สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 412 : เพราะข้า! แข็งแกร่งกว่ามัน!!
บทที่ 412 : เพราะข้า! แข็งแกร่งกว่ามัน!!
"เจ้า หัวเราะอะไร!?" ฟงผิงพลันขมวดคิ้ว เริ่มบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“อาวุโสฟงผิง…ข้าก็แค่หัวเราะตัวโง่งมบางตัว ที่คิดจะบิดเบือนความจริง ทั้งยังร้อนรนหวังให้ท่านลงมือสังหารข้าโดยไว โดยไม่คิดให้ข้าได้มีโอกาสอธิบายกล่าวบอกความจริง แก้ต่างให้ตัวเองได้อย่างไรเล่า!” ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มสดใสออกมา คำกล่าวของเขายังคงชี้ให้เห็นถึงความนัยบางอย่าง
"ไอหนู เจ้าวอนตายหรือไร!" จ้าวเหล่ยยังจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าคำกล่าวของต้วนหลิงเทียนนั้นหมายถึงมัน โดนกล่าวกระแทกแดกดันซึ่งๆหน้าเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องโมโหอย่างหนัก!
แต่ถึงแม้มันจะมีโทสะมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่กล้าที่จะลงมือจู่โจมต้วนหลิงเทียน
มันนั้นมีประสบการณ์และได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนมาแล้ว ถึงแม้มันจะไม่รู้ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนมีความแข็งแกร่งมากเท่าไร …แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย… เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนสมควรมีระดับบ่มเพาะวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4 ขึ้นไป!
"แล้วที่แท้…เจ้าเป็นผู้ใด?" ฟงผิงตระหนักได้ว่าเรื่องราวนี้มันเริ่มเหนือความคาดคิดมันไปอยู่บ้าง
ตัวมันเองย่อมเป็นผู้ที่เห็นท่าทางจ้าวเหล่ยชัดเจนที่สุด
กล่าวให้ชัดคือมันเป็นไปตามที่ ชายหนุ่มเบื้องหน้ากล่าวทุกประการ จ้าวเหล่ยนั้นพยายามกล่าววาจาให้มันลงมือโดยไม่ต้องเสียเวลาสักนิด …
กระทั่งตอนนี้ถึงแม้จ้าวเหล่ยจะโมโหมาก แต่มันก็ไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหวอะไร…
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังสังเกตเห็นอีกว่า ในสายตาของจ้าวเหล่ยมันเต็มไปด้วยความกลัวขณะมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้า…ผิดวิสัยนัก…ใยคนวัย 35 ถึงได้หวาดกลัว ชายหนุ่มอายุราวๆ 20 ต้นๆกัน?
"อาวุโสฟงผิง…ชุดที่ข้าสวมใส่ มันน่าจะเพียงพอที่จะบ่งบอกตัวตนของข้าแล้ว" ต้วนหลิงเทียนเพียงเผยยิ้มบางๆออกมา รอยยิ้มนี้ช่างอ่อนโยนเหมือนสายลมแรกฤดูใบไม้ผลิ นำพาให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นนัก
"แล้ว…เจ้ายังมีหลักฐานแสดงตัวตนอื่นใด นอกเหนือจากนี้หรือไม่" ฟงผิงกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสี่ยงที่เริ่มอ่อนลง
“ตอนแรกข้าก็มีจดหมายแนะนำตัวที่ประมุขนิกายมอบให้ข้าไว้เพื่อแสดงต่ออาวุโสฟงผิง…แต่น่าเสียดาย ที่มันถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ โดยคนบางคนที่หน้าเมือง” ในขณะที่กล่าววาจาถึงประโยคนี้ต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องจ้าวเหล่ยเขม็ง
สีหน้าของอาวุโสจ้าวเหล่ยเคร่งเครียดและจริงจังขึ้นมาโดยพลัน ยังหันไปมองจ้าวเหล่ยด้วยสายตาดุร้าย “จ้าวเหล่ย! เรื่องที่เขากล่าวเป็นความจริงเช่นนั้นหรือ?”
