สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 428 : เฟิ่งเทียนหวู่
WSSTH บทที่ 428 : เฟิ่งเทียนหวู่
“ไอหนุ่มเจ้าคิดจริงๆหรือว่า การประลองหาคู่ของบุตรีข้าเจ้าเมืองเป็นเรื่องขบขัน ดั่งการละเล่นสนุกสนาน? หรือเจ้าคิดจริงๆว่ามิมีผู้ใดต้องการบุตรีข้าแล้ว? เจ้าเลยคิดว่าจะแต่งหรือไม่แต่งกับนางก็ได้ตามแต่ใจเจ้า! เช่นนี้?” เฟิ่งหวู่เต้ามองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงยามกล่าวแฝงความถมึงทึงไว้ไม่น้อย
แต่ทว่าตอนนี้ความประหลาดใจพลันฉายชัดอยู่ในแววตาเฟิ่งหวู่เต้าอย่างปิดไม่มิด นี่เพราะต้วนหลิงเทียนนั้น แม้จะโดนแรงกดดันของมันเข้าไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังเพียงกระอักโลหิตกับทรุดลงไปแค่นั้น
สำหรับตัวมันแล้วอาศัยเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 …ไม่สมควรมีผู้ใดต้านทานแรงกดดันระดับนี้ของมันได้! เพียงแค่โดนเศษเสี้ยวก็จำต้องทรุดลงไปกองหมดสภาพ กระทั่งหมดสติไปแล้ว!!
“เจ้ากระทำเช่นนี้คิดเอาศักดิ์ศรีของจวนเจ้าเมืองข้าวางไว้ตรงไหน? แล้วเจ้าคิดให้บุตรีข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด?” เสียงของเฟิ่งหวู่เต้ายิ่งมายิ่งดุร้ายน่ากลัว
ครืน!
แรงกดดันที่มหาศาลมากกว่าเดิมเริ่มกดทับไปยังร่างของต้วนหลิงเทียน
ทันใดนั้นสีหน้าที่ซีดอยู่แล้วของต้วนหลิงเทียน ยิ่งซีดลงราวกับศพ ตอนนี้เขารู้สึกเสมือนร่างกายตัวเองอยู่ท่ามกลางพายุใต้ฝุ่น สามารถแหลกสลายปลิดปลิวได้ทุกเมื่อ
ต้วนหลิงเทียนเหลือบไปมองสตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างเฟิ่งหวู่เต้า ด้วยดวงตาที่แดงเล็กน้อยพร้อมเผยรอยยิ้มขื่นขมขณะกล่าววาจาออกมาทั้งกระอักเลือด “ท่านเจ้าเมือง เรื่องนี้ข้ากล่าวกับบุตรสาวท่านตั้งแต่เริ่มขึ้นเวทีประลองแล้ว…ข้ามาเพื่อผลวิญญาณผันแปร”
"ท่าน …ท่านมิชอบข้าจริงๆหรือ?" ดวงตาคู่งามของสตรีน้อยเริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แลดูราวกับมันจะร่วงผล็อยลงมาได้ทุกเวลา นางมองมายังต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าครานี้ในน้ำเสียงกลับสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด
ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมา "ข้ายังไม่ได้เห็นหน้าเจ้า แล้วข้าจะบอกได้อย่างไรว่าชอบเจ้าหรือไม่ชอบเจ้า ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อผลวิญญาณผันแปรเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ …หากข้าไม่ได้รับผลวิญญาณผันแปรนั่นก็ไม่เป็นไร ที่มารบกวนเจ้าเรื่องนี้…หวังให้เจ้าอภัยให้ข้าด้วย ข้าขอลา! "
"ขออภัยท่านด้วย" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังบุตรีเจ้าเมืองเสร็จก่อนที่จะหันไปมองเจ้าเมืองที่หน้าเริ่มดำคล้ำขึ้นมา ก่อนที่จะยิ้มอย่างขื่นขมกล่าวคำขออภัย หลังจากนั้นก็หันหลังกลับ เตรียมที่จะเดินจากไป
"เจ้าคิดว่า…จวนเจ้าเมืองของข้า…ผู้ใดอยากจะมาก็มา… อยากจะไปก็ไปได้เช่นนั้นหรือ?” ทันใดนั้นเองเมื่อต้วนหลิงเทียนหันหลังกลับ เสียงที่ราวกับจะเป็นดาบแหลมคมเล่มหนึ่งดังขึ้นในหูของเขาอย่างฉับพลัน เสียงครานี้ทำให้ร่างของเขาถึงกับสั่นสะท้าย
ทั้งพลังอำนาจสายหนึ่งที่ร้ายกาจจนเขาไม่อาจขัดขืนหรือต่อต้านได้ ก็เริ่มโถมทับมาที่ร่างของเขา
พริบตาต่อมาเขารู้สึกเสมือนไร้เรี่ยวแรง ก่อนที่สติของเขาจะเริ่มเลือนลาง ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นพร่าเบลอ
ภาพฝูงชนรอบๆ ก็เสมือนค่อยๆหางไกล สุดท้ายทั้งหมดก็จางลงไปเรื่อยๆ
"จี๊ด~" ก่อนที่สติของเขาจะดับลง เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงเจ้าเสี่ยวจินที่กำลังกรีดร้องออกมาด้วยโทสะจนดังเสียดหู แล้วเขาก็วูบดับไป จมจ่อมในความมืดมิด..
