สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 422 : อาณาจักรศิลาทมิฬ
WSSTH บทที่ 422 : อาณาจักรศิลาทมิฬ
"อ๊ะ … พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านตื่นแล้วหรือ?" หนูขนทองตัวน้อย รีบพุ่งร่างมานั่งบนเข่าของชายหนุ่มชุดสีม่วง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองต้วนหลิงเทียนด้วยพร้อมกล่าวออกมาด้วยความสงสัย "เอ๋! พี่ใหญ่หลิงเทียน ดูเหมือนท่านจะต่างออกไปจากเดิมนะ… "
"อ่าใช่ ข้าตัดผ่านระดับแล้ว" ต้วนหลิงเทียนในชุดสีม่วงตัวเก่งกล่าวตอบออกมาพร้อมยิ้มบางๆ
ตอนนี้เขาตัดผ่านระดับแล้ว!
กล่าวให้ชัดก็คือ ตอนนี้เขาอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5!
“เสี่ยวจิน ตอนนี้พวกเราอยู่ไหนกันแล้ว” ต้วนหลิงเทียนมองรอบๆ ก่อนที่จะกล่าวถามเสี่ยวจิน
เจ้าหนูขนทองตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองมาด้วยความมั่นใจ “ข้าเองก็ไม่รู้”
“อะไร? ไม่รู้?”มุมปากต้วนหลิงเทียนกระตุก ก่อนที่เขาจะหันไปมองเหยี่ยวตะวัน แล้วบอกให้มันบินลงไปยังพื้นดิน
เหยี่ยวตะวันไม่รอช้ารีบพุ่งร่างลงไปทันที
วู้มมม!!
เหยี่ยวตะวันพุ่งร่างลงด้วยความเร็ว ต้วนหลิงเทียนกับหนูขนทองตัวน้อยคล้ายลูกเกาทัณฑ์พุ่งลงไปด้วยความเร็วสูง ลดระดับลงไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังพื้นดินเบื้องร่าง เขาพบว่ามันเป็นพื้นที่ราบลุ่มรกร้างว่างเปล่า และมีทิวเขาเรียงรายอยู่ประปราย
"นี่มันที่ไหนกันนะ?" ต้วนหลิงเทียนสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆนิ่งคิด "ตอนแรก เหยี่ยวตะวันมันมุ่งหน้าขึ้นเหนือ … "
"เสี่ยวจิน ครั้งนี้ข้านั่งบ่มเพาะไปกี่วัน?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามเสี่ยวจินด้วยความสงสัย
"20 วัน … " หนูขนทองส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดตอบ
“นานพอสมควร ข้าก็ว่าแล้วทำไมถึงได้หิวนัก”ต้วนหลิงเทียนลูบท้องเล็กน้อย กระเพาะอาหารเองก็เริ่มส่งเสียงประชดดังโครกคราก เขาชี้มือบอกเหยี่ยวตะวันเล็กน้อย ให้มันไปลงจอดบนเขาลูกหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าพุ่งร่างออกไปจับสัตว์อสูรมาตัวหนึ่ง เพื่อเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่า ไม่นานเขาก็ลากสัตว์อสูรไร้ชีวิตกลับมา
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มย่างเนื้อ
กลิ่นหอมของเนื้อยามต้องไฟจนสุกได้ที่โชยคลุ้งไปในอากาศ แทบทำให้ต้วนหลิงเทียนรอไมไหว
ต้วนหลิงเทียนหยิบกระบี่ออกมาสับแบ่งชิ้นเนื้อ ก่อนที่จะหยิบเครื่องปรุงรสที่ซื้อติดไว้เล็กน้อย
ตอนนี้กลิ่นหอมโชยคลุ้งทำร้ายจมูกนัก
“เหยี่ยวตะวัน เจ้าทำงานหนักสุดในบรรดาพวกเรา ดังนั้นชิ้นนี้ให้เจ้าก่อน” ต้วนหลิงเทียนส่งชิ้นเนื้อไปให้เหยี่ยวตะวัน
อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนพบว่า…ดวงตาคู่หยกของเจ้าตัวจ้อยจับจ้องมองไปยังเหยี่ยวตะวันเขม็ง
แม้ว่าเหยี่ยวตะวันต้องการกินเนื้อที่ต้วนหลิงเทียนส่งมาให้แค่ไหน แต่เมื่อถูกจ้องเช่นนี้ มันก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวหรือกระดิกร่างสักเพียงนิ้ว …มันกลัวว่าหากมันเคลื่อนไหว เนื้อที่จะถูกย่างบนกองไฟชิ้นต่อไปอาจจะเป็นตัวมัน..
