สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 421 : เพิ่มพูนความแข็งแกร่ง 42%
WSSTH บทที่ 421 : เพิ่มพูนความแข็งแกร่ง 42%
จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าวิชาบ่มเพาะชั้นเลิศเช่นนี้นั้น ย่อมถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ ของทวีปเมฆาล่อง
และต้วนหลิงเทียนยังมั่นใจเต็มร้อยอีกด้วย ว่าหากจ้าวอวี่ จ้าวหลิน และคนของตระกูลจ้าวคนอื่นๆ ได้เห็นวิชาบ่มเพาะนี่แล้วล่ะก็ พวกมันคงไม่อาจต้านทานความเย้ายวนได้แน่นอน
"จ้าวหลิน ไม่ใช่เจ้าต้องการวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของข้านักหรือไร …ในเมื่อเจ้าอยากได้ขนาดนั้น เช่นนั้นข้าก็จัดให้ตามที่เจ้าต้องการ!"เมื่อต้วนหลิงเทียนนึกถึงจ้าวหลินดวงตาพลันกระพริบส่องแสงเย็นชาออกมา
ตุบ!
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะหันไปมองชายวัยกลางคนที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง "เอาวิชาบ่มเพาะนี่ไปให้จ้าวอวี่เสีย… แล้วบอกมันว่าเจ้าได้วิชานี่ หลังจากที่สังหารข้าได้แล้ว ด้วยวิธีนี้เจ้าก็ไม่มีปัญหากับจ้าวอวี่"
"นี่ … " ชายวัยกลางคนลังเลไม่น้อย และอยากกล่าวถามบางอย่าง
เพราะจะอย่างไร มันก็เห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขียนวิชาบ่มเพาะนี่ขึ้นมาเอง …
แล้ววิชาบ่มเพาะที่เขียนขึ้นมาเองของเด็กน้อยคนหนึ่ง จะตบตาจิ้งจอกเฒ่าอย่างจ้าวอวี่ได้หรือ?
ในใจมันรู้สึกอับจนหนทางอย่างแท้จริง
"อะไร? เจ้ากังวลว่าจ้าวอวี่จะรู้เรื่องนี้?" ต้วนหลิงเทียนมองชายวัยกลางคนอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะยื่นส่งคัมภีร์ที่เขียนขึ้นให้ไป "เจ้าลองอ่านดูเอง"
ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะรับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกมา
ครู่ต่อมาจิตใจของชายวัยกลางคนก็ราวกับต้องมนต์สะกด! มันโดนวิชาบ่มเพาะนี่ล่อลวงอย่างสิ้นเชิง สองตาไม่อาจละจากวิชาบ่มเพาะครึ่งแรก
เวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
หลังจากที่ผ่านไป 15 นาทีชายวัยกลางคนได้อ่านวิชาบ่มเพาะ บทแรกจบ มันก็ส่งให้ต้วนหลิงเทียน ด้วยสายตาและท่าทางราวกับเห็นต้วนหลิงเทยีนเป็นเทพเซียน “วิชาบ่มเพาะนี่…ท่านต้องการให้ข้ามอบแก่จ้าวอวี่จริงหรือ?” ชายวัยกลางคนประหลาดใจนัก
มันดูก็รู้ว่าวิชาบ่มเพาะนี่มีค่าขนาดไหน กระทั่งมันยังหลงใหลอยากได้เสียเอง
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้าจะมอบวิชาเลิศล้ำนี่ให้จ้าวอวี่ ผู้ที่คิดสังหารตัวเขาเอง…?
เขาอดอื้ออึงขึ้นมาไม่ได้
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังชายวัยกลางคนด้วยสายตาเบื่อหน่าย ก่อนจะกล่าวออกมา "แค่ทำตามที่บอกก็พอ อย่าได้ถามมากความ … เสี่ยวจินเจ้าตามมันไป ถ้าเห็นมันคิดเล่นไม่ซื่ออะไร…ก็ฆ่ามันได้เลย!"
