สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 420 : คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก ถือกำเนิด!
- หน้าแรก
- สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์
- บทที่ 420 : คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก ถือกำเนิด!
บทที่ 420 : คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก ถือกำเนิด!
อัสดงสาดแสงอุ่นร้อน ปลุกเหล่าสรรพชีวิตให้ตื่นจากการหลับใหล พร้อมรับวันใหม่อย่างแช่มชื่น
“ฟู่ววว!” ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่บนเตียงตลอดทั้งคืน ระบายลมหายใจออกมา ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ
กร๊อบ แกร๊บๆ
ต้วนหลิงเทียนเหยียดยืดแขนของเขาเบาๆ บังเกิดเสียงดูกลั่นระงมดังขึ้น
“อีกแค่นิดเดียวท่านั้นข้าก็จะตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 ได้แล้ว!” ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเผยยิ้มพึงใจออกมา สำหรับระดับบ่มเพาะในปัจจุบันของตัวเอง
ต้วนหลิงเทียนลุกออกจากเตียงจัดแจงเสื้อผ้า ก่อนที่จะนำเสี่ยวจินออกจากห้องไป
หลังจากที่ร่วมมืออาหารเช้ากับคนของนิกายกระบี่ 7 ดาวที่ประจำที่หอการค้ากู่เหอแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ล่ำลาคนอื่น เตรียมตัวออกเดินทาง
อาวุโสฟงผิงและอาวุโสจ้าวอวี่นำคนของนิกายกระบี่ 7 ดาวเดินออกมาส่งต้วนหลิงเทียนตรงประตูหน้าหอการค้ากู่เหอ ก่อนที่จะรำลาต้วนหลิงเทียนหน้าประตู เฝ้ามองแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายลับไปที่มุมถนน
เมื่อร่างต้วนหลิงเทียนหายไปทั้งหมดก็รู้สึกตัวอีกครั้ง และกลับเข้าด้านในหอการค้า
“อาวุโสฟงผิง หัวหน้าหลานได้ให้ชาข้ามาเมื่อครึ่งเดือนก่อนตอนที่ท่านไม่อยู่ ท่านไม่มาลองชิมดูหน่อยเล่า?” จ้าวอวี่ชักชวนฟงผิงไปจิบชาที่บ้านของมัน
ประกายตาของฟงผิงเรืองขึ้นในทันใด ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ ชาของผู้นำหลาน นับว่าเป็นชาชั้นเลิศยิ่งนัก…เช่นนั้นข้าต้องไปรบกวนท่านสักคราแล้ว” แล้วจ้าวอวี่ก็พาฟงผิงเข้าไปด้านใน ส่วนศิษย์สายในคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปตามทาง
ไม่มีใครทันได้สังเกตเลยว่า …ยามนี้จ้าวเหล่ยเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาไม่หยุดตั้งแต่ต้วนหลิงเทียนจากไป
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ต้วนหลิงเทียนเมื่อเริ่มออกเดินทาง เขาก็ไม่ได้ประมาทอะไร แผ่พลังวิญญาณใช้ออกด้วยจิตสัมผัสอันละเอียดอ่อน เฝ้าระวังเรื่องราวรอบๆ
และในตอนแรกที่เริ่มแผ่จิตสัมผัสออกไป พลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก็เหมือนจับเค้าลางอะไรได้บางอย่างแต่ยังไม่ชัดเจนเท่าไรและเพียงพริบตามันก็หายไป เขาทำได้เพียงสงสัยเล็กน้อยเท่านั้น ปากกล่าวพึมพำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “หืม? หรือข้าจะคิดไปเอง”
แต่ทว่าเมื่อเขาเดินไปถึงซอยเล็กๆเปลี่ยวๆ ไร้คนสัญจร เขก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมาเขม็งจากด้านหลัง…
จำเป็นต้องบอกเลยว่า คนที่สะกดรอยตามเขามาครั้งนี้ นับว่ามีฝีมือพอใช้ได้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์แรกสัมผัสธรรมชาติธรรมดาๆคนอื่น คงยังไม่สามารถจับสัมผัสมันได้แน่นอน
โชคร้ายที่ความสามารถในด้านการสะกดรอยและย้อนรอยของต้วนหลิงเทียนนั้น เข้าขั้นผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาชีพเก่าของเขาล้วนอาศัยเรื่องนี้เป็นหลัก ทำให้เขาสามารถจับสัมผัสได้ทันทีหากใครคิดมุ่งร้ายหรือจ้องมาที่เขา กระทั่งยังระบุตำแหน่งผู้ที่ลอบสะกดรอยตามได้ในพริบตา
ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยพลังวิญญาณที่แผ่ออกไป เขายังระบุระดับบ่มเพาะของผู้ที่สะกดรอยตามมาได้ในทันใด
“ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 1 เช่นนั้นหรือ?…จ้าวอวี่…เจ้าตีค่าไว้สูงเช่นนี้เลย” ต้วนหลิงเทียนถูจมูกเล็กน้อยก่อนที่จะเผยยิ้มชั่วร้ายออกมา เขายกแขนขึ้นมาแล้วกล่าวเบาๆ “เสี่ยวจิน เดี๋ยวเจ้าไปจับสหายผู้โชคร้ายด้านหลังมาให้ข้าที…อ่อเจ้าอย่าพึ่งฆ่ามันเสียล่ะ ข้ามีอะไรจะกล่าวถามมันสัก 2-3 ข้อ”
"ฮิฮิ ได้ๆๆ! มันอยู่ไหนเล่า บอกข้าเร็ว!!" เสียงผ้านพลังงานต้นกำเนิดของเจ้าหนูตัวน้อยตอบกลับมาอย่างเริงร่า ท่าทางมันจะสนุกสนานกับเรื่องราวเช่นนี้ไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร
นี่เพราะตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาเจ้าเสี่ยวจินไม่ได้ลงไม้ลงมือสู้กับอะไรเลย มันคงรู้สึกเหมือนถูกขังคุกขังตารางบ้างแล้ว..
ตอนนี้ความอึดอัดที่เก็บไว้แน่นอนว่าย่อมอยากหาที่ระบาย…
ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เลี้ยวเข้าตรอกแคบๆที่ไร้ผู้คนสัญจรอย่างสิ้นเชิง
ด้วยพลังวิญญาณที่แผ่ใช้จิตสัมผัส เขาสัมผัสได้ถึงผู้ฝึกยุทธ์แรกสัมผัสธรรมชาติคนนั้น ที่กำลังย่นระยะเข้ามาหมายลงมือจัดการเขาในทีเดียว
“เสี่ยวจินลงมือ! ไปลากมันออกมา! มันอยู่ด้านหลังข้า 7 ก้าว เยื้องไปทางขวาหลังต้นไม้” ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดบอกตำแหน่งของผู้ฝึกยุทธ์แรกสัมผัสธรรมชาตินั่นให้เสี่ยวจิน
“จี๊ด จี๊ดดด~” เจ้าหนูตัวน้อยร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว มันพุ่งร่างออกมาดั่งลำแสงสีทองออกจากแขนเสื้อต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะหายลับไปด้วยความฉับไว
หลังจากไม่กี่ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงฟาดผ่าของอัสนีดังขึ้นด้านหลัง
เป็นเจ้าเสี่ยวจินใช้ครึ่งก้าวพลังสายฟ้าช็อตรังแกผู้คนเป็นแน่
พริบตาต่อมา
เปรี๊ยงงงงง ตึง!!
"อ๊าคคค!" เสียงซัดทำร้าย และเสียงวัตถุหนักหน่วงตกระแทกพื้นดังตึง ดังขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวน
ต้วนหลิงเทียนหันกลับไปก็เห็นชายวัยกลางคนในสภาพน่าเวทนา ส่วนเจ้าหนูขนทองตัวน้อยที่ลอยตัวอยู่บริเวณศีรษะอีกฝ่าย ถือกระบี่เล่มจิ๋วจิ้มเล่นไปยังศีรษะผู้คนจนเลือดซิบๆ
“อย่าฆ่าข้าเลย ได้โปรด! อย่าฆ่าข้าเลย!” แม้ว่าเสี่ยวจินจะเป็นสัตว์อสูรตัวเล็กๆในสายตาผู้คน แต่สำหรับชายวัยกลางคนแล้ว ตอนนี้เสี่ยวจินดั่งสัตว์อสูรปีศาจที่ดุร้าย ทำให้มันบังเกิดความหวาดกลัว จำต้องกรีดร้องขอชีวิตออกมาอย่างน่าสังเวช
“เจ้าเป็นใคร? เป็นจ้าวอวี่ส่งเจ้ามาติดตามข้ามาใช่หรือไม่?” ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังชายวัยกลางคนก่อนที่จะกล่าวถามออกมา
แต่ชายวัยกลางคนไม่ได้สนใจอะไรต้วนหลิงเทียน มันทำเพียงมองไปยังเสี่ยวจินด้วยสายตาหวาดกลัว
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกชายวัยกลางคนละเลย เขาหันไปกล่าวกับเสี่ยวจิน “เสี่ยวจิน ถ้ามันไม่ตอบคำถามข้าภายใน 3 ลมหายใจ เจ้าจัดการมันได้ตามใจเจ้าเลย…”
"จี๊ดด~" เสี่ยวจินรีบพยักหน้ารับด้วยความยินดีเมื่อได้ยินคำกล่าวต้วนหลิงเทียน ดวงตาคู่หยกของนางทอประกายดุร้ายออกมา กระบี่วิญญาณระดับ 6 ในมือ เริ่มเรืองรองส่องแสงขึ้นมาด้วยพลังงานต้นกำเนิด
"เจ้า … พวกเจ้าทั้งทั้งคู่ … " ใบหน้าชายวัยกลางคนซีดลงโดยพลัน มันไม่คิดเลยว่าศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวคนนี้จะมีสัตว์อสูรปีศาจคอยติดตามคุ้มครองเช่นนี้