"เจ้าตัวน้อย…เจ้านี่ช่างเอาแต่ใจนัก …เอ๊า เอาไปกินซะ!" ต้วนหลิงเทียนจนปัญญาเล็กน้อย ก่อนที่จะยื่นส่งเนื้อไปให้เสี่ยวจินแทน
เสี่ยวจินหรี่ตาจ้องไปยังเหยี่ยวตะวันเล็กน้อย ราวกับพึงพอใจ หลังจากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างวางท่า “อย่างน้อยเจ้าก็ยังรู้บ้างว่าแถวนี้ใครเป็นลูกพี่หญิง” หลังจากนั้นเจ้าเสี่ยวจินก็คว้าเนื้อชินโตมานั่งแทะเบาๆ
ต้วนหลิงเทียนยังคงย่างเนื้อต่อไป
เมื่อเขาและเหยี่ยวตะวันได้กินจนอิ่ม ท้องฟ้าก็เริ่มมืดค่ำลงแล้ว
"เอาล่ะ คืนนี้พวกเรานอนพักที่นี่ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยไปกันต่อ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกเสี่ยวจิน หลังจากนั้นก็หันไปส่งสัญญาณมือให้กับเหยี่ยวตะวัน เจ้าเหยี่ยวก็เหินร่างขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะหายลับไป ส่วนตัวต้วนหลิงเทียนก็มองหาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก่อนที่จะขึ้นไปหากิ่งเหมาะๆเอนหลัง
เจาหนูขนทองตัวน้อยก็ขึ้นไปนอนแผ่บนกิ่งหนึ่งเช่นกัน ก่อนที่จะผล็อยหลับไป
จันทร์กระจ่างกลางฟ้ามืด ดารารายล้อมโอบอุ้ม … แสงจันทร์นวลสาดส่องลงมาอ่อนๆราวกับจะปลอบประโลมต้วนหลิงเทียน
"ข้าออกจากนิกายกระบี่ 7 ดาวมา 3 เดือนแล้ว…จากที่ข้ารู้มา อาณาจักรศิลาทมิฬอยู่ทางตอนเหนือของเมืองโบราณชั่วนิรันดร์…ถ้าเหยี่ยวตะวันมันบินตรงมุ่งหน้าขึ้นเหนือมาตลอด..งั้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าข้าอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรศิลาทมิฬแล้วหรือไร" ต้วนหลิงเทียนแหงนมองจันทร์กระจ่างกลางหาว ก่อนที่จะกล่าวพึมพำออกมา
คืนนี้จันทร์เต็มดวง ทอแสงนวลตานัก
ในชีวิตที่แล้วค่ำคืนกลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้ก็คงไม่ได้มีความหมายหรือนำพาใจให้วุ่นวายอะไรสักเท่าไร…เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีครอบครัวให้คอยคิดถึง
แต่ชีวิตนี้มันต่างกัน
เขามีมารดา พร้อมทั้งคู่หมั้นอีก 2 คนที่เขารักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง…
"ข้าออกจากอาณาจักรเมฆาล่องมาก็ 3 ปีแล้ว…ป่านนี้ท่านแม่จะเป็นยังไงบ้างนะ?" หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงมารดาในชีวิตนี้อย่างลี่หลัว ใจก็เหมือนวูบไปอย่างช่วยไม่ได้ เป็นความโหยหาประการหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
“นัดหมาย 2 ปีกับนายน้อยกู่ฉินนั่นก็เหลืออีก 9 เดือน…หลังจากจบการประลองนัดหมาย ข้าพาเค่อเอ่อกับลี่เฟยกลับไปเยี่ยมท่านแม่ดีกว่า” ต้วนหลิงเทียนคิดอ่านขึ้นมาเล็กน้อย
เขาคิดไปเรื่อยเปื่อยไม่นาน ก็ผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เขาก็ตื่นขึ้นมาและเตรียมพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง
เหยี่ยวตะวันพาเขาบินอยู่เป็นเวลา 5 วัน แต่ก็ยังไม่อาจพาเขาข้ามเขตที่ราบอันว่างเปล่านี่ได้
"ช้าๆๆ เชื่องช้ายิ่งนัก!" ในที่สุดเจ้าหนูขนทองก็ไม่อาจทนไหวอีกต่อไป มันรีบส่งเสียงบอกต้วนหลิงเทียน"พี่ใหญ่หลิงเทียน เจ้านกขนดกตัวเหม็นนี่ช้ายิ่งนัก…ข้าจะพาท่านบินไปเอง"
"ก็ได้" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำทันที นี่ก็ดีเหมือนกัน เพราะความเร็วของเจ้าเสี่ยวจิน เหนือกว่าเหยี่ยวตะวันเป็นสิบเท่า!