“อาวุโสฟงผิง คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย มันย่อมมีความตั้งใจชั่วร้าย! จดหมายอะไรนั่นมิพ้นต้องเป็นมันปลอมแปลง เขียนขึ้นมาเองเป็นแน่” จ้าวเหล่ยจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง ประกายตาของมันดุร้ายราวกับสัตว์อสูรที่พร้อมกระโจนเข้าไปกลืนกินเลือดเนื้อต้วนหลิงเทียนได้ทุกเมื่อ
"เจ้าเล่ห์ ปลอมแปลง?" ใบหน้าของอาวุโสฟงผิงลดต่ำลง ก่อนที่จะกล่าวออกมาเสียงเข้ม “ข้าจักรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นจดหมายปลอมหรือไม่ปลอม! ที่จริงข้ายังสามารถแยกแยะลายมือของท่านประมุขได้…แต่มายามนี้เจ้ากลับฉีกทำลายจดหมายนั่นไปเสียสิ้น! แล้วหากชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่ท่านประมุขส่งมาจริงๆ จักให้ข้าอธิบายเรื่องราวนี้ต่อท่านประมุขอย่างไร?”
"อาวุโสฟงผิง ไอเด็กนี่ต้องเป็นสารเลวน้อยคิดหลอกลวงพวกเราเป็นแน่ …ท่านอย่าได้ฟังมันกล่าวคำปั้นน้ำเป็นตัวแล้ว รีบฆ่ามันเถิด!" จ้าวเหล่ยพยายามยืมดาบฆ่าคนเป็นครั้งสุดท้าย
แต่อาวุโสฟงผิงเป็นตัวโง่งมให้มันหลอกได้ง่ายๆหรือไร?
"เจ้าหนุ่ม…แล้วเจ้ายังมีอันใดที่สามารถระบุตัวตนได้อีกหรือไม่?" ฟงผิงมองไปยังต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงไปมาก
"อย่างอื่น หรือ?" ต้วนหลิงเทียนคิดเล็กน้อย
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็กล่าวว่า “อาวุโสฟงผิงข้าสงสัยว่า หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง ภูมิประเทศ จุดเด่นต่างๆของสถานที่ในขุนเขา รวมถึง ข้าเองก็มีความสัมพันธ์กับปรมาจารย์ขุนเขาอื่นๆไม่น้อยพอรู้เรื่องราวส่วนตัวอยู่บ้าง หากใช้เรื่องราวพวกนี้ มายืนยันตัวตนข้าจะได้หรือไม่?”
"ฮึ่ม!" ฟงผิงยังไม่ทันได้กล่าววาจา เป็นจ้าวเหล่ยที่ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน "ไอหนู ทุกอย่างที่เจ้ากล่าวมามิเพียงพอที่จะยืนยันอันใดได้…คำตอบของเรื่องราวเหล่านั้น เจ้าเพียงไปถามศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวคนอื่นมาก็ล่วงรู้หมดสิ้นแล้ว! "
ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนลดต่ำลง
ตัวบัดซบจ้าวเหล่ยนี่รังควาญเขาราวกับวิญญาณร้าย!
"เจ้ายังมีหลักฐานอื่นใดหรือไม่?" ฟงผิงมองไปยังต้วนหลิงเทียน ด้วยสายตาซับซ้อน กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงช่วยไม่ได้
เห็นได้ชัดว่ามันเองก็เห็นด้วยกับจ้าวเหล่ยเมื่อครู่
"มี!" ต้วนหลิงเทียนพลนพยักหน้าลงย่างมั่นใจ และกล่าวออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด
ภาพการกระทำนี้ทำให้สีหน้าจ้าวเหล่ยซีดลงโดยพลัน ในใจของมันเริ่มบังเกิดความกระวนกระวายขึ้นมา ‘หรือไอเด็กบัดซบนี่จักมีหลักฐานพิสูจน์ได้จริงๆ ว่ามันเป็นศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาว’
เนื่องจากเรื่องราวความขัดแย้งก่อนหน้า ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับมัน ตัวจ้าวเหล่นย่อมไม่คิดหวังให้ต้วนหลิงเทียนสามารถพิสูจน์ตัวตนอะไรได้
หาไม่แล้ว…ต่อไปหากมันคิดแก้แค้นอีกฝ่าย ก็ยากไม่ต่างปีนบันไดมีดขึ้นสวรรค์!