….
เมื่อต้วนหลิงเทียนฟื้นสติอีกครั้ง เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง
"เจ็บฉิบ!" ต้วนหลิงเทียนค่อยๆลืมตาขึ้นมา เมื่อหันมองไปรอบๆ เขาก็พบว่ายามนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงหรูหรา ภายในห้องพักที่กว้างขวางห้องหนึ่ง
"ท่านตื่นแล้ว?" ทันใดนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออก ก่อนที่จะมีร่างบอบบางสวมชุดสีแดงเพลิง เดินเข้ามา ในมือนางยังถือชามข้าวต้มร้อนๆมาด้วย
เมื่อได้กลิ่นหอมของข้าวต้ม ท้องของต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะร้องโวยวาประท้วงออกมาโดยพลัน
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังสตรีชุดแดงสวมผ้าคลุมหน้า อันเป็นบุตรีเจ้าเมือง ก่อนที่จะกล่าวถามพร้อมส่ายศีรษะไปมาด้วยความวิงเวียน “แม่นาง…นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
"ท่านถูกท่านพ่อของข้าทำให้สลบไป 3 วัน 3 คืน …ท่านพ่อข้าก็อารมณ์รุนแรงเช่นนี้แหล่ะ ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย" บุตรีเจ้าเมืองวางชามข้าวต้มไว้ด้านข้างเตียงต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเริ่มพยุงต้วนหลิงเทียนให้นั่ง ก่อนที่นางจะถอดผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ หลังจากนั้นนางก็หยิบชามข้าวต้มขึ้นมา หยิบตักมาช้อนหนึ่ง เริ่มเป่ามันเบาๆ สุดท้ายนางก็นำช้อนมาจ่อที่ปากต้วนหลิงเทียนพร้อมยิ้มบางๆ "ท่านไม่ได้กินอะไรมาตั้ง 3 วัน ย่อมหิวแล้วใช่หรือไม่?"
"อ่า … " ต้วนหลิงเทียนอึ้งค้างไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากงับข้าวต้มไปเต็มคำอย่างงุนงง
เมื่อผ้าคลุมหน้าค่อยๆถูกนำออกช้าๆ ร่างของต้วนหลิงเทียนก็นิ่งค้างดั่งต้องมนต์สะกด
และเมื่อผ้าคลุมหน้าถูกนำออกไปจนหมด ประกายตาของต้วนหลิงเทียนก็ส่องแสงระยับ เมื่อได้เห็นดวงหน้างามหยดย้อย คิ้วสีดำที่แต่งแต้มแลดูวิจิตรราวกับบรรจงขีดเขียน สองตาของนางคล้ายหยาดหยดน้ำในสารทฤดู จมูกน้อยๆของนางสอดรับกับใบหน้าอย่างลงตัว ริมฝีปากแดงระเรื่อพร้อมฟันซี่ขาวเรียงสวย ทั้งหมดนี้แทบไม่ต่างอะไรจากภาพวาดที่รังสรรค์ขึ้นมาจากเทพเซียนสักนิด
นางแลคล้ายเทพธิดานางสวรรค์ที่เยื้องย่างมายังแดนมนุษย์
ในตอนนี้ใจของต้วนหลิงเทียนค่อยๆรู้สึกสงบลง เมื่อได้ยลโฉมของนางชัดๆ
"แม่นาง…เจ้าสวยมาก" ต้วนหลิงเทียนพึมพำออกมา
ความงดงามของสตรีนางนี้นับว่าชวนให้ผู้คนตะลึงงันนัก
"อา…ท่าน…ท่านรีบกินข้าวต้มก่อนเถิด" ใบหน้าที่งดงามของสตรีเบื้องหน้าแดงก่ำราวกับจะคั้นเป็นหยดโลหิต หลังจากนั้นนางก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับสายน้ำ หากเทียบกับสตรีห้าวหาญดุดันบนเวทีประลองก่อนหน้าแล้ว นางในยามนี้ดูต่างออกไปราวกับคนละคน!
