สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 416 : ลูกพี่ลูกน้อง
บทที่ 416 : ลูกพี่ลูกน้อง
“ฮึ่ม!! วันนี้หากมิใช่เพราะมีคนๆหนึ่งลงมือตามอำเภอใจ กลุ่มโจรร้ายคงมิได้คุ้มคลั่งลงมือแลกชีวิตกัน จนพวกเราต้องวุ่นวายกันไปหมดเช่นนี้!”
“เฮ่อ…คนทั้งคู่ต่างก็เป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวดุจเดียวกันแท้ๆ เหตุใดถึงได้แลแตกต่างกันยิ่งนัก คนๆหนึ่งมีฝีมือเหนือชั้นแต่งำประกาย ส่วนอีกคน ตัวไร้สามารถกลับพยายามสร้างเรื่องราวเรียกร้องความสนใจ…เพ้ย! หากมิใช่เพราะอาวุโสฟงผิงลงมือทำลายระดับบ่มเพาะหัวหน้าโรจไปเช่นนั้น! มันจักมีความกล้าลงมือหรือไม่?
"นับว่าเป็นโชคดียิ่งแล้ว ที่พี่น้องเรามิมีผู้ใดตกตายเพราะเหล่าโจรร้ายนั่นบ้าคลั่ง หาไม่แล้วล่ะก็ … เหอะ!"
…
เหล่าผู้คุ้มกันของหอการค้ากู่เหอต่างสนทนากันอย่างครึกครื้น ประเด็นของเรื่องเหมือนจะบ่งชี้ไปยังบางสิ่ง…
ใบหน้าของจ้าวเหล่ยก้มลงต่ำโดยพลัน … มันยังจะไม่รู้อีกหรือ ว่าเรื่องที่ผู้คนกำลังสนทนากัน พุ่งเป้ามาที่มัน!
"ต้วนหลิงเทียน เจ้ายังอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4 จริงๆหรือ?" อีกด้านหนึ่งนั้น …ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงส่งผ่านพลังงานต้นกำเนิดดังขึ้นในหู
ต้วนหลิงเทียนย่อมระบุได้ทันที ว่าน้ำเสียงนี้เป็นของฟงผิง เขาเองก็ตอบกลับทันที “ใช่”
ม่านตาของอาวุโสฟงผิงหดแคบลงเมื่อได้รับการยืนยันจากต้วนหลิงเทียน…
"แล้ว…เจ้าสามารถเข้าใจพลังลม เช่นนี้ได้อย่างไร? จากที่ข้ารู้มา ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังมิถึงขั้นแรกสัมผัสธรรมชาติ อย่างดีก็ทำได้เพียงเข้าใจเมล็ดพันธุ์พลัง หาใช่พลังที่แท้จริงเช่นเจ้า…เรื่องนี้มัน…??"
การส่งเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของฟงผิงดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ครานี้มันเต็มไปด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ ทั้งยังแฝงความใคร่รู้ไว้ไม่น้อย
เพราะเท่าที่ฟงผิงรู้ เรื่องราวพวกนี้เป็นดั่งกฎเหล็กของทวีปเมฆาล่องไปแล้ว และมันไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดกระทำได้เช่นนี้มาก่อน!
ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับสามารถทำลายกฎเหล็กนี่ลงได้ มันเป็นเรื่องเหนือสามัญสำนึกนัก! มันตกตะลึงจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว!
"ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ก่อนที่จะส่งเสียงกลับไป "ข้าก็แค่ …พยายามเข้าใจมัน แล้วข้าก็เข้าใจมันได้…"
ฟงผิงอึ้งค้างราวกับตัวโง่งม
พยายามเข้าใจมัน แล้วก็เข้าใจมันได้…แล้วนี่มันหมายความว่าไรเล่า?
นี่ยังต่างจากการเงียบไปไม่กล่าวตอบ ตรงไหนกัน?
แต่ฟงผิงก็เข้าใจได้ทันที ว่าเรื่องราวเช่นนี้สมควรเป็นความลับสำคัญ… และหากเป็นตัวมันเอง มันก็คงไม่กล่าวความลับสำคัญเช่นนี้ออกมาโดยง่าย!