"บัดซบ! จ้าวอวี่ เจ้านำพาความฉิบหายมาสู่ข้าแล้ว! สาวเลวเอ๊ย!!" ชายวัยกลางคนขบเคี้ยวจนกรามแทบแตก ในใจบังเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา "หากว่าก่อนหน้านี้ข้ารู้สักนิดว่าเด็กนี่มีสัตว์อสูรปีศาจเช่นนี้คุ้มครองอยู่ล่ะก็ …ข้าคงมิยอมรับกระทำเรื่องนี้ ต่อให้จ้าวอวี่จะจ่ายราคามากกว่านี้!"
"เจ้ายังเหลือ 1 ลมหายใจ" น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนยังคงสงบราบเรียบ ราวกับเรื่องที่กล่าวไม่ได้สลักสำคัญอะไร
ชายวัยกลางคนสะดุ้งไปโดยพลัน มันไม่คิดเลยว่าในระหว่างที่มันเหม่อคิดไป จะกินเวลาไปแล้วกว่า 2 ลมหายใจ..
ตอนนี้เมื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูมันอีกครั้ง มันรู้สึกว่าเสียงต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรไปจากเสียงเพรียกแห่งความตาย…ทำให้สีหน้าของมันยิ่งมายิ่งซีดลงแล้ว!
และเมื่อมันเห็นว่ากระบี่วิญญาณเล่มจิ๋วในมือของ หนูสีทองที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของมันเริ่มเรืองแสงขึ้นมา มันก็รีบหันกลับไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัว สายตายังมองมาอย่างหวาดผวา “ข้าบอกแล้ว ข้าจะบอกท่านแล้ว!”
"จี๊ด จี๊ดด ~" เจ้าหนูขนทองตัวน้อยรู้สึกเสียดายไม่น้อย มันยกมือน้อยๆอีกข้างที่ไม่ได้ถือกระบี่ ตบฟาดไปที่ศีรษะชายวัยกลางคน พร้อมขยุ้มดึงเส้นผมออกมาเป็นหย่อมอย่างฉุนเฉียว ราวกับมันจะประท้วง "ใยเจ้าขี้กลัวนักเล่ารีบกล่าวทำไม? ข้าเลยไม่ได้ถลกหนังเจ้าเล่นเลย.. "
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายวัยกลางคนด้วยสายตาไม่แยแส กล่าวออกมาอย่างเฉยชา “ว่ามา”
"ได้ๆ" ชายวัยกลางคนรีบพยักหน้ารับคำออกมาอย่างตื่นกลัว "เป็นจ้าวอวี่ที่จ้างให้ข้ามาฆ่าท่าน แลกกับเงินก้อนโต… "
"ฆ่าข้า?" ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนลดต่ำลงเล็กน้อย ในแววตาเริ่มเย็นลง
"มิผิด" ชายวัยกลางคนยังคงกล่าวสืบต่อ "มันให้ข้าสังหารท่านและกำจัดศพให้เรียบร้อย แย่งชิงแหวนมิติของท่านมาให้จงได้…มันยังกล่าวอีกว่า มันไม่ต้องการอะไรในแหวน นอกจากวิชาบ่มเพาะที่ท่านมีอยู่"
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
ในตอนแรกเขาคิดว่าจ้าวอวี่คิดล้างแค้นให้จ้าวเหล่ย เลยส่งผู้ฝึกยุทธ์แรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 1 ให้มาสังหารเขาเช่นนี้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ได้ง่ายเช่นนั้นแล้ว
“วิชาบ่มเพาะอะไร?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
ชายวัยกลางคนไม่กล้าลังเลอะไร รีบกล่าวออกมาอย่างหวาดกลัว “เป็นวิชาบ่มเพาะ คัมภีร์ชำระเส้นเอ็นเปลี่ยนไขกระดูก..มิใช่…เป็นวิชา คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก”
"คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก?" ม่านตาของต้วนหลิงเทียนหดแคบลง ในใจบังเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก
‘จ้าวอวี่มันไปรู้เรื่องคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกนี่ได้อย่างไรกัน? ว่ากันไปแล้ว นอกจากข้า จ้าวหลินแล้วสมควรไม่มีใครรู้จักชื่อนี้ เพราะนี่เป็นชื่อที่ข้าอุปโลกน์ขึ้นมาจากโลกเก่า…หืม จ้าวหลิน…แซ่จ้าว… พวกมันแซ่จ้าวเหมือนกัน หรือพวกมันมีความสัมพันธ์กัน?’ ความคิดเริ่มโลดแล่นในหัวต้วนหลิงเทียน ก่อนที่สายตาของเขาจะเผยจิตสังหารอำมหิต หันมามองชายวัยกลางคนแล้วกล่าวถามออกมา “ในเมื่อจ้าวอวี่มันส่งเจ้ามาฆ่าข้า เช่นนั้นเจ้าเองก็คงมีความสัมพันธ์ กับมันไม่น้อย…เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวอวี่มันมีพื้นหลังอะไรในนิกายกระบี่ 7 ดาว?”
“ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยิน จ้าวอวี่กล่าวถึง ว่าปู่ใหญ่ของมัน เป็นผู้พิทักษ์อาวุโสของนิกายกระบี่ 7 ดาว” ชายวัยกลางคนรีบกล่าวออกมาอย่างตัวซีดปากสั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอำมหิตกระหายเลือดของต้วนหลิงเทียน และเมื่อเห็นกระบี่วิญญาณในมือเสี่ยวจิน มันก็รีบพ่นทุกสิ่งอย่างอกมา
“ก็ว่าแล้วเชียว!”ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ในทันที
ที่แท้จ้าวอวี่กับจ้าวหลินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน…
“บางทีตอนจ้าวอวี่ส่งคนไปถามเรื่องระบุตัวตนของข้าที่นิกายกระบี่ 7 ดาว มันคงใช้ให้คนไปหาจ้าวหลิน…เช่นนั้นพอ ตัวบัดซบจ้าวหลินนั่นรู้ว่าข้าอยู่เมืองโบราณชั่วนิรันดร์ มันจึงรีบส่งข่าวบอกจ้าวอวี่ว่า ข้ามีวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก! …ดูเหมือนไอจ้าวอวี่นี่ก็คิดละโมบอยากได้ วิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกที่กล่าวอ้างนี่ขึ้นมาอีกคน” เรื่องราวทั้งหมดต้วนหลิงเทียนเดาได้ไม่ยาก
"จ้าวอวี่ จ้าวหลิน…ในเมื่อพวกเจ้าทั้ง 2 คนอยากได้คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกนี่นักหนา เช่นนั้นข้าก็จะให้พวกเจ้าได้สมใจ!" ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนดูเหมือนจะนึกถึงเรื่องราวบางอย่างที่น่าสยดสยองได้จากโลกเก่า มุมปากของเขาพลันเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
รอยยิ้มชั่วร้ายนี้แน่นอนว่า ชายวัยกลางคนย่อมเห็นได้ชัดเจน ยิ่งมามันยิ่งหวาดกลัว ขนทั่วทั้งตัวลุกชัน ร่ำไห้บ่อน้ำตาแตก ฟูมฟายออกมาใหญ่แล้ว “นายน้อยข้าจะบอกทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ท่านอยากรู้…อย่าฆ่าข้าเลย อย่าทำข้าเลย! ข้ามีมารดาชราอยู่ที่บ้าน อย่าทำข้าเลยได้โปรด ไว้ชีวิตข้าเถอะ!”
“เอาล่ะๆ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า… ถ้าเจ้าช่วยกระทำเรื่องราวบางอย่างให้ข้า…และข้าจะลืมความบาดหมางครั้งนี้!” ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาอย่างไม่แยแส
“ขอบคุณขอรับ! นายน้อย!! ขอบคุณท่านมากขอรับนายน้อย!” ชายวัยกลางคนโล่งใจอย่างถึงที่สุดมันรีบพยักหน้าระรัวด้วยความยินดี
“ไปหาสถานที่เงียบสงบใกล้ๆนี่ให้ข้า …ข้าต้องจัดเตรียมบางสิ่ง” ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายวัยกลางคนพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ก่อนที่จะมองไปยังเสี่ยวจินพร้อมยิ้มบางๆ “เสี่ยวจินตามมันไป…ถ้ามันคิดต่อต้านหรือเล่นไม่ซื่ออะไร ฆ่ามัน!”
