สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 425 : ข้าไม่แต่งกับเจ้าได้หรือเปล่า?
WSSTH บทที่ 425 : ข้าไม่แต่งกับเจ้าได้หรือเปล่า?
เหนือขึ้นไปบนฟ้าของเวทีประลองหาคู่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของจวนเจ้าเมือง ปรากฏร่าง 2 ร่างลอยคว้างกลางเวหา รายล้อมไปด้วยปุยเมฆกำลังกอดอกก้มลงมาดูเรื่องราวด้านล่างด้วยความสนใจ
หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีแดงฉานขอบเสื้อคลุมขลิบทอง ตัวผ้าคลุมยังปักด้วยด้ายสีทอง แลดูสง่างามนัก
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีท่วงท่าและรูปลักษณ์คมเข้มหล่อเหลา ให้ความรู้สึกมีอำนาจเพียงแค่มันยืนอยู่เฉยๆ ก็นำพาให้ทุกผู้คนรู้สึกครั่นคร้าม ร่างมีสภาวะทรงอำนาจกดดันประกาศหนึ่ง
ส่วนด้านข้างเป็นชายชราวัยประมาณ 70 ปี มันลอยตัวอยู่ด้านหลังของชายวัยกลางคนด้วยท่าทางสนุกสนาน
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”ชายชราในชุดคลุมสีเทาเผยใบหน้าและท่าทางสงบสุภาพอย่างผู้คงแก่เรียนออกมา ดวงตาสีโคลนของมันฉายแววสนุกสนานเล็กน้อย ราวกับได้เห็นอะไรที่ถูกใจมันไม่น้อย
“หืม? อาวุโสคง ท่านเห็นอันใดน่าสนใจหรือ?” ชายวัยกลางคนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
“คุณชายใหญ่บางที…อาจเป็นได้ว่า บุรุษแห่งโชคชะตาของนายหญิงน้อยได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว…” ชายชราชุดสีเทากล่าวคำออกมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ประกายตาเองก็ทอประกายกระจ่างออกมา
"อาวุโสคง ท่านหมายความว่า … ?" ดวงตาของชายวัยกลางคนหันมาจับจ้องด้วยความตะลึง
บนลานประลองหาคู่นั้น ตอนนี้บุตรของท่านเจ้าเมืองกำลังยืนอยู่อย่างเงียบงัน เพียงลำพังกลางเวที
ถึงแม้ว่าตอนนี้รอบๆเวทีจะมีผู้คนมากมาย แต่หามีแม้แต่ผู้เดียวที่คิดจะปราดร่างขึ้นไปแสดงความสามารถ หมายเป็นเจ้าของบุปผางามดอกนี้
“ให้ข้าได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่ง บุตรีท่านเจ้าเมืองหน่อยเป็นไร!” ทันใดนั้นเอง มีเสียงร้องดังขึ้นทำลายความเงียบ เงาร่างหนึ่ง พุ่งทะยานเหินข้ามหัวผู้คนดั่งวิหกแกร่ง ไปยืนบนเวทีประลอง
มันเป็นชายหนุ่มวัย 25-26 ปีคนหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลารูปร่างสง่างาม ความหยิ่งยโสแผ่พุ่งออกมาจากหว่างคิ้วอย่างเห็นได้ชัด
“อายุของเจาเกินขีดจำกัดแล้ว…ลงไป!”บุตรีของเจ้าเมืองไม่ทันได้กล่าววาจาหรือแสดงกิริยาตอบโต้อะไร กลับเป็นสตรีชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเวที เงยหน้าขึ้นมากล่าววาจาอย่างไม่แยแส เหลือบมองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาเฉยเมย
"ข้า … " ชายหนุ่มอ้าปากคิดกล่าววาจา แต่น่าเสียดายลมยังไม่ทันได้พ่นออกมาจนจบคำ…
ปงงงง!!
