สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 427 : เฟิ่งหวู่เต้า
WSSTH บทที่ 427 : เฟิ่งหวู่เต้า
ภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณที่ปรากฏออกมาในตอนแรก ที่มีถึง 120 ตัวนั้น อยู่ดีๆ มันก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มันเพิ่มๆลดๆไม่คงที่
บัดเดี๋ยว 90 ช้างแมมมอธโบราณ
บัดเดี๋ยว 100 ช้างแมมมอธโบราณ
…
มันผันผวนไปมาไร้ซึ่งเสถียรภาพ และในช่วงที่มันดีดขึ้นไปสูงสุด ต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่ามันมีถึง 127 ช้างแมมมอธโบราณ
“เมล็ดพันธุ์พลัง เช่นนั้นหรือ?” ม่านตาของต้วนหลิงเทียนหดแคบลงโดยพลัน และเมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปยังแส้ของบุตรีเจ้าเมือง เขาก็พบว่านอกเหนือจากพลังงานต้นกำเนิดแล้ว ก็มีกระแสพลังที่แผ่ซ่านกลิ่นอายลึกล้ำออกมา
ต้วนหลิงเทียนย่อมคุ้นเคยกับกลิ่นอายพลังนี้ดี
มันเป็นกลิ่นอายของเปลวเพลิง!
"พลังไฟ …มันเป็นเมล็ดพันธุ์พลังไฟ!" ต้วนหลิงเทียนสามารถบ่งบอกถึงสิ่งที่บุตรีเจ้าเมืองใช้ออกได้ในทันที เขารู้ว่าความสามารถที่นางใช้ออกที่แท้แล้วคืออะไร
และวินาทีต่อมาใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับต้องลดต่ำลงโดยพลัน
ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่า กำลังความแข็งแกร่งในแส้ยิ่งมายิ่งมาก และมันกำลังจะดันกระบี่เขาถอยแล้ว
พลังสั่นสะเทือน!
ถึงแม้ว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะใช้พลังสั่นสะเทือน แต่ทว่ามันก็ต้านทานได้บางส่วนเท่านั้น ไม่อาจรับได้ทั้งหมด
เมฆลมประสานเคลื่อนคล้อย!
ทันใดนั้น ต้วนหลิงเทียนผ่อนหนักเป็นเบา สลายพลังจ้วงแทง พร้อมหยิบยืมสภาวะแกร่งกร้าวของแส้ กอปรกับวิชาท่าร่างเมฆลมประสานเคลื่อนคล้อย ดีดตัวถอยหลังออกไปอย่างว่องไวปานวอก ร่างคนคล้ายสายลมหอบใหญ่พุ่งห่างออกไปไกล ก่อนที่จะหยุดร่างลงแล้วจับจ้องมองไปยังบุตรีเจ้าเมืองโดยพลัน
“บ้าเอ๊ย ถ้าข้ารู้ว่านางเข้าใจเมล็ดพันธ์พลังไฟล่ะก็…ข้าคงจะใช้พลังสั่นสะเทือนตั้งแต่แรกแล้ว…” ต้วนหลิงเทียนทำได้เพียงถอนหายใจและบ่นออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ในตอนแรกต้วนหลิงเทียนคิดว่าถึงแม้ไม่ใช้พลังสั่นสะเทือน แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็มากเกินพอที่จะเอาชัยสาวน้อยนางนี้ได้
แต่ทว่า ขอเท็จจริงจากเรื่องราวตรงหน้า ก็พิสูจน์แล้วว่า …เป็นเขาที่คิดตื้นเขินเกินไป…!
บุตรสาวเจ้าเมืองคนนี้ นางนับว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์อย่างแท้จริง สามารถเข้าใจเมล็ดพันธุ์พลังไฟได้แล้ว!
ในแง่พรสรรค์ตามธรรมชาติแล้ว นางไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา
ในแง่ของความสามารถในการทำความเข้าใจ นางนับว่าเป็นคนที่อยู่เหนือสุดในบรรดารุ่นเยาว์ที่เขาเคยพบพาน
ถึงแม้จะเป็นนายน้อยคมมีดจากนิกายบัวปีศาจคมมีดแห่งอาณาจักรพนาคราม ก็ยังนับว่าด้อยกว่านางนัก
หากต้วนหลิงเทียนใช้พลังงานสั่นสะเทือนตั้งแต่แรก จนเร่งเร้าให้มันเข้าสู่สภาวะสั่นสะเทือนเต็มกำลัง มีความถี่สูงสุดแล้วล่ะก็ เพียงกระบี่เมื่อครู่เขาย่อมมีชัยเหนือนางไปแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ใช้มัน…!