"จี๊ด ~" หนูขนทองตัวน้อยพยักหน้ารับ กระบี่วิญญาณเล่มจิ๋วในมือเรืองแสงวูบวาบขึ้นมา ราวกับพร้อมสะบัดจ้วงทะลวงผู้คนได้ทุกเวลา
หน้าชายวัยกลางคนซีดลงโดยพลัน มันรู้ดีว่าหากมันยังอยากมีลมหายใจอยู่ต่อ มันต้องกระทำตามที่ชายหนุ่มสั่ง
หาไม่แล้วมันย่อมตายแน่นอน!
มันยังวางแผนเอาไว้อีกว่าหลังจากส่งมอบวิชาบ่มเพาะนี่ให้จ้าวอวี่แล้ว ตัวมันจะรีบเก็บข้าวของออกจากเมืองโบราณชั่วนิรันดร์แห่งนี้ไปให้ไกล เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง
มันรู้สึกว่าวิชาบ่มเพาะในมือนั้นหาได้ง่ายดายและเลิศล้ำอย่างที่มันเห็น
ถึงแม้ว่ามันจะไม่รู้จักมักคุ้นกับชายหนุ่มเบื้องหน้า แต่มันรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนใจดีส่งมอบวิชาให้ง่ายๆ…
จ้าวอวี่นั่นมันคิดฆ่าชายหนุ่มเบื้องหน้า!
เมื่อมันลองถามตัวเองดูว่าหากมันเป็นชายหนุ่มคนนี้ มันจะยังมอบวิชาออกไปแต่โดยดีอีกหรือ?
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินออกไปแล้ว มันก็ทำได้เพียงบ่นพึมพำออกมา “เด็กนั่นต้อง ลงมือทำอะไรบางอย่างกับวิชาบ่มเพาะนี่เป็นแน่”
ต้วนหลิงเทียนมองส่งชายวัยกลางคนด้วยหางตา และเมื่อมันจากไป เขาก็เริ่มหยิบวัตถุดิบออกมา เตรียมการหลอมกระบี่วิญญาณระดับ 6 สำหรับตัวเขาเอง
“ช่วงนี้ข้ามีเรื่องเยอะแยะวุ่นวาย ไม่ได้ว่างหลอมกระบี่ให้ตัวเองกับสาวน้อยทั้งสองสักที…เอาล่ะ ข้าจะหลอมของข้าเพื่อเอาไว้ใช้ก่อน ส่วนของอีก 2 คนค่อยทำหลังจากที่มีเวลาว่าง” ต้วนหลิงเทียนคิดอ่านในใจ ก่อนที่จะปรากฏเปลวเพลิงสีเขียวปะทุขึ้นมาในฝ่ามือ
เปลวเพลิงหลอมศาสตราระดับ 6!
เหล่าวัตถุดิบทั้งหลาย หลอมลลายลงโดยพลันเมื่อสัมผัสเข้ากับเปลวเพลิงตรงหน้า และพวกมันก็เริ่มผสานกลายเป็นเนื้อเดียวกันอย่างช้าๆ
มือของต้วนหลิงเทียนขยับว่องไวดั่งมีพันกร…
ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมือและความเชี่ยวชาญของเขาน่าตระหนกนัก
หากมีผู้หลอมศาสตราสักคนอยู่ที่นี่ มันต้องประหลาดใจอย่างถึงขีดสุด เพราะวิธีหลอมสร้างศาสตราของต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจใจนัก
ไม่นานวัตถุดิบทั้งหมดก็หลอมละลายจนกลายเป็นสีใส ต้วนหลิงเทียนเองก็หยิบกระบี่ใบแคบที่เคยใช้อยู่ โยนลงไปหลอมด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นกระบี่อ่อนดาราม่วงก็ถูกหยิบออกมาและโยนเข้าไปเช่นกัน
ไม่นานทั้งหมดก็เริ่มหลอมละลายกลายเป้นของเหลว และถูกเขาขึ้นรูปกระบี่อย่างช้าๆ
ในที่สุดรูปร่างของมันก็เริ่มกลายเป็นกระบี่อ่อนสีม่วงเข้มเล่มหนึ่ง
ความบางของมันนั้นแทบไม่ต่างอะไรไปจากปีกของจั๊กจั่น ดูไม่ต่างไปจากกระบี่อ่อนดาราม่วงเล่มเก่าสักเท่าไร แต่เพียงกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาก็รู้ว่ามันต่างจากเดิมไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนหยิบกระบี่อ่อนขึ้นมา ก่อนที่จะถ่ายเทพลังงานต้นกำเนิดลงไป
ทันใดนั้นพลังงานต้นกำเนิดก็เริ่มเกรี้ยวกราดและเพิ่มพูนขึ้น!