เสียงซัดทำลายดังขึ้นในทันใด ร่างแม่เฒ่าเมื่อครู่ไม่รู้พุ่งมาตอนไหน แต่นางได้มาแทนที่ชายหนุ่มคนเมื่อครู่เสียแล้ว
และในพริบตาเดียวกันกับที่ทุกผู้คนเห็นร่างแม่เฒ่ายืนอยู่บนเวที ทางด้านล่างเวทีก็พบร่างชายหนุ่มเมื่อครู่นอนแอ้งแม้ง ปากกระอักโลหิตออกมา เรียกได้ว่าขามาดั่งพญาเหยี่ยว ขากลับอนาถาราวแมวเซา
มันถูกซัดเสียสิ้นสภาพ สลบไสลลงไปทั้งอย่างนั้น
“การประลองหาคู่ของคุณหนูของข้า จำกัดไว้เพียง บุรุษหนุ่มที่มีอายุมิเกิน 25 ปีเท่านั้น!… มิว่าผู้ใด ก็อย่าหมายหลอกข้าว่ามีอายุมิถึง 25 ข้า ข้าสามารถระบุอายุของเจ้าได้ง่ายดาย และเมื่อข้าพบว่าเจ้าหลอกลวง จุดจบของเจ้าจักมารวดเร็วเกินกว่าที่เจ้าจะทันได้รู้ตัว!” แม่เฒ่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบๆ เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
“หญิงชรานั่น รวดเร็วยิ่งนัก!” ดวงตาของต้วนหลิงเทียนที่อยู่ข้างเวทีเบิกกว้างขึ้นมาพร้อมกระพริบตาปริบๆ
แม่เฒ่านั่นช่างว่องไวนัก
ถึงแม้ว่าเขาอยากรู้ระดับบ่มเพาะของหญิงชรานางนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าแผ่พลังวิญญาณออกไปตรวจสอบมันแล้ว…
‘เป็นไปได้หรือไม่…ว่าแม่เฒ่าผู้นี้เป็นเจ้าของพลังวิญญาณที่น่ากลัวนั่น?’ต้วนหลิงเทียนอดคิดในใจขึ้นมาเช่นนี้ไม่ได้
เขาเองได้พบเห็นสตรีชรานางนี้ยืนอยู่ข้างเวทีมาเนิ่นนานแล้ว แต่เขาคิดว่านางเป็นเพียงข้ารับใช้ชราสามัญของจวนเจ้าเมืองเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าแม่เฒ่านางนี้กลับซุกซ่อนความสามารถเช่นนี้ไว้
“ให้ข้าลอง!”ร่างหนึ่งสลับเท้าถีบพื้น ส่งตัวเหินทะยานเข้ามาในเวทีประลอง เป็นชายหนุ่มวัย 23-24 ปีคนหนึ่ง
วูบ!
ร่างของชายหนุ่มไม่รั้งรออะไร คนพุ่งทะยานออกไปคล้ายสายลม ใจมันคงคิดชิงลงมือโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ช่วงชิงความได้เปรียบตั้งแต่เริ่มการประลอง
วู้มมม!
เหนือขึ้นไปในอากาศปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 600 ตัว…
ชิ้ง!
ดาบ 3 เชียะพลันปรากฏจากความว่างเปล่าเข้าสู่มือของมัน ทั้งยังถ่ายทอดพลังงานต้นกำเนิดลงไปอย่างไม่รั้งรออะไร ตัวดาบเรืองแสงสว่างวูบขึ้นมาโดยพลัน
ทันใดนั้น เงาร่างช้างแมมมอธโบราณ อีก 168 ตัว โผล่ปรากฏออกมาข้างเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 600 ตัวก่อนหน้า…
ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4!
อาวุธวิญญาณระดับ 7!
ดาบนี้ฟันฟาดออกด้วยความแข็งแกร่ง 768 ช้างแมมมอธโบราณ!