เขาคิดว่าหากเป็นเสี่ยวจินคงใช้เวลาไม่นานก็บินพ้นที่ราบอันรกร้างว่างเปล่านี่ได้แล้ว
วู้มม!
เจ้าหนูขนทองบินลอยตีคู่ไปด้านข้างก่อนที่จะขยายร่างใหญ่โตขึ้นมา ร่างตุ้ยนุ้ยอ้วนกลมราวกับขุนเขาลูกน้อยๆ สูงกว่า 3 เมตรปรากฏขึ้นโดยพลัน
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้ากระโดดออกจากหลังเหยี่ยวตะวันขึ้นไปนั่งบนหลังเจ้าเสี่ยวจินทันที
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจะส่งเสียงบอกเจ้าเหยี่ยวตะวัน เจ้าหนูขนทองร่างใหญ่ ก็หันไปจับจ้องมองเหยี่ยวตะวันด้วยดวงตาคู่หยกอย่างดุร้าย ที่ราวกกับจะมีเส้นสายอัสนีแลบลั่นอยู่ด้านใน …
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจว่าเจ้าเสี่ยวจินคงจะคุยกับเหยี่ยวตะวันอยู่
และไม่นานเขาก็เห็นว่าในแววตาของเหยี่ยวตะวันเผยความหวาดกลัวออกมา หลังจากนั้นเหยี่ยวตะวันก็รีบหันมามองเขาอย่างร้อนรน ก่อนที่จะพุ่งร่างกลับทางเดิมบินหนีหายไปด้วยความเร็วสูงสุด
"หะ?" ต้วนหลิงเทียนอึ้ง "เสี่ยวจิน นี่เจ้าพูดอะไรกับเหยี่ยวตะวันกันเนี่ย?"
"ฮี่ๆ..พี่ใหญ่หลิงเทียน ข้าบอกให้มันรีบบินกลับบ้านไปซะ ไม่งั้นข้าจะจับมันไปเคี่ยวในหม้อ" หนูขนทองที่ตัวไม่น้อยแล้วตอนนี้ ส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดเข้าหูต้วนหลิงเทียนเพื่อตอบคำ …ทำให้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเผยรอยยิ้มเจื่อนๆออกมาทันที
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วราวเด็กสาวตัวน้อยแท้ๆ…แต่ใยกล่าววาจาได้โหดร้ายนักเล่า…
"เสี่ยวจิน …เจ้าไล่เหยี่ยวตะวันกลับป่าแรกเริ่มไปแบบนี้… เช่นนั้นต่อไปข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว" ต้วนหลิงเทียนยิ้ม
หากหนูน้อยตัวนี้เต็มใจให้เขาโดยสารล่ะก็ ย่อมเป็นเรื่องดีไม่น้อยเพราะมันรวดเร็วนัก
“ฮึ่มๆ! ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว! ข้าไล่มันไปเพราะมันไม่สามารถนั่งหลังข้าได้ ข้าเป็นหนูสวรรค์นัยน์ตาหยก ลูกหลานของสัตว์เซียน ข้าจะลดตัวไปให้เจ้าขนดกนั่นนั่งหลังได้ไงกัน เจ้านกบ้าขนดกเชื่องช้า!”เสียงที่ส่งมาครานี้เต็มไปด้วยความหยิ่งไม่น้อย
"ลูกหลานสัตว์เซียน?" ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวจินครั้งนี้
เขาลองค้นในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเพื่อค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับคำว่าสัตว์เซียน …
ทว่ากล่าวได้ว่าแม้แต่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ก็ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับสัตว์เซียนเลย
“มิผิด..หลังจากที่ข้าเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ในวันนั้น องค์ความรู้มากมายที่สืบทอดมาในสายเลือดของข้าก็ตื่นขึ้นบางส่วน…ตระกูลของข้าคือ ตระกูลที่สืบสายเลือดมาจากสัตว์เซียน หนูสวรรค์นัยน์ตาหยก สายเลือดของข้าสูงส่งและมีเกียรติเหนือกว่าสัตว์อสูรทั่วไปมากมายนัก” เสี่ยวจินกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“ดูเหมือนว่าในทวีปเมฆาล่องแห่งนี้ จะมีอีกหลายอย่างที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดไม่รู้”ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาด้วยอารมณ์
จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดจะอย่างไรก็ดำรงอยู่มาถึง 2 ช่วงชีวิต แต่ขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่รู้เรื่องราวของสัตว์เซียนแม้แต่น้อย
เขานึกภาพออกได้เลยว่าสัตว์เซียนที่ว่า ลึกลับขนาดไหน
"สัตว์เซียน… แค่ฟังชื่อข้าก็พอเดาได้ว่าคงไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดาๆแน่นอน" ต้วนหลิงเทียนคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะถามเรื่องของสัตว์เซียนจากเสี่ยวจินเพิ่มเติม
แต่ก็ประหลาดนัก เพราะกระทั่งเสี่ยวจินยังไม่อาจตอบได้
มันรู้เพียงแต่ว่า ตระกูลหนูสวรรค์นัยน์ตาหยกของมันเป็นลูกหลานของสัตว์เซียน
ส่วนสัตว์เซียนเป็นอะไรมันไม่รู้แม้แต่น้อย
"พี่ใหญ่หลิงเทียนนั่งดีๆล่ะ ข้าจะเร่งความเร็วแล้วนะ!" เสี่ยงของเสี่ยวจินส่งผ่านพลังงานต้นกำเนิดมาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนได้ฟังก็รีบจัดร่างกาย และนั่งให้ดีทันที
ซู่มมมมม!!
พริบตาต่อมาเสี่ยวจินก็เร่งความเร็วออกมา! ร่างของมันดั่งจะกลายเป็นเส้นแสงสีทองลากผ่านผืนฟ้าด้วยความเร็วสูง
เหนือลำแสงสีทองปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 1,000 ตัวห้อตะบึง ข้ามม่านเมฆไปด้วยความเร็วสูง แหวกฝ่าหมู่เมฆไปเป็นทาง …
หลังจากผ่านไปสักพักเมฆถึงจะค่อยๆกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
"ยอดเยี่ยมนัก" ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่บนหลังเจ้าเสี่ยวจินก้มลงไปเล็กน้อย เขาเองก็รู้สึกนิ่มสบายเป็นอย่างมาก หลังเจ้าเสี่ยวจินนั่งสบายยิ่งกว่าโซฟาในชีวิตที่แล้วซะอีก
ถึงแม้ว่าตอนนี้เสี่ยวจินจะไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุดของมัน แต่ก็นับว่าเร็วกว่าเหยี่ยวตะวันเป็นสิบเท่า ช่วยประหยัดเวลาได้ไม่น้อย
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ข้างหน้ามีเมืองด้วยล่ะ ไปหาอะไรกินที่เหลาอาหารกันเถอะ” เสี่ยวจินที่พาต้วนหลิงเทียนบินลัดฟ้ามากว่าครึ่งวัน กล่าวออกมาด้วยความดีใจ เมื่อพบเห็นบางสิ่งด้านหน้า ร่างของนางรีบพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วพร้อมกล่าวส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดบอกต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนได้ฟัง ก็รีบก้มลงไปดู
มองลงไปด้านล่างต้วนหลิงเทียนก็เห็นเมืองที่แลดูธรรมดาๆตั้งอยู่ ดูไปคล้ายโอเอซิสกลางทะเลทรายไม่น้อย
"เอาล่ะ ลงไปดูกันก่อน…เจ้าตะกละน้อย" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้ม
"ฮิๆ…ไปๆ" หนูขนทองส่งเสียงตอบ จากนั้นร่างที่เหมือนเนินเขาน้อยๆ ก็พุ่งลงไปด้วยความเร็วสูง
ต้วนหลิงเทียนถึงกับต้องคว้าจับเป็นพัลวัน เมื่อเจ้าเสี่ยวจินรีบพุ่งลงไปราวกับดาวตก เพียงชั่วพริบตามันก็ลงจอดในป่าใกล้ๆเมือง
วูบ!
ร่างเจ้าหนูน้อยที่ใหญ่โตเริ่มหดกลับมาเป็นเจ้าหนูน้อยตัวเดิม มันพุ่งไปนั่งบนไหล่ของต้วนหลิงเทียนชี้มือชี้ไม้ให้รีบเข้าเมืองเร็วๆ
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้าก้าวอาดๆมุ่งหน้าเข้าเมืองไปทันที
เมืองนี้นับว่ามีพื้นที่กว้างขวางไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองโบราณชั่วนิรันดร์เลย
เมื่อเข้ามาถึงในเมือง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นผู้คนมากมายสัญจรไปมากันเต็มถนน ขบวนรถม้า เกวียนมากมายเรียงรายต่อกันดั่งหางมังกร …
"จี๊ดๆ ~"เจ้าหนูขนทองตัวน้อยตอนนี้ไม่ค่อยอยากหลบในแขนเสือต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่ เพราะมันอยากรู้อยากเห็น เลยเลือกที่จะนั่งอยู่บนไหล่ต้วนหลิงเทียน สายตาของมันมองไปทางนู้นทีทางนี้ทีด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะขนมแปลกๆ มันมองจนต้องต้วนหลิงเทียนซื้อเก็บเอาไว้ ของของหวานก็ต้องกินหลังอาหาร หลัก มันจึงยังไม่อาจลิ้มรสอะไรได้
หนึ่งคนหนึ่งหนูแม้จะแปลกหน้าแปลกตา แต่ก็นับว่าไม่ได้เรียกร้องความสนใจสักเท่าไร
ต้วนหลิงเทียมองไปก็พบว่า ผู้ที่พาสัตว์อสูรมาด้วยนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเหลาอาหารแห่งหนึ่งอยู่เบื้องหน้า เขาหรี่ตามองเล้กน้อยก่อนที่จะส่งเสียงบอกเจ้าเสี่ยวจิน “เสี่ยวจินเข้าไปกินที่เหลานั่นดีหรือไม่”
“ดีๆ ไปเร็วๆ”เสียงของเจ้าหนูน้อยส่งเข้าหูต้วนหลิงเทียนแทบจะทันทีทันใด ท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนเมื่อเข้าไปในเหลาอาหารก็พบว่าผู้คนหนาแน่นนัก ไม่เหลือที่ว่างให้เขานั่งเลย
แต่โชคดีไม่น้อย ที่ใกล้ๆ มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งกำลังลุกขึ้นพอดี
"โชคของข้ายังไม่เลวเท่าไร" ดวงตาต้วนหลิงเทียนทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง
วูบ!
ตอนนี้เองเจ้าหนูขนทองที่นั่งบนไหล่ของต้วนหลิงเทียนก็รีบพุ่งไปนั่งบนโต๊ะทันที ดูท่าหนูจะหิวกว่าคนแล้ว
แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินไปนั่งนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ฮ่าๆๆ…โชคของข้าไม่เลวนัก มีโต๊ะว่างตรงหน้าพอดี” เสียงหนึ่งดังขึ้น และร่างหนึ่งก็กระพริบวูบผ่านหน้าต้วนหลิงเทียนไป ต้วนหลิงเทียนเห็นว่าเป็นชายคนหนึ่งที่ร่างกายผอมบาง ตัดหน้าเขาไปนั่งที่โต๊ะ
นั่นทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องชะงักเท้าลงโดยพลัน คิ้วยังขมวดขึ้นเล็กน้อย