วู้มมมม
ตอนแรกเหนือร่างต้วนหลิงเทียนปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 600 ตัว และครู่ต่อมาก็ปรากฏเพิ่มขึ้นมาอีก 252 ตัว!
ทั้งหมด 852 ช้างแมมมอธโบราณ!
“หืม? สามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้ 42% งั้นเหรอ…นับว่ามีประสิทธิภาพไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเผยความประหลาดใจออกมาไม่น้อย ตอนแรกเขาคิดว่ากระบี่วิญญาณระดับ 6 ในมืออย่างมากก็น่าจะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้แค่ 41% เท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ว่ามันกลับเพิ่มพูนได้ถึง 42%!
เพราะทั้งหมดที่รู้ กระบี่วิญญาณระดับ 6 ที่ต้วนหลิงเทียนใช้อยู่ก่อนหน้าประจำ ก็ยังเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้เพียง 38% เท่านั้น…
อย่างดาบ รัตติกาลไร้น้ำตา ของปรมาจารย์เจิ้งฝานแห่งนิกายกระบี่ 7 ดาวนั้น กล่าวได้ว่ามันเป็นสุดยอดดาบวิญญาณระดับ 6 แล้ว เพราะมันเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้ถึง 40%
แต่ตอนนี้กระบี่อ่อนในมือต้วนหลิงเทียนกลับทรงพลังยิ่งกว่า รัตติกาลไร้น้ำตา!
กล่าวได้ว่าตอนนี้ในทวีปเมฆาล่องอาจจะมีต้วนหลิงเทียนเพียงคนเดียวที่มีความสามารถในการหลอมสร้างกระบี่วิญญาณระดับ 6 เช่นนี้ได้
เพราะเท่าที่รู้จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตัวจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเองก็สามารถหลอมสร้างได้เพียงแค่เล่มเดียวเท่านั้น ที่มีความสามารถเพิ่มพูน 42% เช่นนี้
"กระบี่วิญญาณระดับ 6 นี่…น่าจะเป็นขีดจำกัดของข้าแล้ว" ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมา ก่อนที่จะตวัดกระบี่อ่อน
"ข้ายังจะเรียกเจ้าว่ากระบี่อ่อนดาราม่วงเช่นเดิม…" ต้วนหลิงเทียนลูบกระบี่อ่อนในมืออย่างช้าๆ ในแววตาเผยความหลงใหลราวกับมองอิสตรีคนรัก
ฟุ่บบบบ!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเหม่อลอยอยู่นั้นข้างๆ ก็บังเกิดแรงลมกรรโชกวูบหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงบนไหล่ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร “เสี่ยวจิน เป็นไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่?”