และถึงแม้เมื่อครู่เขาจะเริ่มใช้พลังงานสั่นสะเทือนก็จริง แต่ทว่ามันกลับสายเกินการณ์ไปแล้ว เพราะพลังทำลายของบุตรสาวเจ้าเมืองนั้นกำลังทำลายมวลพลังของเขา และกำลังจะฝ่าปราการพลังงานต้นกำเนิดของเขา มาทำร้ายเขาอยู่แล้ว…
การจะเร่งเร้าพลังสั่นสะเทือนให้ถึงจุดสูงสุดนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง
เมื่อตะกี้นี้ต้วนหลิงเทียนไม่มีเวลาเหลือพอให้เร่งเร้าพลังงานสั่นสะเทือนถึงจุดสูงสุด!
ตอนนี้บนเวทีประลองหาคู่ ร่างของต้วนหลิงเทียนและบุตรสาวเจ้าเมืองเว้นระยะห่างกันหลายช่วงตัว ทั้งคู่ต่างจับจ้องไปยังกันและกันด้วยแววตาลึกซึ้ง…
กระบี่อ่อนดาราม่วงในมือของต้วนหลิงเทียนยังคงอัดแน่นไปด้วยกลังงานต้นกำเนิดและพลังลม มันยังพร้อมฟันฟาดออกไปได้ทุกเวลา
เหนือศีรษะของเขาเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 1,210 ตัว ก็ยังคงฉายชัดอยู่ราวกับมีชีวิต ท่าทางของพวกมันกำลังเตรียมพร้อมราวกับพร้อมจะพุ่งทะยานถาโถมได้ทุกเวลา
พลังงานต้นกำเนิดที่ถ่ายทอดควบรวมอยู่ในแส้ของบุตรสาวเจ้าเมืองก็เช่นกัน มันยังคงอัดแน่นรอการปะทุอยู่ พร้อมซัดทำลายได้เมื่อ!
ส่วนเหนือขึ้นไปบนฟ้าจากร่างของนาง เงาร่างช้างแมมมอธโบราณยังคงวูบวาบเดี๋ยวมีเดี๋ยวหายอยู่ตลอดเวลา มันมีความแข็งแกร่งผันผวนอยู่ระหว่าง 1,260 กับ 1,307 ช้างแมมมอธโบราณ
นอกจากนี้มันยังไม่มีทีท่าว่าความแข็งแกร่งของเมล็ดพันธ์พลังนางจะวูบดับหายไปเหมือนอย่างนายน้อยคมมีดอีกด้วย
‘ดูเหมือนเมล็ดพันธ์พลังไฟ ของบุตรสาวเจ้าเมืองคนนี้ จะบรรลุจุดสูงสุด เท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งจะสามารถกระทำได้แล้ว…ถึงแม้ว่านางจะไม่อาจควบคุมระดับพลังความแข็งแกร่งให้เสถียรคงตัวได้ แต่อย่างน้อยนางก็ยังควบคุมให้ระดับพลังของมันคงอยู่ไปตลอดๆ ไม่วูบดับหายอย่างนายน้อยคมมีด’ ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดในใจอย่างชื่นชม เมื่อได้เห็นความสามารถสาวน้อยลูกสาวเจ้าเมืองตรงหน้า
สาวน้อยอายุเพียง 20 ปี กลับมีความสามารถถึงขีดขั้นนี้แล้ว เรียกได้ว่าน่ากลัวนัก!!
น่ากลัวจนถึงขั้นที่ทำให้ผู้อื่นบังเกิดความสยดสยองในใจกระทั่งขนลุกซู่!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเพ่งพินิจบุตรสาวเจ้าเมือง นางเองก็เพ่งพินิจตัวเขาด้วยเช่นกัน
"เป็นเขาเช่นนั้นหรือ?" ดวงตาคู่งามของบุตรีเจ้าเมืองสั่นไหวไปครู่หนึ่ง นอกเหนือจากนั้นยังแฝงความเขินอายไว้บางส่วน ก่อนที่นางจะพยายามรีบแอบซ่อนเอาไว้ ท่าทางราวกับว่าสาวน้อยนี่ตกหลุมรักผู้คนแล้ว…
แน่นอนว่าสิ่งนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้สังเกตเห็น
เมื่อต้วนหลิงเทียนกับบุตรีเจ้าเมืองหยุดแล้วเผชิญหน้ากันเช่นนี้ รอบๆเวทีก็ปะทุเดือดขึ้นมาอยากครื้นเครง
"สวรรค์ ข้ามิคิดเลยว่าบุรุษผู้นี้ ก็เป็นตัวประหลาดไม่แพ้กัน!"
"ใช่มิผิด…ทั้งข้ายังรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีความแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าบุตรีท่านเจ้าเมืองอีกด้วย… "
"เช่นนั้นหรือ…แต่จะอย่างไรข้าดูแล้ว ความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนด้อยกว่าบุตรีท่านเจ้าเมืองอยู่มิใช่หรือไร"
"ด้อยกว่าเพียงเท่านั้นแล้วจะนับเป็นอะไรได้! เจ้าลืมไปแล้วหรือไร ก่อนหน้าความแข็งแกร่งของเขาก็อ่อนด้อยกว่าของคุณหนู แต่เขาก็ยังบีบบังคับให้คุณหนูถึงกับถอยหนีไปได้?"
…
ไม่นานสายตาร้อนแรงก็เริ่มจับจ้องมองมายังร่างของต้วนหลิงเทียนจากทั่วทุกสารทิศ
“อาวุโสคง…ความแข็งแกร่งของสหายน้อยผู้นี้แลดูพิสดารอยู่บ้าง…นอกจากนี้หากข้าดูมิผิด พลังงานต้นกำเนิดของเขา คล้ายกับจะสั่นเป็นระลอกๆ ด้วยความถี่สูงล้ำ ความรู้สึกเช่นนี้…นั่นทำให้ข้าคิดถึง…”
"สัตว์อสูรปีศาจ นาคา!" ชายชราที่แต่งชุดสีเทากล่าวต่อประโยคออกมา โดยที่ชายชุดแดงยังกล่าวไม่ทันจบ และท่าทางของมันก็เผยความจริงจังขึ้นมาไม่น้อย
"มิผิด เป็นวิธีใช้พลังงานต้นกำเนิดดั่งสัตว์อสูรปีศาจนาคา … พรสวรรค์อะไรกัน! สามารถเข้าใจวิธีใช้พลังงานต้นกำเนิดของสัตว์อสูรนาคา จนสามารถใช้ลอกเลียนความพิเศษเฉพาะนี้ เอาชนะผู้แข็งแกร่งกว่าทั้งที่ตัวอ่อนด้อยกว่าได้…ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก" ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีแดงกล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มันเองยังแทบไม่อยากจะเชื่อคำที่กล่าวออกมาด้วยซ้ำ
บางทีหากมันรู้ว่าวิชาบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนในรูปแบบที่ 3 นาคาพิโรธนั้น ทำให้เขาสามารถใช้ความสามารถเช่นนี้ได้ มันคงไม่ตะลึงถึงขั้นนี้
"ข้าว่า นายหญิงน้อยมิใช่คู่มือของเขา" ชายชราในชุดสีเทากล่าวออกมาพร้อมส่ายหัว ดวงตาสีโคลนของมันทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะอยู่ขึ้นไปห่างไกลมากๆ แต่จากท่าทางของมันแล้ว มันคงสามารถมองร่างในชุดสีม่วงที่อยู่บนพื้นได้อย่างชัดถนัดตา …
"เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก" บนเวทีประลอง ต้วนหลิงเทียนมองไปยังสาวน้อยพร้อมกล่าวคำออกมา
“ฮึ! พวกเราจะรู้ว่าใครแน่กว่ากันหลังสิ้นสุดการประลองนี้ รับมือ!” บุตรีเจ้าเมืองกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไพเราะที่ดังราวกับตะโกน ร่างบางของนางพุ่งพรวดเข้ามาอีกครั้ง ตอนนี้ทั่วร่างของนางดั่งจะกลายเป็นเปลวเพลิงอันเกรี้ยวกราดที่พร้อมแผดเผาต้วนหลิงเทียนให้มอดไหม้เป็นจุล
ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงความเกรียวกราดและโทสะที่แฝงมาในน้ำเสียงของนางได้เป็นอย่างดี
“พิรุณบุปผาพร่างฟ้า” บุตรีเจ้าเมืองไม่คิดรีรออะไรใช้ออกด้วยวิชาไม้ตายของตัวโดยพลัน แส้วิญญาณระดับ 5 ในมือ กวัดแกว่งด้วยความเร็วสูงล้ำยิ่งกว่าเดิม ดูท่านางคงหมายหวดฟาดต้วนหลิงเทียนสักหลายๆฉาด
ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ทว่าร่างของเขายังคงยืนอยู่กับที่ไม่ได้หลบหนีไปไหน
ตอนนี้พลังงานต้นกำเนิดในกระบี่อ่อนดาราม่วงเริ่มสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูงล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
และตอนนี้มันสั่นสะเทือนถึงขีดสุดแล้ว อันหมายความว่า…ตอนนี้พลังสั่นสะเทือนสามารถปลดปล่อยอำนาจเต็มกำลังออกมาได้!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
เงาแส้นับร้อยพันกระหน่ำฟาดเข้ามา แลไปกับคล้ายหยาดพิรุณที่โหมกระหน่ำสาดเทลงมาจากฟากฟ้า ถักทอจนเป็นแหสวรรค์ไร้ตาห่าง! สิ้นไร้หนทางใดให้ต้วนหลิงเทียนเล็ดรอดไปได้
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันลงมืออีกครั้ง
วิชาวาดกระบี่!
อีกครั้งที่กระบี่อ่อนดาราม่วงตวัดไหววูบดั่งอัสนีปะทุ ระยะทางเสมือนสลายหายไปในเสี้ยวพริบตา พลังงานต้นกำเนิดและพลังลมควบแน่นที่ตัวกระบี่อย่างหนาแน่น จี้แทงไปยังแส้ที่แท้จริงที่ถูกค้นพบด้วยพลังวิญญาณอันเฉียบคม
พิชิตมังกร!
กระบี่อ่อนดาราม่วงหมุนทะลวง จ้วงแทงออกไปด้วยความเร็วสูงล้ำ แหวกฝ่าอากาศจนเสียงดังหวีดหวิว เสี้ยวพริบตากระบี่ก็บรรลุถึงตัวแส้ที่แท้จริงท่ามกลางเงามายานับร้อยพันในเสี้ยวพริบตา เป็นอีกคราที่หนึ่งกระบี่ หยุดกระบวนท่าวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงของบุตรีเจ้าเมืองได้
“ปล่อยมันไป!”ต้วนหลิงเทียนที่ถือกระบี่จ้วงแทงพร้อมถ่ายทอดพลังสั่นสะเทือนลงสู่แส้ ตะโกนออกมาอีกครั้ง เขาคิดให้บุตรีเจ้าเมืองรีบปล่อยแส้ ก่อนที่จะถูกพลังสั่นสะเทือนทำลายมือของนางจนย่อยยับ
แต่เขาพลันสังเกตได้ในทันทีทันใด ว่าแววตาของสาวน้อยนางนี้ช่างดื้อดึงนัก! ท่าทางนางไม่คิดยอมแพ้อะไรง่ายๆ และนั่นทำให้นางเลือกที่จะไม่ปล่อยแส้
ในที่สุดก็เป็นฝ่ายต้วนหลิงเทียนที่ไม่อาจหักใจทำร้ายสาวน้อยได้ลง เลือกที่จะใช้แรงอย่างแยบคายดึงรั้งพลังทำลายจากการจ้วงแทงทะลวงรวมศูนย์ ผ่อนสภาวะกระบี่ลง ให้แส้ฟาดกลับมา แล้วใช้ออกด้วยสี่ตำลึงปาดพันชั่งอันสมบูรณ์แบบ โยกย้ายพลังทำลายของแส้ เบนมันออกดด้านข้าง! ก่อนที่จะตวัดกระบี่ว่องไว หวดฟาดสายแส้ที่ถูกเบี่ยงออกไปอีกครั้งจนสั่นสะท้านอย่างแรง จนสาวน้อยไม่อาจจับแส้ได้อย่างมั่นคง
ในจังหวะนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็สืบเท้าออกไปด้วยวิชาเมฆลมประสานเคลื่อนคล้อย ก่อนที่จะคว้าจับไปที่ข้อมือพร้อมกดจุดตรงข้อมือและออกแรงบิดเล็กน้อย จนสุดท้ายนางจำต้องปล่อยแส้! และเขาก็ไม่รอช้ารีบใช้กระบี่ตวัดอีกครั้งตบฟาดตัวแส้ให้ปลิวออกไปเพื่อความปลอดภัย!!
“สาวน้อยโง่งมนี่น้า… ช่างหัวรั้นนัก” เมื่อลงมือเสร็จสิ้นต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
ครู่ต่อมาเขาก็รู้สึกถึงความนุ่มนิ่มในมือ และนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังจับมือลูกสาวบ้านอื่นเขาอยู่ไม่ยอมปล่อย…
"อ๊ะ" ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนสังเกตว่า บุตรีเจ้าเมืองไม่เพียงไม่พิโรธระเบิดโทสะใส่เขาเหมือนก่อนหน้านี้ กลับกันนางยังมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนที่จะก้มหน้างุดๆราวกับเขินอาย
หากเทียบกับแม่สาวน้อยดุร้ายก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้นับว่าแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
"ฉิบหายแล้ว!" เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ฉากละครในโลกก่อนที่เคยได้ดูหวนรำลึกขึ้นมาในทันใด ต้วนหลิงเทียนรีบปล่อยมือนางราวกับจับต้องของร้อนลวก คนยังรีบใช้วิชาท่าร่างเต็มกำลัง ถอยกลับไป 3 ก้าวใหญ่ รีบกล่าวคำออกมา "นับว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ดี"
"ฮี่ๆ …พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านใช่อยากยลโฉมหน้าพี่สาวคนนี้หรือไม่?" ตอนนี้เองเสียงที่ส่งผ่านพลังงานต้นกำเนิดจากเจ้าหนูจอมซนก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง"หากท่านต้องการเห็นข้าจะไปดึงผ้าคลุมหน้านั่นให้ดีหรือไม่!"
"เสี่ยวจิน หยุด! อย่าได้ซนแล้ว!!" ต้วนหลิงเทียนรีบถลึงตามองไปยังเสี่ยวจิน ก่อนที่จะกล่าวห้ามออกมาด้วยความร้อนรน
หากเจ้าเสี่ยวจินนี่ ไปดึงม่านคลุมหน้านางออกเข้าจริงๆ ล่ะก็ ตามบทที่คุ้นเคย…คงไม่พ้นนางต้องกล่าววาจาติดหูว่า… "บุรุษคนใดที่เห็นใบหน้าของข้า…ข้าจะแต่งกับเขา "
เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเขาหาเหาใส่หัวตัวเองหรอกหรือ?
“ไอหยา…ไอหนุ่มนั่นเอาชนะได้จริงๆ!”
“เฮ่ น้องชายเสื้อม่วง ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย บัดนี้เจ้าได้เป็นลูกเขยท่านเจ้าเมืองแล้ว ฮ่าๆ”
“ขอแสดงความยินดีด้วยน้องชาย”
…
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พบว่าผู้คนรอบเวทีล้วนกล่าวคำแสงความยินดีของเขากันไม่หยุดปาก
บัดซบ ไม่ใช่ข้ากล่าวตั้งแต่ก่อนเริ่มการประลองหรือไร?! ว่าข้าไม่คิดแต่งกับนาง! ข้าต้องการผลวิญญาณผันแปร!?
ผู้คนเหล่านี้ใช่พวกมันมีปัญหากับรูหู ของมันหรือไม่?
แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวคำแก้ต่าง อธิบายให้กับตัวนั้นเอง
“ฮ่าๆๆๆ…” เสียงหัวเราะด้วยความคึกคักดังขึ้นจากสุดขอบฟ้า ก่อนที่เสียงนั้นจะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ต้วนหลิงเทียนแหงนหน้าขึ้นไปมองทันที
ตอนนี้เขาพบร่างสวมชุดคลุมขลิบทองกำลังโรยตัวลงมาอย่างช้าๆ และทิศทางที่พุ่งมาย่อมเป็นเขาไม่ผิดแน่
นี่เป็นชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดคลุมสีแดงดั่งเปลวเพลิงขอบขลิบไปด้วยทอง ท่วงท่าแลสง่างามมีอำนาจสะกดข่มประการหนึ่ง หว่างคิ้วแฝงความทรงอำนาจเอาไว้ สายตาที่มองมายังต้วนหลิงเทียน ก็วาวโรจน์ราวกับจะส่องแสงได้…
"ท่านเจ้าเมือง!" ทันใดนั้นเสียงแสดงความเคารพก็ดังขึ้นถี่ยิบราวกับระลอกคลื่น เข้าหูของต้วนหลิงเทียน
เป็นกลุ่มคนทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เวทีกำลังประสานมือทำความคารวะต่อชายวัยกลางคนชุดแดง
เจ้าเมือง?