ตัวมันเข้าใจดี …ว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่เต็มใจจะบอกกล่าวเรื่องราวเช่นนี้ …
การเดินทางหลังจากนั้นเรียกได้ว่าสงบไร้เรื่องราว….
หลังจากที่ใช้เวลาอีกเกือบเดือน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนและคาราวานพ่อค้าของหอการค้ากู่เหอ ก็เดินทางใกล้ถึงที่หมายเต็มทีแล้ว
“พวกเราจักถึงที่หมายในอีก 5-6 วันหลังจากนี้" ฟงผิงมองไปยังต้วนหลิงเทียน และเมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนหันมองทางไปมาด้วยความสงสัย มันก็กล่าวตอบพร้อมยิ้มออกมา
หลังจากที่มันได้เป็นประจักษ์พยานในความแข็งแกร่งอันน่าตื่นตะลึงของต้วนหลิงเทียน มุมมองที่มันมีต่อต้วนหลิงเทียนก็แปรเปลี่ยนไป
ในทวีปเมฆาล่องแห่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมเป็นที่เคารพนับถือ
แม้ตอนนี้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียนจะยังคงต่ำกว่าตัวมัน แต่พรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์อันสูงล้ำของต้วนหลิงเทียนนั้น เรียกได้ว่าสูงดั่ง ปีศาจ และ หาผู้ทัดทานยากนัก
ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่งเหนือกว่ามัน ก็คงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น อีกทั้งคงอีกไม่นานและไม่ได้ยากเย็นอะไร…
“โอ้ นี่พวกเราใกล้จะถึงแล้วหรือ ?” ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมเห็นได้ชัดเน ว่ามุมมองของฟงผิงที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนไป
โลกนี้มันก็เป็นเช่นนี้…ผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพนับถือ
กลับกัน หากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งและพลังอำนาจใดๆ ก็ไม่ต่างจากมดปลวก ที่ให้ผู้คนย่ำเหยียบ
ณ ขุนเขาเทียนเฉวียน นิกายกระบี่ 7 ดาว
วันนี้แขกแปลกหน้าคนหนึ่ง…ได้เดินทางมาถึงที่พักของอาวุโสฝ่ายนอกจ้าวหลิน อันเป็นหุบเขาโล่งโปร่งแสงแดดส่องถึง ที่ปกติไม่ค่อยจะมีผู้ใดย่างกรายเข้ามา
“ขออภัยขอรับใต้เท้า ….ท่านคือ อาวุโสจ้าวหลิน ของนิกายกระบี่ 7 ดาวใช่หรือไม่?” แขกแปลกหน้าอันเป็นชายคนหนึ่งกล่าวถามจ้าวหลิน อย่างสุภาพนอบน้อม
"เจ้า …หืม…ชุดนี้.. คนของหอการค้ากู่เหอเช่นนั้นหรือ?" สายตาของจ้าวหลิน มองไปยังตรา กู่ บนอกเสื้อของชายหนุ่ม คิ้วของมันโค้งขึ้นเล็กน้อย "เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ส่งเจ้ามาหาข้างั้นหรือ?"
