัง ความแข็งแกร่งของมัน มากเพียงพอที่จะสังหาร ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยั่งรู้ธรรมชาติขั้นที่ 1 ได้!
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำคนนั้นอายุได้ 30 ปี ตัวมันไม่อาจทานทนขุมพลังมหาศาลที่ปะทุเอ่อล้นออกมาของร่างกายได้ ร่างของมันจึงระเบิดแหลกเหลวออกมาจากการปะทุของพลังงานนั่น
คนที่กล่าวมานี้…นับเป็นสหายที่ดีของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดในชาติภพแรกของเขา และเป็นผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุเพียงคนเดียว ที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดได้พบพานตลอดทั้ง 2 ชาติภพ
นี่เพราะว่าต้องทนเห็นสหายอันดีตกตาย ในใจย่อมบังเกิดความเสียใจ จนตัวจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด เริ่มค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องร่างจิตวิญญาณธาตุอย่างจริงจัง และหลังจากที่อ่านคัมภีร์ และตำราบันทึกโบราณต่างๆมากมาย
สุดท้ายเขาก็ได้ข้อสรุป
ผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เกิน 30 ปี เนื่องจากพลังธาตุมหาศาลจะตื่นและปุทะขึ้นในวัย 30 ปี และร่างกายไม่อาจรองรับขุมพลังมหาศาลเช่นนั้นได้
หากต้องการแก้ไขปัญหาที่น่าสะพรึงกลัวนี้ มีเพียง 2 วิธีเท่านั้น
วิธีที่หนึ่ง ผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุ ต้องตัดผ่านไปยังระดับผันแปรธรรมชาติให้ได้ก่อนอายุ 30!
หากผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นสามารถบรรลุระดับขีดขั้นผันแปรธรรมชาติได้แล้ว แม้จะเป็นเพียงระดับ 1 ร่างกายก็จะแข็งแกร่งพอ กระทั่งมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลง นำพาขุมพลังมหาศาลนั่นมาเพิ่มพูนความสามารถได้ และทนทานไม่ให้ร่างกายต้องระเบิดออกได้ ยามอายุ 30 ปี!
และถึงจะต่อให้อยู่ในระดับหลอมรวมธรรมชาติระดับ 9 อันเหลือแค่ขีดขั้นเดียวก็ไม่มีประโยชน์ คนผู้นั้นยังคงต้องตกตายอยู่ดี จำเป็นต้องตัดผ่านไปให้ได้ก่อนเท่านั้น…
แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่งที่จะตัดผ่านไปยังระดับผันแปรธรรมชาติได้ตั้งแต่อายุ 30 ปี และกล่าวได้ว่าจากความรู้ของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด มันเป็นไปไม่ได้!
วิธีที่ 2 นั้นจะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก…นั่นก็คือต้องออกค้นหาผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุ ที่เป็นธาตุตรงกันข้ามรวมถึงเป็นเพศตรงข้าม แล้วผสานเป็นหนึ่งเดียวกับคนผู้นั้น…
ด้วยเหตุนี้หลังงานแห่งธาตุอันมหาศาลในร่างของคนทั้งคู่จะถูกหลอมผสานกับขุมพลังตรงข้าม เพื่อสร้างเสถียรภาพกันในขณะประสานหยินหยาง และนั่นจะทำให้ยามที่ผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุ ทั้ง 2 ไม่ต้องประสบกับเหตุการณ์พลังงานปะทุเมื่ออายุ 30 อีกต่อไป…
ในกรณีของเฟิ่งเทียนหวู่นั้น นางเป็นผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ หากนางสามารถค้นหาบุรุษ ผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำ หรือร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำแข็ง แล้วตบแต่งเป็นสามีภรรยา เข้าห้องหอสองคนผสานกายแนบชิดอิงแอบเป็นหนึ่งเดียว ทั้งคู่ก็จะสามารถหยุดยั้งหายนะอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น…
“ข้าไม่คิดเลย ว่านางจะเป็นผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟ” ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างสะท้อนในอารมณ์ เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจเฟิ่งเทียนหวู่ไม่น้อย
จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดนั้น ผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุ กล่าวได้ว่าเป็นตัวตนที่เรียกได้ว่า…แทบจะมีความสามารถท้าทายสวรรค์!
เนื่องจากพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ตามธรรมชาติ รวมถึงความสามารถในการเข้าใจสรรพสิ่ง จะสูงล้ำจนน่าหวาดกลัว
โดยเฉพาะในเรื่องของพลัง ผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณจะเข้าใจมันได้ง่ายดาย
เช่นเดียวกับเฟิ่งเทียนหวู่ นางสามารถเข้าใจเมล็ดพันธุ์พลังไฟ ถึงขีดจำกัดได้ตั้งแต่มีระดับบ่มเพาะวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6!