ยามสู้นางช่างดุร้ายเกรี้ยวกราดราวพยัคฆ์ร้าย แต่ยามสงบกับอ่อนโยนดั่งสายน้ำ
นี่คือความรู้สึกในใจของต้วนหลิงเทียนที่มีต่อสตรีเบื้องหน้า
ต้วนหลิงเทียนปล่อยให้สาวงามค่อยๆป้อนข้าวต้มอย่างสบายอารมณ์ ในใจบังเกิดความรู้สึกเลิศหรูวาบหวามประการหนึ่ง เมื่อได้กินข้าวต้มไปหลายคำ ในท้องและลำคอก็พอได้สัมผัสถึงความอุ่นร้อนขึ้นมา เรี่ยวแรงฟื้นฟูอยู่บ้าง
"ข้า…ข้ายังไม่ทราบชื่อท่าน" สาวน้อยกล่าวถามขึ้นมา
"ข้าเรียกว่าต้วนหลิงเทียน" ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ก่อนที่จะมองไปยังแววตาของนาง "แล้วเจ้าล่ะ ชื่ออะไรหรือ?"
"เฟิ่งเทียนหวู่" สาวน้อยตอบกลับพร้อมยิ้มสดใส
เอ่อ…ข้าต้องขออภัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย …แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำแสดงความเสียใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้า
เฟิ่งเทียนหวู่เองก็นึกย้อนเรื่องราวไปถึงเมื่อ 3 วันที่แล้ว ก่อนที่นางจะระบายลมหายใจออกมาเบาๆ "ท่าน … อย่าได้ตำหนิบิดาของข้าเลย บางทีอาจเพราะท่านมีโอกาสเป็นบุรุษแห่งโชคชะตา ในคำทำนายของข้า …ท่านพ่อจึงมิคิดยินดีที่จักเห็นท่านเดินจากไปเช่นนั้น"
"บุรุษแห่งโชคชะตา ในคำทำนายของเจ้า?" เมื่อต้วนหลิงเทียนเขาอดไม่ได้ที่จะอึ้งและกล่าวถามซ้ำออกมาอีกครั้ง
โชคชะตาอะไร โชคเลือดข้าสิไม่ว่า?
เฟิ่งเทียนหวู่ก็ยังคงป้อนข้าวต้มให้ต้วนหลิงเทียน และค่อยๆกล่าวอธิบายออกมา "อันที่จริงแล้ว ตัวข้า ท่านพ่อ ท่านผู้เฒ่าคง ท่านแม่เฒ่าซู พึ่งจะเดินทางมายังเมืองนี้ได้ไม่กี่ปีเท่านั้น …ตอนนั้นเมืองนี้ยังไม่ได้เรียกว่าเมืองหงส์ฟ้าด้วยซ้ำ
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่คิดเลยว่าที่แท้เจ้าเมืองหงส์ฟ้าจะไม่ใช่คนที่นี่
เช่นนั้นหมายความว่า หลังจากที่เฟิ่งหวู่เต้ามาที่นี่ได้ไม่นาน มันก็สามารถปกครองเมืองและกระทั่งเปลี่ยนชื่อเมืองได้ นอกจากนั้นยังได้รับความเคารพจากผู้คนในเมืองอีก …
ความสามารถเช่นนี้นับว่าน่าประทับใจนัก
"แล้วพวกเจ้า…มาจากไหนกันหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา
"ราชวงศ์ ต้าฮั่น" เฟิ่งเทียนหวู่ค่อยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆ
"ราชวงศ์ต้าฮั่น!" ต้วนหลิงเทียนตะลึง
แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ของเฟิ่งหวู่เทียน รวมถึงความสามารถในการทำความเข้าใจที่เลิศล้ำด้วยวัยเพียงเท่านี้ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจและยอมรับได้ทันที
คงมีแต่คนในราชวงศ์ของราชอาณาจักรต้าฮั่นเท่านั้น ที่มีพรสวรรค์และความสามารถสูงส่งขนาดนี้
"แล้วไอโชคชะตา กับคำทำนายอะไรนั่นที่เจ้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้ล่ะ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย ในคำที่เฟิ่งหวู่เทียนเอ่ยถึงก่อนหน้านี้
เฟิ่งเทียนหวู่ได้ยิน ก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ แววตาพร่ามัวลงเล็กน้อย "มันเป็นคำทำนายที่ท่านย่าทวดของข้ามอบไว้ให้ข้า … ท่านย่าทวดเป็นผู้พยากรณ์ที่มีความสามารถสูงล้ำอย่างยิ่ง และเพื่อช่วยเหลือชีวิตของข้า ท่านย่าทวดยินยอมสละชีวิต 20 ปี ฝืนลิขิตสวรรค์เพื่อมองหาทางรอดให้ข้า สุดท้ายท่านก็.." ในขณะที่กล่าวจบใบหน้าที่งดงามของเฟิ่งเทียนหวู่ก็เศร้าหมอง ทั้งหยาดน้ำตายังเริ่มหลั่งรินออกมาจากดวงตาคู่งาม
ผู้พยากรณ์?