"จี๊ดดด ~" หนูสีทองตัวน้อยพุ่งร่างดั่งลำแสงไปนั่งบนไหล่ของชายวัยกลางคน มือยังลูบไปที่ลำคออีกฝ่ายเบาๆ
ชายวัยกลางคนร่างแข็งทื่อไปในทันใด “ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
ครู่ต่อมาชายวัยกลางคนก็หาโรงเตี้ยมที่เงียบสงบแห่งหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนเข้ามาในห้องปิดล้อคอย่างแน่นหนา ก่อนที่จะนั่งลง และเริ่มหยิบคัมภีร์เปล่าออกมาเล่มหนึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มหยิบชุดพู่กันและแท่งน้ำหมึกออกมาฝนหมึก
ชายวัยกลางคนยังถูกคุมตัวอยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าตุกติกอะไร
เจ้าเสี่ยวจินที่อยู่บนไหล่ของชายวัยกลางคนก็เฝ้าดูการกระทำของต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ มันไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังทำอะไร แต่ท่าทางจะจริงจังไม่น้อย
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังจะ เขียนตำราวิชาบ่มเพาะขึ้นมา
ส่วนแรกของวิชาบ่มเพาะนั้น ต้วนหลิงเทียนเลือกมาจากวิชาบ่มเพาะระดับเลิศล้ำระดับต้นๆในทวีปเมฆาล่อง จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด เขาเริ่มเขียนมันลงไปอย่างบรรจง…
ส่วนครึ่งหลังนั้นเขา ได้เขียนมันด้วยความคิดสนุกสนานจับนู่นนี่นั่นมาผสมไปมา จนเรียกได้ว่า พิสดารจนไม่รู้ว่ากระทำได้หรือไม่ได้
และในหน้ากลางเชื่อมระหว่างครึ่งแรกกับครึ่งหลังนั้น เขาก็ได้เขียนใจความสำคัญ อันต้องกระทำก่อน หาไม่แล้วจะไม่สามารถฝึกฝนวิชาบ่มเพาะครึ่งหลังได้เลย
ประการที่หนึ่ง จำเป็นปลิดปลงเครื่องเพศลงมือตอนตน ถึงจะสามารถฝึกฝนเดินพลังในวิชาบ่มเพาะครึ่งหลัง ได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด
หากไม่ปลิดปลงองค์ชาติตอนตนแล้วไซร้ ไม่อาจสำเร็จวิชาเลิศล้ำดั่งเทพเซียน
เพียงฝึกฝนสำเร็จ ดั่งเสมือนเกิดใหม่ ทุกสิ่งงอกเงยกลับคืน ร่างบรรลุจุดสูงสุดแห่งยุทธ์!
และสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไปเขียนคำ 4 คำ ไว้ที่หน้าปกของคัมภีร์เล่มนี้
เปลี่ยนเส้นเอ็น ชำระไขกระดูก!
“บทเริ่มแรกนับว่าเลิศล้ำเพียงพอที่จะดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนแน่นอน และหากลองฝึกย่อมสัมผัสได้ว่าพลังงานโคจรเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล…แต่ครึ่งหลังนี่ เกรงว่าเทพเซียนก็คงไม่อาจฝึกฝนได้ข้าล่ะอยากเห็นสีหน้าของพวกมันนักยามที่พวกมันไม่อาจฝึกฝนวิชาครึ่งหลังได้ …แล้วพอพวกมันเห็นคำอธิบายหน้ากลาง นั่นพวกมันจะทำอย่างไร” รอยยิ้มชั่วร้ายเผยออกมาบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน
เขามั่นใจว่าตอนนั้นสีหน้าของคนตระกูลจ้าวยามได้เห็นเรื่องที่ต้องกระทำก่อนฝึก… ต้องน่าดูชมเป็นแน่!!
และหมึกที่ต้วนหลิงเทียนใช้เขียนคัมภีร์เล่มนี้ ก็เป็นหมึกโบราณตำราเองก็เช่นกัน อีกทั้งเขายังได้ใช้กรรมวิธีแยบยลทำให้มันเสมือนคัมภีร์เก่าแก่โบราณ ยากนักที่ใครจะแยกแยะออกว่า มันเป็นคัมภีร์ที่มีอายุกี่ร้อยพันปีกันแน่
“ตราบใดที่พวกมันลองได้ฝึกวิชาบ่มเพาะนี่ครึ่งแรก พวกมันย่อมต้องหลงใหล และโงหัวไม่ขึ้นเป็นแน่!” นี่เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมั่นใจมาก!