"ฮี่ๆ…พี่ใหญ่หลิงเทียน จ้าวอวี่นั้นยามได้รับวิชาบ่มเพาะไปและเปิดดู สองตามันโตเท่าไข่ไก่ มันมองราวกับจะนั่งลงฝึกฝนซะเดี๋ยวนั้นเลย … พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านทำอะไรกับวิชาบ่มเพาะนั่นหรือ? " การส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของเจ้าหนูน้อยเต็มไปด้วยความอยากรู้
"ข้าจะไปทำอะไรได้เล่า?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวและยิ้มออกมา ไม่ได้กล่าวบอกความจริงอะไรออกมา
เพราะความจริงที่ว่านั่นไม่เหมาะสำหรับเด็กน้อยสักเท่าไร
นอกจากนี้เจ้าสหายน้อยตัวนี้ยังพึ่งมีอายุ 7 ปีเท่านั้น เทียบไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวตัวน้อยสักนิด
"พี่ใหญ่หลิงเทียน ยังเป็นไปได้อีกหรือที่ท่านจะมอบวิชาบ่มเพาะดีๆให้มัน?" เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวจินไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร
"เอาล่ะหนูน้อย …พวกเราเองก็ออกเดินทางกันได้แล้ว" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวแล้วยิ้มไม่ตอบอะไร เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วพาเสี่ยวจินเดินทางออกจากเมืองโบราณชั่วนิรันดร์
หลังจากที่เดินออกไปนอกเมืองโบราณชั่วนิรันดร์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยิบนกหวีดออกมา แล้วเป่าเสียงดัง ไม่นานก็มีร่างสีดำพุ่งมาจากขอบฟ้าไกลๆลงจอดตรงหน้า…เป็นเหยี่ยวตะวัน ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1
"เอาล่ะ เราไปกันเถอะ!" ต้วนหลิงเทียนกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังเหยี่ยวตะวันอย่างสบายตัว ชุดศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวโบกสะบัดไปตามแรงลม ยามเหยี่ยวตะวันพุ่งร่างเหินฟ้าขึ้นไปด้วยความเร็วสูง
เจ้าหนูตัวน้อยออกมานั่งตรงไหล่ของต้วนหลิงเทียน สายตาสอดส่ายมองไปซ้ายทีขวาที ชมดูรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น…
ณ หอการค้ากู่เหอเมืองโบราณชั่วนิรันดร์
"เหล่ย" จ้าวอวี่เดินยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไปในบ้านลานหลังเล็กบ้านหนึ่ง น้ำเสียงของมันยังเต็มไปด้วยความยินดี
"ท่านพ่อ!" ครู่ต่อมาจ้าวเหล่ยก็รีบออกมาเปิดประตูให้บิดาเข้าบ้าน
หลังจากที่ปิดประตูแล้วจ้าวเหล่ยก็เผยความตื่นเต้นออกมา “พ่อท่าทางท่านมีความสุขยิ่ง เรื่องราวใช่ประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่?”
"ดูนี่" จ้าวอวี่ส่งคัมภีร์ สภาพเก่าแก่เล่มหนึ่งไปให้จ้าวเหล่ย
"คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ชำระไขกระดูก!" ประกายตาจ้าวเหล่ยเรืองวูบขึ้นมา เมื่อได้เห็นตัวอักษรหน้าปกคัมภีร์ มันเองรู้สึกตื่นเต้นไม่ใช่น้อย “ท่านพ่อ เรื่องนี้ยืนยันแน่แล้วหรือ?”
"อย่าได้กังวลแล้ว …พ่อได้ลองอ่านวิชาบ่มเพาะครึ่งแรกดูแล้ว…มันช่างเป็นวิชาบ่มเพาะที่ล้ำลึกยิ่งนัก! มองไปทั่วอาณาจักรพนาคราม ไม่สิ กระทั่งอาณาจักรศิลาทมิฬ หรือแม้กระทั่งกระทั่งราชอาณาจักรต้าฮั่นเองก็ไม่มีวิชาที่เลิศล้ำถึงเพียงนี้!!" ใบหน้าของจ้าวอวี่เผยรอยยิ้มสดใสออกมา "ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าเพราะเหตุใดต้วนหลิงเทียน ถึงได้มีความสามารถอัศจรรย์และพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์สูงนัก! ที่มันประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ ..ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกนี่ทั้งสิ้น!"
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ในอนาคต ชีวิตข้าจ้าวเหล่ยจักเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!!” จ้าวเหล่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้ ก่อนที่จะหันไปกล่าวถามจ้าวอวี่ “จริงสิท่านพ่อ แล้วต้วนหลิงเทียนเล่า?”