ต้วนหลิงเทียนตะลึงค้างไปในทันใด ผู้พยากรณ์นี่ ใช่คล้ายๆกันกับไอสิ่งที่เรียกกันว่า ‘หมอดู’ ในชีวิตที่แล้วของเขาหรือไม่?
ในชีวิตที่แล้วต้วนหลิงเทียนไม่เคยเชื่อเรื่องหมอดู หมอเดา อะไรทำนองนี้สักนิด บัดซบเถิดดูลายมือผู้คนบ้าง ดูไพ่บ้าง กระทั่งตัวเลขที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่ลมหายใจ กลับรับรู้ได้แล้วว่าอนาคตของผู้คนจักเป็นอย่างไร!
"อย่าได้เศร้าเสียใจไปเลย … ตั้งแต่ย่าทวดของเจ้าเลือกที่จะกระทำเช่นนี้ แสดงว่าท่านคงรักเจ้ามากนัก หากท่านรู้ว่าหลังจากที่ท่านจากไปแล้ว เจ้าเอาแต่เสียใจเช่นนี้ …ท่านคงรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ เจ้าคิดว่าท่านอยากเห็นเจ้าเอาแต่เศร้าเสียใจหรือไม่? "
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่เชื่อไอเรื่องหมอดูอะไรนี่สักนิด แต่เมื่อเห็นสภาพเฟิ่งเทียนหวู่ตอนนี้ ที่คล้ายบุปผาบอบช้ำร่ำไห้ ทำให้เขารู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะปลอบนาง
ภายใต้การปลอบโยนของต้วนหลิงเทียนไม่นานเฟิ่งเทียนหวู่ก็ดีขึ้น
"ท่านคิดว่าคำทำนาย และโชคชะตาเป็นเรื่องเหลวไหล และหลอกลวงใช่หรือไม่?" ทันใดนั้นเองอยู่ๆ เฟิ่งเทียนหวู่ก็สบตากับต้วนหลิงเทียนแล้วกล่าวออกมา
ดวงตาที่กลมใสกระจ่างแลดูบริสุทธิ์ดั่งมุกมณี ทำให้ใจต้วนหลิงเทียนถึงกับสั่นไหวไปวูบหนึ่ง
แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้คิดปฏิเสธอะไรคำกล่าวของนาง เขาพยักหน้ารับออกไปตรงๆ
เฟิ่งเทียนหวู่ค่อยๆกล่าวออกมาอีกครั้ง "ในตอนแรกข้าเองก็มิอยากจะเชื่อเช่นกัน …จนกระทั่งวันนั้น บนเวทีประลองหาคู่… เมื่อข้ายอมรับว่าท่านแข็งแกร่งกว่าข้า วินาทีนั้นข้าก็เชื่อในคำทำนายของท่านย่าทวด ว่ามันมิใช่เพียงแต่เรื่องเหลวไหล และเป็นเพียงมายาหลอกลวงอันใด"
“แล้วทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วและมองไปยังเฟิ่งเทียนหวู่ด้วยความสนใจ
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อถึงได้พาข้ามายังเมืองนี้ เมืองที่อยู่ใต้สุดของอาณาจักรศิลาทมิฬ?” เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถามออกมา ก่อนที่นางจะเป็นผู้ตอบเอง “นั่นเป็นเพราะคำทำนายของท่านย่าทวดข้า… ตามคำทำนายของท่านย่าทวด ตัวข้าจะพบพานบุรุษแห่งโชคชะตา ในตอนที่ข้าอายุ 20 ปี ที่เมืองใต้สุดของอาณาจักรศิลาทมิฬ” เมื่อเฟิ่งเทียนหวู่กล่าวถึงตอนนี้ ใบหน้านางก็ขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อ “เมื่อท่านพ่อพาข้ามาถึงที่นี่ ท่านพ่อก็จัดการเรื่องราว ไม่นานก็ได้กลายเป็นเจ้าเมืองและเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองหงส์ฟ้า…” (ชื่อเฟิ่งเทียนหวู่ หมายถึง หงส์ฟ้าสวรรค์เริงระบำ)
“ท่านย่าทวดกล่าวบอกข้าว่า บุรุษแห่งโชคชะตาของข้า จะรอนแรมมาจากทิศใต้ และเขาจะปรากฏตัวขึ้นตอนที่ข้าอายุ 20 ปี… ท่านย่าทวดบอกว่า เมื่อข้าอายุ 20 ปีแล้ว ให้ท่านพ่อทำการจัดการประลองหาคู่ โดยใช้ผลวิญญาณผันแปรเป็นรางวัลเสริม เสมือนดั่งเป็นสินสอดของตัวข้า”