ยามนี้ในใจของทุกผู้คนอดที่จะกระดอนขึ้นมาจุกค้างที่ลำคอเสียไมได้ เมื่อเห็นดาบของชายหนุ่มกำลัง กำลังจี้ตรงมาใกล้ถึงลำคอขาวผ่องของบุตรีจ้าวเมืองอยู่รอมร่อ
วู้ม!
พริบตานั้นเอง สายลมหอบใหญ่พลันกรรโชกโฮกฮาก ที่สุดบุตรีจ้าวเมืองก็ลงมือเคลื่อนไหว นางยกมือขึ้นมาหมุนวนเบื้องหน้าอย่างเนิบนาบคล้ายจะวาดวงกลมวงหนึ่ง ก่อนที่แขนของนางจะสั่นสะท้าน เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดที่พุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด
ปงงงง!!
ไร้ซึ่งความต้านทานใดๆ ดาบของชายหนุ่มถูกฝ่ามือของบุตรีเจ้าเมืองตบเสียจนกระเด็นหมดท่า
พริบตานั้นเหนือร่างของบุตรีเจ้าเมือง ยังปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ ขึ้นมาถึง 800 ตัวให้ผู้คนเห็นกันได้อย่างชัดเจน!
และตอนนี้บุตรท่านเจ้าเมืองของพวกมันยังไม่ได้ใช้อาวุธวิญญาณใดๆ!
“ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6!”
“สวรรค์ บุตรีเจ้าเมืองที่แท้กลับปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้ได้มิดชิดถึงเพียงนี้ ที่แท้นางกลับเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6!”
“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 ด้วยวัยเพียง 20 ปีหรือ? ดูเหมือนผู้ที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์ที่เลิศล้ำเช่นนี้ จะมิเคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรศิลาทมิฬเราใช่หรือไม่?”
“อย่าว่าแต่อาณาจักรเรา กระทั่งราชอาณาจักรต้าฮั่น เกรงกว่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์เช่นนี้ยังไม่เคยมีมาก่อนด้วยซ้ำ”
…
ตอนนี้ผู้ที่มาเข้าชมการประลองหาคู่รอบๆเวทีประลองล้วนตกตะลึงพรึงเพริด พวกมันถูกระดับบ่มเพาะของบุตรีเจ้าเมืองข่มขวัญจนกระเจิดกระเจิงแล้ว …
“ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 ด้วยวัย 20 ปีเช่นนั้นหรือ?” ท่าทางประหลาดใจเผยขึ้นมาบนใบหน้าของต้วนหลิงเทียน “บุตรีเจ้าเมืองคนนี้ยังพึ่งมีอายุ 20 ปี?”
"ฮี่ๆ… พี่ใหญ่หลิงเทียน ดูเหมือนพรสวรรค์ตามธรรมชาติของนาง จะเลิศล้ำกว่าท่านแล้ว" เสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของเสี่ยวจินถูกส่งเข้าหูต้วนหลิงเทียน
คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อย แววตายังเผยความประหลาดใจออกมา
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6…!