"อย่าได้กังวล…มันได้รับการดูแลอย่างดีแล้ว….หาไม่แล้วเจ้าคิดว่าบิดาเอาคัมภีร์นี่มาจากที่ใด?" เมื่อจ้าวอวี่พูดจบ มันก็หัวเราะออกมาเสียงดัง "เหล่ย พ่อลองคิดดูแล้ว … เจ้ารีบออกเดินทางไปยังนิกายกระบี่ 7 ดาวเสียวันนี้เลยเถอะ นำคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกนี่ไปหาอาของเจ้า และให้อาเจ้าพาไปหาท่านทวดใหญ่ของเจ้า เพื่อไปบ่มเพาะพลังที่จุดชีพจรวิญญาณ สถานที่บ่มเพาะของท่านทวดเป็น 1 ใน 9 จุดชีพจรวิญญาณที่เลิศล้ำที่สุดของนิกายกระบี่ 7 ดาว มันเหมาะให้เจ้าใช้คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นบ่มเพาะพลังที่นั่น "
"ท่านทวด?" ประกายตาจ้าวเหล่ยเรืองวูบขึ้นมา
แน่นอนว่ามันรู้ดีว่าทวดที่บิดามันกล่าวถึง ย่อมเป็นขุมพลังหลักของนิกายกระบี่ 7 ดาว
หนึ่งในผู้พิทักษ์อาวุโสทั้งสองของนิกายกระบี่ 7 ดาว!
ผู้คนมักเรียกเขาว่า ผู้อาวุโสหมิง!
“ขอรับท่านพ่อ”จ้าวเหล่ยรีบพยักหน้าทันที
ครู่ต่อมาจ้าวเหล่ยก็เก็บข้าวของ ออกเดินทางด้วยสัตว์อสูรบินได้ชนิดหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่ 7 ดาวโดยไม่รอช้า!
ความรู้สึกของจ้าวเหล่ยฮึกเหิมขึ้นมาเต็มเปี่ยมราวกับมันมองเห็นอนาคตที่สดใสทรงพลังของมันแล้ว…
อีกด้านหนึ่ง ห่างไกลออกไปจากเมืองโบราณชั่วนิรันดร์
วู้มมม!
ร่างคนเหยี่ยวดั่งจะติดกัน พุ่งลัดฟ้าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ
หากมองให้ชัดจะพบว่าร่างสีดำที่พุ่งข้ามผ่านฟ้าไปด้วยความเร็วสูงนั่น เป็นเหยี่ยวตะวัน ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1
ด้านหลังเหยี่ยวตะวัน พบชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั่งขัดสมาธิหลับตา โคจรพลังอย่างขยันขันแข็ง
เหนือศีรษะของเจ้าเหยี่ยวตะวันพบร่างหนูสีทองตัวน้อยๆ กำลังนั่งอยู่ มันเป็นหนูขนทองตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำสมบูรณ์นัก
เจ้าหนูสีทองตัวน้อย ใช้มือน้อยๆดึงขนบนศีรษะเหยี่ยวตะวัน พร้อมส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดเข้าหูเหยี่ยวตะวันอย่างดุร้าย “เจ้าตัวขนเหม็น ถ้าเจ้าเหาะช้าเช่นนี้ ข้าจะบอกพี่ใหญ่หลิงเทียนให้จับเจ้าไปเคี่ยวในหม้อ ทำน้ำซุบกินเสียดีกว่า”
เหยี่ยวตะวันเป็นสัตว์อสูรระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง ซึ่งกล่าวได้ว่าตอนนี้มันเริ่มมีสติปัญญาระดับพื้นฐาน ของมนุษย์บ้างแล้ว ตอนนี้ดวงตาที่คมกล้าของมันเผยความอ่อนแอและหวาดกลัวออกมาไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงที่ส่งผ่านพลังงานต้นกำเนิดมา
“เสี่ยวจิน เจ้าไปข่มขู่เหยี่ยวตะวันอีกแล้วหรือ?”ทันใดนั้น ชายหนุ่มชุดสีม่วงที่นั่งอยู่บนหลังเหยี่ยวตะวันก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
ในยามนี้ดูเหมือนร่างของชายหนุ่มจะมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกต่างออกไปจากเดิม…