เฟิ่งเทียนหวู่กล่วต่อ "ข้าเองก็เพิ่งมีอายุได้ 20 ปีได้ไม่นาน … ท่านพ่อเองก็เชื่อฟังคำทำนายของท่านย่าทวดอย่างยิ่ง เช่นนั้นท่านจึงจัดให้มีการประลองหาคู่ ตามเวลาที่ท่านย่าทวดกล่าวคำทำนายเอาไว้ และรอคอยบุรุษแห่งโชคชะตาของข้า …และจากที่ท่านย่าทวดกล่าวไว้ ภายในช่วงเวลา 10 วัน บุรุษแห่งโชคชะตาของข้าจักปรากฏ…”
“ท่านย่าทวดยังกล่าวว่า…บุรุษที่จะปรากฏตัวจักมีอายุไม่ถึง 25 ปี และสามารถเอาชนะข้าได้ ในการประลองหาคู่…”
“ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของข้า มิจำเป็นต้องกล่าวถึงอาณาจักรศิลาทมิฬอันแร้นแค้นนี่ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะอยู่ในราชอาณาจักรต้าฮั่น เหล่าอัจฉริยะหนุ่มมากพรสวรรค์ทั้งหลาย ที่สามารถเอาชนะข้าได้ โดยที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ล้วนเป็นตัวตนที่ไม่ต่างอันใดกับ ขนของปักษาสวรรค์และเขากิเลน”
“ในช่วง 9 วันแรกของการประลองหาคู่ แม้จะมีผู้คนมากันมากหน้าหลายตา แต่หามีแม้แต่ผู้เดียวไม่ ที่สามารถรับมือข้าได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว อันที่จริงเมื่อผ่านพ้นไป 3 วันข้าเองก็เริ่มบังเกิดความคิดในใจบางประการ ว่าบางทีอาจเป็นท่านย่าทวดที่ทำนายผิดไป บุรุษผู้นั้นหาได้มีอยู่จริง และท่านย่าทวดจำต้องเสียสละอายุขัย 20 ปีไปอย่างสูญเปล่า…แต่เมื่อท่านปรากฏตัวขึ้น ข้าจึงรู้ว่าท่านย่าทวดหาได้เสียอายุขัยไปอย่างสูญเปล่าไม่”
หลังจากกล่าวจบเฟิ่งเทียนหวู่หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้งก่อนที่จะกล่าวถามอย่างจริงจัง “ท่าน…ใช่มาจากทิศใต้หรือไม่”
คำกล่าวของเฟิ่งเทียนหวู่ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา
นั่นเพราะเรื่องราวที่เฟิ่งเทียนหวู่กล่าวออกมา มันเขย่าความเชื่อของเขาอย่างแรง
โชคชะตา คำทำนาย ลิขิตสวรรค์?
ทั้งหมดทั้งมวลตัวเขาล้วนไม่เคยเชื่อถือพวกมันมาตลอดชีวิต…ในชีวิตที่แล้ว มีเพียงมีดกับปืนและความสามารถตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถลิขิตชะตาชีวิตตัวเองได้
"ก็ใช่ ข้าเดินทางมาจากทิศใต้…แต่บางทีเรื่องทั้งหมดนี่ มันก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญไม่ใช่หรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเฟิ่งเทียนหวู่
ตัวเขาเดินทางมาจากอาณาจักรพนาคราม นั่นมันก็ประจวบเหมาะพอดี เพราะมันตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอาณาจักรศิลาทมิฬ
"บังเอิญ?" เฟิ่งเทียนหวู่ส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกล่าว “ท่านอย่าได้กังวล หากท่านมิเต็มใจยอมรับ…ข้าย่อมมิคิดบังคับให้ท่านต้องฝืนใจอันใด…”
"ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น… เอ่อ..ข้า … " ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้จะพูดอะไรยังไงดี…