"หลักฐานอะไรรึ?" แววตาที่จับจ้องมาของฟงผิงเรืองวูบขึ้น
ส่วนจ้าวเหล่ยนั้นมองมายังต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัว
"หลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ก็คือ … " ต้วนหลิงเทียนหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลังจากที่ทำให้ทุกคนบังเกิดความสนใจอย่างถึงที่สุดได้แล้ว เขาก็หันไปมองจ้าวเหล่ย ก่อนที่จะกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด "ข้าแข็งแกร่งกว่ามัน! "
ข้าแข็งแกร่งกว่ามัน!
คำกล่าวสั้นๆนี้ถูกกล่าวออกมาจากปากต้วนหลิงเทียนอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการรีรออ้อมค้อมใดๆทั้งสิ้น เปรี๊ยงเดียวกลางปล้อง!
ทันใดนั้นเองสีหน้าจ้าวเหล่ยก็กลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ โทสะในใจมันสุมจนอกแทบแตกระเบิด
สำหรับมันการที่ต้วนหลิงเทียนจงใจกล่าวเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรจากการพยายามตอกหน้ามัน สบประมาท และเหยียบย่ำหัวมันไว้ใต้ฝ่าเท้า!
ส่วนทางด้านฟงผิงนั้น หลังจากที่ตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปมองจ้าวเหล่ยทันควัน และเมื่อเห็นว่า สีหน้าจ้าวเหล่ยบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ตัวมันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า…คำกล่าวของชายหนุ่มเป็นเรื่องจริง!
"เจ้าแข็งแกร่งกว่าจ้าวเหล่ย…เช่นนั้นระดับบ่มเพาะของเจ้าคือ … " ฟงผิงมองไปยังต้วนหลิงเทียน ใบหน้าของมันยังเผยความประหลาดใจไม่น้อย
วู้มมมม!!
ทันใดนั้นพลังงานต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนเริ่มแผ่ซ่านออกมาอย่างรวดเร็ว ทั่วร่างของเขาปรากฏกระแสพลังไร้สภาพห่อหุ้มเอาไว้ดั่งม่านโปร่งแสง เป็นการควบคุมพลังงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ความปั่นปว่นใดๆ แยบยลอย่างเหนือชั้น!
ต้วนหลิงเทียนรู้ดี ตอนนี้ให้เขากล่าววาจาสักหมื่นพันคำ มิสู้กระทำให้เห็นซึ้งถึงความจริง!
ครืนนน!
มันใดนั้นเอง 600 เงาร่างช้างแมมมอธโบราณ ที่แลดูราวกับมีชีวิต ค่อยๆก่อเกิดขึ้นจากไอพลังฟ้าดินเหนือร่างต้วนหลิงเทียนขึ้นไปบนฟ้า พวกมันแลดูพร้อมจะปะทุระเบิดพลังออกมาได้ทุกเวลา
"ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4!" ม่านตาของชายหนุ่มคนเฝ้าประตูที่นำต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาถึงกับหดแคบลงโดยพลัน
นับว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับมันจะคาดคิดจินตนาการได้ ว่าชายหนุ่มที่มีอายุราวๆ 22 ปี ไปฝึกฝนบ่มเพาะพลังมาอีทาไหน และกระทำอย่างไร ถึงได้มีระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4 ด้วยวัยเพียงเท่านี้!
พรสวรรค์ตามธรรมชาติเช่นนี้มันน่าตกตะลึงเกินไป!
ไม่ใช่แค่มันที่ตกใจ
"ไอเด็กนั่น กลับอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4!" ถึงแม้ว่าจ้าวเหล่ยจะพอคาดเดาได้อยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยสองตาของมันเช่นนี้ สีหน้าท่าทางของมันยิ่งมายิ่งดูไม่ได้
ฟงผิงเองก็อื้ออึงไปราวตัวโง่งม มันเฝ้ามองเงาร่างช้างแมมมอธโบราณที่ลอยอยู่เหนือฟ้าอยู่นาน ก่อนที่จะจับจ้องมายังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเหลือเชื่อ ไม่นานก็เริ่มกลายเป็นสายตาร้อนแรง รีบกล่าวถามออกมาอย่างตื่นเต้น "เจ้าหนุ่ม นี่เจ้าอายุเท่าไรกัน?"
"22 ปี" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกไปอย่างไม่แยแส ท่าทางไร้กังวล ราวกับเรื่องราวใดๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
"อายุ 22 ปี ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4…ฟืด!" ฟงผิงพึมพำ ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ
พรสวรรค์ตามธรรมชาตินี้ เหนือชั้นก้าวล้ำนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 แห่งอาณาจักรพนาครามไปไกลอย่างไม่เห็นฝุ่น!