“ลูกพี่ลูกน้อง?” ชายหนุ่มที่เป็นคนของหอการค้ากู่เหอ อดที่จะแปลกใจออกมาไม่ได้ เมื่อได้ยินคำกล่าวถามแปลกๆของจ้าวหลิน
"อา…ลูกพี่ลูกน้องของข้า เรียกว่า จ้าวอวี่" จ้าวหลินกล่าวไขข้อสงสัย
"เช่นนี้นี่เอง …ถูกแล้วขอรับ เป็นอาวุโสจ้าวอวี่ให้ข้าออกเดินทางมาหาท่านตั้งแต่เดือนที่แล้ว …เพื่อมอบจดหมายนี่ให้แก่ท่านขอรับ" ชายจากหอการค้ากู่เหอ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแหวนมิติแล้ว มอบให้แก่จ้าวหลิน
“จดหมาย?”จ้าวหลินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เมื่อได้รับจดหมาย
มันย่อมบังเกิดความสงสัยอยากรู้อยากเห็นในใจไม่น้อย ว่าทำไมลูกพี่ลูกน้องของมันถึงได้ส่งจดหายมาหามัน ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลา 3 ปีมานี้ ไม่ได้มีการติดต่ออะไรกันสักครั้ง…
ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เป็นหลานชายของ พี่แท้ๆปู่มัน ภายในตระกูลจ้าวนั้น คนที่มีศักดิ์ญานะและอยู่รุ่นเดียวกับมัน ก็เหลือเพียงจ้าวอวี่ลูกพี่ลูกน้องของมันคนนี้
ตอนนี้ตระกูลจ้าว…ก็เรียกได้ว่า เหลือกันอยู่ไม่กี่คนแล้ว
นอกจากปู่ของมัน กับลูกพี่ลูกน้องคนนี้… ก็มีเพียงบุตรชายของมันกับบุตรของอีกฝ่ายเท่านั้นที่หลงเหลือกันอยู่ในตระกูลจ้าว
จ้าวหลินเปิดซองจดหมาย
"นานแล้วมิได้พบเจอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างน้องจ้าว? ทั้งยังเนิ่นนานแล้วพี่ชายไม่ได้ความคนนี้มิได้ติดต่อมา แต่ข้าเองยังคงคิดถึงเจ้าและท่านปู่อย่างยิ่ง…วันนี้มีแขกที่น่าตื่นตระหนกมาปรากฏตัวที่หอการค้ากู่เหอสาขาเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ที่ข้าอยู่ มันกล่าวว่ามันเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาว… "
"เรื่องนี้นับว่ายากขะเชื่อนักเพราะมันมีอายุเพียงแค่ 22 ปีเท่านั้นทว่าความแข็งแกร่งของมันนั้นนับว่าน่าทึ่งนัก …ความแข็งแกร่งของมันกระทั่งยังเหนือกว่าจ้าวเหล่ยเสียอีก… มันถึงกับบรรลุระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4 ไปแล้ว … "
ม่านตาของจ้าวหลินหดแคบลงโดยพลันเมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายถึงตรงนี้…
"นี่มัน…หรือว่า…?" จ้าวหลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมอ่านต่อ
"ชายหนุ่มคนนี้เรียกว่า ต้วนหลิงเทียน ข้ายังไม่แน่ใจและบังเกิดความสงสัยในคำกล่าวของมัน ว่าที่แท้แล้วมันจริงหรือลวง จำต้องเขียนจดหมายมากล่าวถามความเจ้า …ว่านิกายกระบี่ 7 ดาวเรา มีศิษย์อันโดดเด่นเช่นนี้อยู่จริงหรือไม่? รบกวนเจ้าช่วยเขียนจดหมายตอบกลับ เพื่อไขข้อสงสัยให้พี่ชายไม่ได้ความผู้นี้ด้วย…"
จ้าวหลินอ่านจดหมายต่อจนจบ
“ฮ่ะๆๆ! ฮ่าๆๆๆๆ!!!”
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น จ้าวหลินก็เริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ราวกับว่ามันได้พบพานความสุขครั้งยิ่งใหญ่
‘เป็นสวรรค์ ส่งเสริมข้าแล้ว!!’ จ้าวหลินบังเกิดความสุขเอ่อล้นขึ้นมาในใจ
‘ต้วนหลิงเทียน ข้ามิแปลกใจเลย ว่าใยเจ้าถึงได้หายตัวไปเป็นเดือนๆ… ที่แท้เป็นเจ้าออกเดินทางไปยังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์นี่เอง…ข้าคิดว่าเจ้าคงคาดไม่ถึงเป็นแน่ ว่าผู้อาวุโสของหอการค้ากู่เหอ จ้าวอวี่ผู้นั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า!!’ เมื่อนึกถึงตรงนี้ในใจของจ้าวหลินบังเกิดความตื่นเต้น จนแทบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
ประกายเย็นชายะเยือกวาวสว่างขึ้นมาในดวงตาจ้าวหลิน ‘ต้วนหลิงเทียน…ยามนี้เจ้ามิต่างไปยืนค้างที่ประตูนรกแล้ว…ยามนี้ได้เวลาที่ข้าจะให้เจ้าได้ตายตก!!’
"เอาล่ะ เจ้าไปรอข้าก่อน ข้าจักเขียนจดหมายเพื่อตอบกลับพี่ชายของข้าสักครู่" จ้าวหลินมองไปยังคนของหอการค้ากู่เหอพร้อมกล่าว
“ขอรับ ใต้เท้า” ชายคนนั้นก็กล่าวตอบคำอย่างสุภาพ
…จ้าวหลินสะบัดมือขึ้นมาคราหนึ่ง ก็ปรากฏ ชุดฝนหมึกพร้อมพู่กัน ทั้งยังกระดาษอีกแผ่น มันนั่งลงเขียนจดหมาย อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะพับกระดาษจดหมายใส่ซองปิดผนึกอย่างดี
“เอาล่ะ จำไว้เจ้าต้องส่งจดหมายนี่ให้ถึงมือของอาวุโสจ้าวอวี่!! ส่วนเงินนี่เป็นรางวัลให้เจ้าล่วงหน้า!”จ้าวหลินส่งมอบจดหมายที่เขียนอยู่นานให้ชายหนุ่ม ก่อนที่จะหยิบตั๋วเงินปึกใหญ่ ยื่นส่งไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า…!
“ใต้เท้าจ้าวหลินอย่าได้กังวลไปขอรับ! หากข้าผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่จดหมายนี่ต้องถึงมืออาวุโสจ้าวอวี่แน่นอนขอรับ! หากมิถึงมืออาวุโสจ้าวอวี่ ข้ายินดีชดใช้ด้วยชีวิต!!” เมื่อได้รับตั๋วเงินปึกหนา มองคร่าวๆพบว่าเป็นตั๋วเงินใบละหมื่นเหรียญทองสงตาของมันแทบถลน…เรียกได้ว่าตั๋วเงินปึกนี้ยังมีจำนวนมหาศาลยิ่งกว่าค่าจ้างชั่วชีวิตของมันเสียอีก มันจึงกล่าวคำมั่นออกมาด้วยความยินดี!!
“เอาล่ะๆ เจ้าไปได้แล้ว!”จ้าวหลินโบกมือให้มัน
“ขอรับใต้เท้า” ชายหนุ่มรีบจากไปอย่างยินดี ปากฉีกยิ้มไม่หยุดหุบไม่ลง …ต่อจากนี้ไปแม่ผู้ชราพร้อมบิดาพิการ อีกทั้งภรรยาใหญ่น้อยทั้งหลายจักได้อยู่สุขสบายกันแล้ว!!
“ท่านพี่…อนาคตตระกูลจ้าวเรายามนี้… ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว…หากท่านได้รับวิชาบ่มเพาะคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกจากต้วนหลิงเทียนนั่นล่ะก็…ตระกูลจ้าวของเราต้องพลิกฟื้นกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง!!” ประกายตาของจ้าวหลินส่องแสงเจิดจ้าระยิบระยับ
เมื่อมันได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนไปโผล่ที่เมืองโบราณชั่วนิรันดร์…ใจมันเพียงปรารถนาโบยบินไปยังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ในทันใด เพื่อเข่นฆ่าสังหารต้วนหลิงเทียนลงเสีย!
แต่มันก็รู้ดีว่าจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น….
หากต้วนหลิงเทียนตกตายนอกนิกายเช่นนั้น ประจวบกับจังหวะที่มันไม่อยู่ที่ขุนเขาแล้วล่ะก็… ไม่นานผู้คนย่อมโยงเรื่องราว จนสาวมาถึงตัวมันได้ไม่ยาก
มันย่อมไม่อยากเห็นเรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้น
“ความแข็งแกร่งของพี่ชายข้า ยังเหนือกว่าข้าเสียอีก! หาใช่เรื่องยากอันใดสำหรับเขาไม่ ที่จักลงมือสังหารต้วนหลิงเทียน! และแย่งชิงวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกนั่นมา!!” เมื่อคิดถึงถึงตรงนี้ ปากจ้าวหลินเผยรอยยิ้มสดใสออกมา
…..
อีก 6 วันต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เดินข้ามผ่านทเลทรายไร้สิ้นสุด จนเห็นเมืองๆหนึ่งตั้งอยู่กลางทะเลทรายไกลตา ดูแล้วท่าทางเมืองนี้จะเป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำกลางทะเลทรายแห่งเดียวในละแวกนี้
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังฟงผิงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้ “อาวุโสฟงผิง เมืองนี่เป็นจุดหมายปลายทาง การเดินทางของพวกเราครั้งนี้หรือ?”
"ถูกแล้ว" อาวุโสฟงผิงพยักหน้ารับคำ "เมื่อพวกเราไปถึงเมืองข้างหน้า จะเป็นหน้าที่ของพ่อค้าที่จักไปทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า… เมื่อเสร็จสิ้นแล้วพวกเราจะได้เดินทางกลับเมืองโบราณชั่วนิรันดร์… แต่ในระหว่างที่รอนี้ พวกเราจักได้พักผ่อนดื่มกินดีๆเสียที "
ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองขึนมาวูบหนึ่ง
ในระหว่างการเดินทางตลอดระยะเวลา 1 เดือนมานี้ เขาไม่ได้กินดีอยู่ดี หรือได้พักผ่อนสบายๆ เลยสักคืน
กลุ่มพ่อค้าก็ทยอยเดินทางเข้าเมือง
หัวหน้าผู้คุ้มกันก็รับหน้าที่คุ้มครองเหล่าพ่อค้าไปค้าขาย ส่วนทางด้าน กลุ่มต้วนหลิงเทียน อาวุโสฟงผิงและศิษย์ของนิกายกระบี่ 7 ดาวคนอื่นๆ ก็ไปหาอะไรกินในร้านอาหาร
มื้ออาหารครั้งนี้ผ่านไปอย่างสงบ กระทั่งจ้าวเหล่ยยังไม่คิดก่อกวนหรือสร้างปัญหาอะไร
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ต้วนหลิงเทียนแสดงความแข็งแกร่ง 800 ช้างแมมมอธโบราณออกมาวันนั้น จ้าวเหล่ยก็หวาดกลัวเขาอย่างมากและไม่กล้าที่จะไม่เกรงใจต่อหน้าต้วนหลิงเทียน มันประพฤติตัวเรียบร้อย สงบเสงี่ยมเจียมตัว จนศิษย์สายในอีก 2 คนถึงกับต้องตะลึง และคารวะมันเลยทีเดียว ที่มันไม่สร้างปัญหาอะไร…
ทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ชัดเจนว่าจ้าวเหล่ยเปลี่ยนไป
หลังจากที่อิ่มหนำกับอาหารแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาที่พักเพื่อรอเวลา …และเมื่อกลุ่มพ่อค้าจัดการเรื่องราวต่างๆ เสร็จสิ้น ทั้งหมดก็เริ่มเดินทางมุ่งหน้ากหลับเมืองโบราณชั่วนิรันดร์
และตลอดระยะเวลาเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เวลาในการบ่มเพาะ สั่งสมพลังอย่างขยันขันแข็ง ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปอย่างไร้ค่า…
…..
เวลาก็ล่วงเลยไปว่องไวดั่งเหินบิน
เพียงพริบตา 1 เดือนก็พ้นผ่าน…
วันหนึ่ง…ต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมา พร้อมประกายตาส่องสว่างระยิบระยับราวกับธารดารา
"ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความก้าวหน้าไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนพึ่งลืมตาตื่นได้ไม่ทันไร เสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของฟงผิงก็ดังขึ้นในหู ทันที
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆออกมา
ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของเขาอยู่ในจุดสำคัญ ระหว่างระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 4 และขั้นที่ 5
มีเพียงรอโอกาสอันเหมาะสม โคจรพลังทะลวงผ่านชีพจร ตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 ก็เท่านั้น!
ถึงเวลานั้น ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นได้อีกครั้ง!
‘หากข้าตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 แล้ว…ถึงแม้ว่าข้าจะเผชิญหน้ากับนายน้อยคมมีดอีกครั้ง และต้องสู้กันอีกสักตั้ง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัว ความแข็งแกร่งที่เกิดจากเมล็ดพันธ์พลังมีดอีกต่อไป ต่อให้พลังของมันจะผันผวนไปอยู่จุดสูงสุด ข้าก็ขยี้มันได้สบาย!’ ต้วนหลิงเทียนคิดขึ้นมาอย่างมั่นใจ
“อาวุโสฟงผิง แล้วนี่อีกกี่วันพวกเราจะบรรลุถึงเมืองโบราณชั่วนิรันดร์?”ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามฟงผิง เขาบ่มเพาะพลังจนแทบไม่ได้ดูที่ทางอะไรเลย แน่นอนว่าย่อมไม่รู้ว่าเดินทางไปถึงไหนยังไงแล้ว…
ฟงผิงยิ้มบางตอบ “พวกเราสมควรถึงในอีก 4-5 วัน…แล้วยามนั้น คนที่ข้ากับอาวุโสจ้าวอวี่ส่งไปยังนิกายกระบี่ 7 ดาวก็สมควรกลับมาถึงพอดี ทีนี้พวกเราจักได้ยืนยันตัวตนของเจ้าได้เสียทีเมื่อกลับไปถึง” ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะหลับตาไป และเริ่มบ่มเพาะพลังต่อ
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ หอการค้ากู่เหอ แห่งเมืองโบราณชั่วนิรันดร์
“อาวุโสจ้าวอวี่ขอรับ นี่เป็นจดหมายที่ใต้เท้าจ้าวหลินให้ข้านำมามอบแก่ท่านขอรับ!” ชายหนุ่มที่ได้เงินรางวัลจากจ้าวหลิน ยื่นส่งจดหมายถึงมือจ้าวอวี่ ตามที่มันเอ่ยคำมั่นเอาไว้
“เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”จ้าวอวี่โบกมือ ชายหนุ่มคนนั้นก็จากไป
แคว่ก!
ครู่ต่อมา จ้าวอวี่ก็ฉีกจดหมายเปิดอ่าน…
เพียงอ่านจดหมายไปได้ไม่นาน สายตาของมันก็เบิกโพลงด้วยความตกตะลึง
“ที่แท้ต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่จริงๆเช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนครั้งนี้จ้าวเหล่ยพลั้งพลาดไปแล้ว”จ้าวอวี่ที่อ่านจดหมายไปครู่หนึ่งระบายลมหายใจออกมา และเริ่มอ่านต่อ
“ต้วนหลิงเทียนเพียงเข้านิกายกระบี่ 7 ดาวไปไม่ถึงปี เขาก็สามารถสังหารศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งฉีฮ่าว และกลายเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง ตั้งแต่ตอนอายุ 21…หืม!”
“อีกหนึ่งปีต่อมา เขายังได้สังหารศิษย์สายในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 นามหลิ่วชีเกอบนเวทีประลองเป็นตาย ทั้งๆ ที่ยังมีระดับบ่มเพาะเพียงะรดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9…อะไร?”
“และเมื่อไม่นานมานี้ ในการประลองแข่งขันระหว่างนิกายใหญ่ชั้นนำทั้ง 5 ของอาณาจักรพนาคราม…ต้วนหลิงเทียนเอชนะนายน้อยคมมีด ของนิกายบัวปีศาจคมมีด และคว้าอันดับที่หนึ่ง ในการประลองแข่งขัน นำพาเกียรติยศที่ห่างหายไปนานกว่า 20 ปีมาสู่นิกายกระบี่ 7 ดาว…นี่ นี่!?”
ลมหายใจของจ้าวอวี่ยิ่งมายิ่งหอบถี่ เมื่อได้รับรู้ความในจดหมาย…
มันไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ต้วนหลิงเทียน…ไม่ใช่แค่ศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวเท่านั้น…แต่ต้วนหลิงเทียนยังมีความสำเร็จที่น่าตื่นตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้อีก!