ในด้านความแข็งแกร่งของระดับบ่มเพาะนั้น นางนับว่าเหนือกว่าเขา…
แต่ในฐานะพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์นั้นต้วนหลิงเทียนนั้นทั้งยอมรับและไม่ยอมรับ…เพราะตอนนี้พรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์ของเขากล่าวได้ว่าถึงจุดสูงสุด เท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งจะมีได้แล้ว ในทวีปเมฆาล่องแห่งนี้
ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์ของบุตรีเจ้าเมืองจะสูงมาก แต่จะอย่างไรก็ยังนับว่าห่างไกลจากเขาในตอนนี้
แต่จะอย่างไรก็ตามพรสวรรค์ตามธรรมชาติสูงสุดนี้ ตัวเขาพึ่งได้รับมันมาจาก นมผา 10,000 ปี เมื่อ 3 ปีที่แล้วเท่านั้น กล่าวได้ว่าเขายอมรับว่าตัวเคยอ่อนด้อยกว่าจริง แต่หลังจากนี้ไม่ใช่! จุดเริ่มต้นของเขาต่ำกว่านางมากนัก
หลังจากที่บุตรีของเจ้าเมืองเปิดเผยความแข็งแกร่งของระดับบ่มเพาะของนาง ที่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 ก็ไม่มีใครหาญกล้าเยื้องย่างขึ้นเวทีประลองอีกต่อไป
เวลายังคงไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า
“การประลองหาคู่ จะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในอีก ครึ่งชั่วโมง” แม่เฒ่าชุดสีฟ้ากล่าวออกมาเสียงดัง ด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ดูเหมือนว่าจักมิมีบุรุษหนุ่มผู้ใด เอาชนะและเชยชมบุปผาช่อนี้ได้แล้ว…”
“นอกจากนางแล้วยังมีผลวิญญาณผันแปร ที่ผู้ใดก็สามารถกินได้ ถึงจะมิใช่ผู้จารึกอาคมก็ตาม จะอย่างไรเมื่อได้กินแล้ว พลังวิญญาณของคนผู้นั้นคงก้าวหน้าไปมาก และน่าจักส่งผลให้คนๆนั้นมีความเข้าใจในอะไรหลายๆอย่างดีขึ้น”
…
เหล่าผู้คนเริ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านยังไม่ออกไปอีกหรือ?” เสี่ยวจินส่งเสียงเข้าหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
คิ้วของต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นคราหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆก้าวเดินขึ้นบนเวทีประลองไปอย่างช้าๆ
เป็นระยะเวลาหนึ่งการรวมกันของชายคนหนึ่งและหนึ่งเมาส์ดึงดูดความสนใจของทุกคน
“หืม มีผู้คนขึ้นไปหาเรื่องถูกทุบตีอีกแล้ว”
“เอ๋ ดูเหมือนเจ้าหนุ่มนั่นจะอายุราวๆ 22 ปีเท่านั้น”
“เฮ่ เจ้าอ้วนตัวตะกละ! นั่นมิใช่เจ้าหนุ่มที่พวกเราเห็น ในเหลาอาหารก่อนหน้านี้หรือไร?”
“อา ดูเหมือนจะมิผิดแน่แล้ว…หนูขนทองตัวน้อยนิดบนบ่าของเขามิใช่ง่ายดายเลยจริงๆ มันเป็นถึงสัตว์อสูรปีศาจน่าเกรงขามระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ ทุบตีเสียคุณชายรองฉางฮุ่ยกลับบ้านแทบมิทัน แขนยังถูกทำลายด้วยการฟาดหางเพียงครั้งเท่านั้น”
“อะไรนะ! หนูขนทองน่ารักแลดูมิมีพิษมีภัยนั่น เป็นสัตว์อสูรปีศาจแรกสัมผัสธรรมชาติเลยหรือ!?”
…
ครู่ต่อมาเมื่อเรื่องราวน่าสนใจของต้วนหลิงเทียนถูก คนที่เหลาอาหารที่เห็นเหตุการณ์เปิดเผย ทุกผู้คนก็เลยล่วงรู้กันทั่วว่าหนูขนทองตัวเล็กๆ บนไหล่ของต้วนหลิงเทียนนั่น ที่แท้เป็นถึงสัตว์อสูรปีศาจ!