"เจ้าเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาว?" ฟงผิงจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
"ใช่" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
"เจ้าเข้าร่วมนิกายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" ฟงผิงกล่าวถามออกมา
"ข้าเข้าร่วมนิกายมายังไม่ถึง 3 ปี" ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกมา
"น้อยกว่า 3 ปี … " ฟงผิงพยักหน้า “เช่นนั้นก็มิผิดแล้ว เพราะ 3 ปีมานี้พวกเรามิได้ติดต่อกลับไปยังนิกายเลย”
"อาวุโสฟงผิง" จ้าวเหล่ยขมวดคิ้ว "ที่มาที่ไปของไอเด็กนี่ยังมิอาจระบุชี้ชัด และมันก็มิอาจพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวจริงๆ … ท่านมิอาจเชื่อวาจาโกหกพกลมของมันเช่นนี้!"
“จ้าวเหล่ย” ฟงผิงเหลือบมองไปยังจ้าวเหล่ยด้วยแววตาเฉยชา "ข้ามิสนว่าเจ้าไปพลาดท่าเสียที มีปัญหาบาดหมางใดๆ และเจ็บแค้นเขามากมายถึงเพียงไหน …เจ้าคิดว่าข้าโง่งมไร้สมองถึงขั้น มิอาจแยกออกหรือไร ว่าสิ่งใดเป็นจริง สิ่งใดลวงหลอก?…คนที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติเหนือล้ำยิ่งกว่านายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ไปไกลโขเช่นนี้ ยังมีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาเสียเวลาปลอมตัวเป็นศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวเรา?”
ใบหน้าของจ้าวเหล่ยลดต่ำลงโดยพลัน
“เกิดอะไรขึ้น ใยถึงได้เอะอะ ส่งเสียงดังโวยวายกันนัก?” ตอนนี้เองบังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ดั่งฟ้าร้อง
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง รูปร่างสมส่วนอกผายไหล่ผึ่ง ย่างสามขุมออกมาจากด้านใน
เมื่อเห็นร่างชายวัยกลางคนผู้มาใหม่ จ้าวเหล่ยทำราวกับเห็นพระผู้มาโปรด สายตาของมันเผยความยินดีออกมา ทั้ง ปากรีบกล่าวเรียกหาด้วยความตื่นเต้น “ท่านพ่อ!”
สายตาต้วนหลิงเทียนนั้นเบนไปมองผู้มาใหม่ทันที และเมื่อได้ยินคำเรียกหาบุคคลนั้นจากจ้าวเหล่ย คิ้วของต้วนหลิงเทียนอดที่จะขมวดขึ้นมาไม่ได้…
ทันทีที่ชายวัยกลางคนผู้นี้ปรากฏตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงระดับบ่มเพาะของมันตั้งแต่แรก และระดับบ่มเพาะมันก็เท่าเทียมกับอาวุโสฟงผิง แรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3!
"จ้าวเหล่ย … จ้าว …หรือมันคืออาวุโสจ้าวอวี่?" ในแววตาของต้วนหลิงเทียนเผยความกังวลออกมาเล็กน้อย
จ้าวอวี่นั้นก็ไม่ต่างกันกับฟงผิง ทั้งคู่เป็นอาวุโสฝ่ายนอกของนิกายกระบี่ 7 ดาว และมาประจำการอยู่ที่หอการค้ากู่เหอ แห่งเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ ในฐานะผู้คุ้มกัน
"นี่คืออาวุโสจ้าวอวี่" ตอนนี้เองฟงผิงก็กล่าวแนะนำผู้มาใหม่ให้แก่ต้วนหลิงเทียน และในเวลาเดียวกันเมื่อมันคิดถึงอะไรบางอย่าง ก็นิ่งค้างไปเล็กน้อย “ข้ายังมิรู้เลย…ว่าเจ้าเรียกว่าอะไร”
"ต้วนหลิงเทียน" พร้อมกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำแนะนำตัวเอง เขาก็มองไปยังจ้าวอวี่พร้อมกล่าวทักทายออกมา “อาวุโสจ้าวอวี่”
ในตอนแรกท่าทางของจ้าวอวี่ก็ยังคงเฉยๆไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร
ทว่าครู่ต่อมา ท่าทางของจ้าวอวี่ก็เปลี่ยนไปวูบหนึ่งยากที่จะสังเกตเห็น แต่แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนที่ระวังอยู่ ย่อมเห็นได้โดยพลัน
ต้วนหลิงเทียนรู้แน่แก่ใจ ว่าไม่พ้นเป็นจ้าวเหล่ยที่ลอบส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดไปยังจ้าวอวี่ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความขัดแย้งของมันกับเขาก่อนหน้าเป็นแน่ …
ในฐานะบิดาของจ้าวเหล่ย จ้าวอวี่ย่อมไม่ยินยอมเลิกรา และปล่อยให้ลูกชายทั้งคนต้องทนรับความอัปยศเช่นนั้นอยู่แล้ว!