เจ้าเมืองหงส์ฟ้า?
ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้โดยพลัน
"ดี … ดียิ่ง… เด็กน้อย นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจักเป็นลูกเขยของข้า เฟิ่งหวู่เต้า!!" เจ้าเมืองหงส์ฟ้า เฟิ่งหวู่เต้ามองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความพึงพอใจ ทั้งยังพยักหน้าลงอย่างถูกใจ! ทำท่าราวกับพ่อตาแสนดีพบพานเขยขวัญอันยอดเยี่ยม!!
“ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าเมืองด้วย”
“ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าเมืองด้วย”
…
ตอนนี้เหล่าผู้คนรอบๆ ก็เริ่มกล่าวคำแสดงความยินดีออกมาอีกครั้ง
"ฮ่าๆๆ ขอบคุณพี่น้องทั้งหลาย" เฟิ่งหวู่เต้านั้นนับว่า มันกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เบิกบานใจยิ่งนัก
“ท่านเจ้าเมืองเฟิ่ง…” ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังสตรีที่ยืนข้างเฟิ่งหวู่เต้า เล็กน้อย เมื่อนางพบว่าเขามองไปนางก็รีบก้มหัวลงไปอย่างเขินอาย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเจื่อนๆ พร้อมกล่าวคำด้วยน้ำเสียงจนปัญญา “ข้าว่าท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว…ข้าขึ้นมายังเวทีประลองครานี้ เพียงเพื่อต้องการผลวิญญาณผันแปร ไม่ได้คิดอะไรกับบุตรสาวของท่าน…”
ทันใดนั้นเอง เมื่อวาจาของต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาจนผู้คนได้ยินนั้น…บรรยากาศแห่งความครื้นเครงยินดีมีความสุขรอบๆ พลันหยุดชะงักลงในทันใด..!
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!
…
ทุกผู้คนล้วนหันหน้ามาอย่างพร้อมเพรียง ในทิศทางเดียวกันคือต้นเสียง สายตาจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนที่พ่นคำเหลวไหลออกมา
ทุกคนล้วนตกตะลึงพรึงเพริดกับวาจานั่นของต้วนหลิงเทียน
ในตอนนี้เองก็มีบางคนจดจำได้ว่า…ชายหนุ่มผู้นี้ ยามเมื่อขึ้นเวทีไปครั้งแรก ก็กล่าววาจาทำนองนี้ออกมาแล้วจริงๆ
แต่ตอนนั้นไม่มีใครยึดถือวาจาของชายหนุ่มผู้นี้เป็นเรื่องจริงจัง…
"หืม? เจ้าว่าอะไรนะ?!" สีหน้าของเฟิ่งหวู่เต้าเปลี่ยนจากยิ้มระรื่นเป็นน่ากลัวในทันใด ทันใดนั้นแรงกดดันอันน่าเกรงขามก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของมัน กดทับไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนโดยพลัน
สีหน้าของต้วนหลิงเทียนซีดลงทันใด
แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเฟิ่งหวู่เต้ามันหนักหนา จนถึงขั้นทำให้อวัยวะภายในของเขาสั่นสะท้าน!
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจทานทนประคองร่างสืบไป ร่างของเขาโงนเงนส่ายไปส่ายมา ก่อนที่จะทรุดตัวลง มือที่ทะกระบี่ยันพื้นเอาไว้ไม่ให้ล้มคว่ำ
“อั้ค” แรงกดดันนั่นมันรุนแรงบีบคั้นจนถึงขั้นทำให้เขากระอักโลหิตออกมาคำใหญ่!
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเฟิ่งหวู่เต้าด้วยความตกตะลง สีหน้าท่าทางของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง แฝงความกริ่งเกรงออกมาในทันใด
‘ความแข็งแกร่งของเฟิ่งหวู่เต้านับว่าสูงส่งนัก… แรงกดดันของผู้เชี่ยวชาญหยั่งรู้ธรรมชาติทั่วไปยังไม่อาจทำอะไรข้าได้ด้วยซ้ำ แต่แรงกดดันของมันกลับทำให้ข้าย่ำแย่ได้เช่นนี้!’ คลื่นแห่งความเย็นเยียบเหน็บหนาวประการหนึ่งแล่นผ่านหัวใจของต้วนหลิงเทียนในทันใด