“สัตว์อสูรปีศาจ?” แม่เฒ่าชุดสีฟ้าย่อมได้ยินบทสนทนาของผู้คนรอบๆ นางมองไปยังต้วนหลิงเทียนแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “กฎการประลองหาคู่ของบุตรีเจ้าเมือง คือมิอนุญาตให้ใช้ความช่วยเหลือภายนอกอื่นใด นอกเสียจากอาวุธวิญญาณ”
"จี๊ดๆ ~" เสี่ยวจินเมื่อเห็นแม่เฒ่าชุดฟ้าเดินขึ้นมา มันก็ หันไปแยกเขี้ยวยิงฟัน มือน้อย ๆ ยกขึ้นมาข่วนอากาศข่มขู่ และเมื่อได้ยินคำกล่าวของแม่เฒ่ามันก็ หมุนตัวหันหลังไปทางแม่เฒ่า ก่อนที่จะส่ายก้นน้อยๆของมันไปมา ราวกับจะท้าทายแม่เฒ่าชุดสีฟ้า
เรื่องนี้ทำให้แม่เฒ่าชุดสีฟ้าอึ้งไปไม่น้อย
ผู้คนโดยรอบก็ตะลึงไปเช่นกัน
“มันเป็นสัตว์อสูรปีศาจแน่หรือ?”
“มันทำลายภาพลักษณ์สัตว์อสูรปีศาจในใจข้าหมดสิ้นแล้ว”
"เจ้าหนูสีทองตัวน้อยนี่ ข้าดูอย่างไรก็มิเหมือนว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรปีศาจน่ากลัวไปได้เลย …มันแลเชื่องราวกับสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งเท่านั้น"
…
ในตอนนี้เองดวงตาคู่งามของบุรีเจ้าเมืองที่ปกติจะนิ่งเฉย ยังต้องหันมาชมมองด้วยความสนใจ ในแววตายังเผยประกายสว่างขึ้นมา เมื่อเห็นหนูสีทองตัวเล็กบนไหล่ของต้วนหลิงเทียน คิ้วของนางยังโค้งขึ้นเล็กน้อย “หนูอันใดกัน น่ารักยิ่ง..”
ยุตรีเจ้าเมืองกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเชื่องช้า ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนล่องลอยในสายลมฤดูใบไม้ผลิ
“อย่าได้กังวล มันไม่จะไม่ลงมือทำอะไร” ต้วนหลิงเทียนหันไปมองแม่เฒ่าชุดสีฟ้าพร้อมพยักหน้าลงคราหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองยังบุตรีเจ้าเมืองด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอทราบนามคุณหนูได้หรือไม่?”
“หากอยากรู้นามข้า ก็เอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน” บุตรเจ้าเมืองหันไปมองต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะค่อยๆกล่าววาจาออกมา น้ำเสียงของนางกระจ่างแลดูสบายๆราวกับมันพัดพาออกมาจากหุบเขา
“หืม?” ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวสืบต่อ “คุณหนู…เอ่อ..คือว่า ข้าสงสัยว่า ข้าไม่แต่งกับท่านได้รึเปล่า…ถ้าข้าเอาชนะท่านได้ ข้าต้องการเพียงแค่ผลวิญญาณผันแปรเท่านั้น…เรื่องนี้ได้หรือไม่?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำออกมา ด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เพราะจะอย่างไรคำกล่าวนี้ก็นับว่าอันตรายไม่ใช่น้อย
แต่เขาจำเป็นต้องกล่าวมันออกมา เพราะเหตุผลที่เขาขึ้นเวทีประลองหาคู่นี่ ไม่ใช่เพราะบุตรีเจ้าเมือง แต่เป็นเพราะเขาต้องการผลวิญญาณผันแปรจริงๆ
ผลวิญญาณผันแปรนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับเขา และไม่ใช่อะไรที่เขาจะได้พบเจอง่ายๆ
เขาไม่อยากพลาดโอกาสใดๆในการได้รับมัน
เมื่อวาจาของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูผู้คน ทั้งหมดต่างก็นิ่งเงียบไปในทันใด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ผู้คนทั้งหมดล้วนขุ่นเคืองและมีโทสะ ด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
“บัดซบ มารดามันเถอะ! ข้าได้ยินผิดไปหรือไม่ ไอหนูนี่มิได้ต้องการแต่งกับบุตรีเจ้าเมือง มันต้องการเพียงผลวิญญาณผันแปรเท่านั้น?”