"ต้วนหลิงเทียน?" จ้าวอวี่หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเรียบๆ แต่ลึกลงไปในแววตาเหมือนจะมีเพลิงโทสะกำลังคุกรุ่นอยู่ไม่น้อย "บุตรชายข้าได้ส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดบอกข้าถึงเรื่องราวบางประการ…เจ้ามิมีสิ่งใดพิสูจน์ได้ว่าตัวเป็นศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวใช่หรือไม่?"
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว "อาวุโสจ้าวอวี่ อาวุโสฟงผิงได้รับรู้ยืนยันตัวตนข้าแล้ว เรื่องนี้ท่านยังสงสัยอะไรอีก?"
"ฟงผิง!" จ้าวอวี่หันไปมองฟงผิง "เรื่องที่เจ้ายืนยัน เจ้ามั่นใจแน่แล้วหรือไร? เรื่องที่เด็กผู้นี้ปลอมตัวมาเป็นศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวเราหาใช่เรื่องราวเล็กน้อยไม่!…ยังใช้พรสวรรค์และความสามารถของมันยืนยันได้หรือ? นี่ไม่วู่วามไปหรือไร? หากอีกฝ่ายวางแผนการณ์เลิศล้ำคิดบ่อนทำลายจากภายใน โดยใช้หมากเหนือชั้นตานี้ เจ้าจักทำอย่างไร?"
ใบหน้าฟงผิงค้างไปในทันใดเมื่อได้ยินคำของจ้าวอวี่
จากที่มันรู้จ้าวอวี่ไม่ใช่คนที่จะ สร้างความเดือดร้อนหรือคิดขัดแย้งอะไรกับตัวมันเช่นนี้
ต่อพอมันนึกถึงเรื่องราวบาดหมางระหว่างต้วนหลิงเทียนกับจ้าวเหล่ยขึ้นมา ก็รู้ได้โดยพลัน
"อาวุโสจ้าวอวี่กล่าวถูกต้องแล้ว" ฟงผิงพยักหน้า "เช่นนั้นเราจะให้เขาอยู่ที่นี่ชั่วคราว… พวกเราสองคนไปหาคนมาสักคน เพื่อให้มันนั่งสัตว์อสูรวิญญาณแรกก่อตั้งย้อนกลับไปยังนิกายกระบี่ 7 ดาว ขอคำชี้แจงจากท่านประมุขเกี่ยวกับเรื่องราวคราวนี้ให้ชัดเจนดีหรือไม่"
จ้าวอวี่พยักหน้าอย่างไม่แยแส สำหรับเรื่องนี้มันไม่ได้คิดคัดค้านอะไร
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าตามข้ามา” ฟงผิงเรียกต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็พาเขาไปยังลานด้านใน อันเป็นลานที่พักของหอการค้ากู่เหอ
มีบ้านหลังเล็กๆ ที่ยังไร้ผู้อยู่อาศัยมากมายอยู่ภายในลานกว้างใหญ่แห่งนี้
"ต่อไปเจ้าจะพักอยู่ที่บ้านหลังนี้" ฟงผิงพาต้วนหลิงเทียนไปยังบ้านหลังเล็กแห่งหนึ่ง
บ้านหลังเล็กๆนี้ มีพื้นที่ส่วนตัวไม่น้อย ร่มรื่นเขียวขจีสงบนัก
ฟงผิงเหลือบมองไปยังบ้านลานหลังข้างๆ ที่อยู่ติดกัน “บ้านของข้าอยู่ถัดไปอีกหลัง หากเจ้าต้องการอะไร ต่อไปก็มาหาข้าได้”