และทันทีที่นางตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้เมื่อไหร่ นางย่อมสามารถเข้าใจพลังไฟเบื้องต้นได้ในทันที
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุจะมีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ และความสามารถในการทำความเข้าใจสูงล้ำจนนำพาให้ผู้คนอิจฉาริษยาถึงขีดสุด แต่ทั้งหมดก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติแห่งชีวิต ถึงขั้นต้องดับสูญในตอนที่มีอายุได้ 30 ปี…
ในประวัติศาสตร์ของทวีปเมฆาล่อง ยังไม่มีผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุคนใด ที่สามารถอยู่รอดได้ถึง 30 ปี
“ท่านแม่เฒ่า…ข้าเสียใจ แต่ข้าต้องขอกล่าวบอกต่อท่านตั้งแต่ตอนนี้…ตัวข้าเองก็ไม่ใช่ผู้ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำหรือน้ำแข็ง ถึงแม้ว่าข้าจะแต่งงานกับเทียนหวู่ และเอ่อ…เป็นหนึ่งเดียวกับนาง แต่ข้ากลัวว่า ข้าเองก็ไม่อาจช่วยให้นางพ้นผ่านวิกฤตการณ์นี้ได้”ต้วนหลิงเทียนมองไปยังแม่เฒ่าซูด้วยความจนปัญญาก่อนที่จะระบายลมหายใจออกมา…
“ข้ามิได้รู้อันใดเกี่ยวกับร่างร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำและน้ำแข็ง…ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือคำทำนายของท่านเทพพยากรณ์ที่มอบให้คุณหนูของข้านั้นกล่าวไว้กระจ่างชัด… และท่านย่อมเป็นบุรุษแห่งโชคชะตาของคุณหนูมิผิดแน่ ข้ามั่นใจตราบใดที่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับคุณหนูของข้า…ท่านย่อมสามารถแก้ไขปัญหา อันร้ายแรงนี้ของคุณหนูได้อย่างแน่นอน!” แม่เฒ่าซูส่ายหัวออกมาสำหรับการส่ายหน้าปฏิเสธของต้วนหลิงเทียน นางมีความเชื่อมันอย่างหน้ามืดตามัวต่อคำทำนายของเทพพยากรณ์ที่นางกล่าวออกมา เรียกว่ามันเป็นความศรัทธาอันแรงกล้าก็ไม่ผิด…
ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปในทันใด ถึงกับพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว
แม่เฒ่า! นี่ไม่ใช่กระทำการวู่วามไปหน่อยหรือไร? ท่านจะจับคุณหนูที่ท่านรักใส่กระเช้ามาให้ข้าง่ายๆแบบนี้ไม่ได้!!
ประการแรกเลย เขาไม่ได้มีความสามารถเลิศล้ำสูงส่งอะไร ที่จะทำให้นางกลายเป็นตัวตนระดับผู้เชี่ยวชาญผันแปรธรรมชาติก่อนที่จะมีอายุ 30 ปี…
ประการที่สอง ตัวเขาเองก็ไม่ได้ครอบครองร่างจิตวิญญาณแห่งธาตุน้ำ หรือน้ำแข็ง ทำให้เขาไม่อาจช่วยบรรเทาขุมพลังแห่งธาตุไฟในตัวของเฟิ่งเทียนหวู่ได้!
เท่าที่เขารู้ถึงเขาจะแต่งกับเฟิ่งเทียนหวู่แล้วทำรักผสานกายกับนางสักกี่รอบก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยนางได้!
"แม่เฒ่าซูข้า … " ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวไม่ทันจบคำ การกระทำของแม่เฒ่าซูก็เงียบลงไปอีกครั้ง
อย่างน้อยๆ แม่เฒ่าซูนี่ก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ แต่นางกลับถึงขั้นคุกเข่าต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง โดยไร้ซึ่งความขัดข้องอะไรแม้แต่น้อย
หากจะให้ต้วนหลิงเทียนอธิบายการกระทำนี้ล่ะก็ สำหรับคนอื่นแล้วคงไม่พ้นเป็นการกระทำ ไร้ยางอาย อะไรทำนองนั้น!
แต่นี่ต้วนหลิงเทียนรู้ได้อย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่ทำให้แม่เฒ่าซูต้องลดตัวมากระทำอะไรเช่นนี้ แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นเพราะนางให้ความสำคัญกับเฟิ่งเทียนหวู่มากกว่าตัวนางเอง
ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมา "แม่เฒ่าซูโปรดลุกขึ้นก่อนเถอะ …การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย! ถึงแม้ข้าเต็มใจที่จะแต่งงานกับคุณหนูท่าน แต่จะอย่างไรข้าก็ต้องหารือกับครอบครัวของข้าก่อนใช่หรือไม่?"
สุดท้ายภายใต้วาจาชักชวนของต้วนหลิงเทียน แม่เฒ่าซูก็ลุกขึ้น
และในตอนนี้เอง
“ท่านบุตรเขย ท่านเจ้าเมืองเรียกให้ทานไปพบที่ห้องโถงหลัก” ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตูเข้าหูต้วนหลิงเทียน
บุตรเขย?
มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุกขึ้นมาตงิดๆ
นี่ใช่เขาถูกยัดเยียดความเป็นสามี แก่บุตรสาวของท่านเจ้าเมืองหรือไม่?
"จ้าวเมืองเฟิ่งคิดหาข้าหรือ … หรือเพราะเรื่องของเทียนหวู่?" คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อย เขาอำลาแม่เฒ่าซูก่อนที่จะพาเสี่ยวจินเดินออกจากห้อง
หลังจากเดินตามข้ารับใช้คนนั้นที่นำมาได้ไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็มาถึงห้องโถงหลัก…