“มันเสียสติไปแล้วหรือไร แม้ผลวิญญาณผันแปรจะหาได้ยากเย็นยิ่ง แต่มันกล้าไม่สนความรู้สึกของบุตรีท่านเจ้าเมือง กล่าววาจาไถ่ถามออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร? แล้วการแต่งงานกับบุตรีเจ้าเมืองยังมีอันใดไม่ดี เพียงได้ตำแหน่งลูกเขยเจ้าเมือง มันก็เหมือนมีโอกาสได้พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าแล้ว!”
"เสียสติ! ไอหนูนั่นบ้าไปแล้ว!"
…
ผู้คนกำลังอึ้งและมีอารมณ์กับคำกล่าวของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
แน่นอนว่ายังมีบางคนที่คิดว่าต้วนหลิงเทียนโอหัง และผยองเกินไป!
"ไอหนุ่มนี่ยังมีอายุราวๆ 22 ปีเท่านั้น แต่มันกลับยกลากล่าววาจาหยิ่งยโสถึงเพียงนี้ มันคิดว่ามันสามารถเอาชนะบุตรีเจ้าเมืองได้จริงๆหรือไร?"
"ถ้าหากมันเอาชนะบุตรีท่านเจ้าเมืองไม่ได้ คำที่มันพ่นออกมาก่อนหน้า ใยมิใช่ไร้ความหมาย"
"มันหยิ่งเกินไป!"
…
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีแดงขลิบทองอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงออกมา ทั้งยังเผยสีหน้าประหลาดใจ “อาวุโสคง ตอนนี้ข้าเริ่มเชื่อท่านขึ้นมาบ้างแล้ว…บางทีเขาอาจจะเป็นบุรุษแห่งชะตากรรมที่อยู่ในคำทำนายของ เทียนหวู่ จริงๆ…เพราะเขามาเพื่อผลวิญญาณผันแปรนั่นเท่านั้น”
“แต่จักอย่างไรผลวิญญาณผันแปรนี่ก็นับว่าเป็นสิ่งของล่อใจมิใช่น้อย หาใช่เพียงแต่เหล่าผู้จารึกอาคมไม่ที่ต้องการ” อาวุโสคงส่ายหัวไปมา “อีกทั้งพลังวิญญาณของบุรุษผู้นั้น ก็เหลืออีกเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ก็จักตัดผ่านไปถึงระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้แล้ว… นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตข้าจริงๆ ที่เห็นผู้เยาว์ มีพลังวิญญาณสูงล้ำน่าเกรงขามถึงเพียงนี้”
“อาวุโสคง ดูเหมือนท่านจักสนใจหนุ่มน้อยนี่มิเบาเลยนะ?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีแดงหัวเราะออกมา
อาวุโสคงเงียบไปไม่ได้ตอบคำ แต่แววตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความพอใจนั่น ก็นับว่ามากเกินพอที่จะเปิดเผยความในใจของมันแล้ว
บนเวทีประลองหาคู่
“เด็กน้อย เจ้ามิละอายแก่ใจบ้างหรือไร ที่กล้ากล่าววาจาเขื่องโขเช่นนี้ออกมา?!” ใบหน้าของแม่เฒ่าชุดสีฟ้า ลดต่ำลง สายตายังเหลือบมองมายังต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย “หากเจ้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา เช่นนั้นก็ลงไปเสีย!”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลำบากใจไม่น้อย
ข้ากล่าวความจริงแล้วมันผิดตรงไหนกันเล่า?
“หากเจ้าต้องการผลวิญญาณผันแปร ก็ต้องดูว่าความสามารถของเจ้าถึงหรือไม่!” บุตรีเจ้าเมืองกล่าวออกมาเสียงดัง ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน