สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 413 : งานคุ้มกันขบวนพ่อค้า
บทที่ 413 : งานคุ้มกันขบวนพ่อค้า
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ
เขารู้ดีว่าที่ฟงผิงให้เขามาอยู่บ้านลานหลังเล็กๆนี่เป็นเพราะอะไร…ไม่พ้นอีกฝ่ายมีเจตนามาคอยเฝ้าจับตาดูเขาเป็นแน่
นี่เพราะตัวตนของเขายังไม่ได้รับการยืนยัน..
"เอาล่ะ" ทันใดนั้นราวกับฟงผิงนึกอะไรออก มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาสงสัย พร้อมกล่าวถาม "แล้วเจ้าไปมีเรื่องราวบาดหมางอะไรกับจ้าวเหล่ยมันเล่า?"
คำถามของฟงผิงทำให้ต้วนหลิงเทียนอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่จ้าวเหล่ยต้องอับอายออกมา โดยเขาเริ่มบอกถึงเรื่องที่เขาให้มันใส่ชุดวันเกิดเข้าเมืองก่อน
หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆเล่าเรื่องราวก่อนหน้า อันเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด
"จ้าวเหล่ยมันกระทำเกินไป!" ฟงผิงขมวดคิ้ว พร้อมระบายลมหายใจออกมา "ต้วนหลิงเทียน ถึงเจ้าจะเอาชนะมันได้ … แต่จะอย่างไรการที่เจ้าลงโทษมันเช่นนี้ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงไม่น้อย เพราะจ้าวเหล่ยนั่นมันเป็นบุตรชายของอาวุโสจ้าวอวี่ แล้วบิดาหรือจะยอมให้บุตรชายอัปยศเช่นนี้ได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็นับว่าทำให้มันเสียหน้าไม่น้อย "
"ข้าเองก็ไม่แปลกใจเลยที่อาวุโสจ้าวอวี่ถึงได้กล่าววาจาเอาเรื่องเช่นนั้น…ดูเหมือนเมื่อครู่มันจะได้รู้เรื่องราวมาแล้ว" เมื่อกล่าวจบฟงผิงก็ส่ายหัวไปมา
ต้วนหลิงเทียนเพียงยักไหล่อย่างไม่แยแส “ข้าไม่เคยทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลหรือเพราะความสนุกสนานส่วนตัว… แต่ถ้ามีใครคิดจะมาก่อกวนกลั่นแกล้งข้าล่ะก็ พวกมันต้องได้รู้…ว่าข้าไม่ใช่ลูกพลับสุกนิ่มๆ ที่ผู้ใดคิดจะมาบีบเล่นได้สนุกมือเมื่อไหร่ก็ได้!” ในขณะที่กล่าวจบประกายแสงเย็นชาเสียดกระดูกพลันเรืองวูบขึ้นมาในแววตาของต้วนหลิงเทียน
ฟงผิงถอนหายใจออกมา
เขาก็ไม่แปลกใจสักเท่าไรที่ต้วนหลิงเทียนจะกระทำเช่นนี้
หากต้วนหลิงเทียนยินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำตามใจผู้คน ไม่ต่อต้านใดๆ เขาคงคิดว่าต้วนหลิงเทียนไม่คู่ควรกับพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ที่สูงส่งเช่นนี้…
ผู้ที่มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูงส่งอย่างต้วนหลิงเทียน สมควรมีความภาคภูมิใจและความทะนงตัวสูงพอสมควร!
“ว่าแต่เพราะเหตุใด ท่านประมุขถึงได้ส่งเจ้ามายังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์แห่งนี้เสียเล่า?” ฟงผิงกล่าวถาม
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ แล้วกล่าวตอบออกมา “ประมุขให้ข้ามาหาประสบการณ์ แล้วก็ฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเองน่ะ”
ฟงผิงพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็เป็นเพราะเช่นนี้นี่เอง…เอาล่ะ เจ้าก็อยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะส่งคนไปยังนิกายกระบี่ 7 ดาวเพื่อไถ่ถามยืนยันตัวตนของเจ้า…การเดินทางไปกลับสมควรใช้เวลาราวๆ 2 เดือน เจ้าเองก็รอไปก่อน ฝึกฝนบ่มเพาะพลังไป …มีอะไรต้องการก็มาหาข้า… อะไรที่เจ้าจัดการได้เอง ข้าก็จะไม่สอดมือ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากนั้นฟงผิงก็จากไป ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว แล้วเขาก็เดินเข้าไปดูในบ้านพัก
ต้วนหลิงเทียนที่เข้าบ้านมาชมดูอยู่เล็กน้อย ก่อนที่จะเดินเข้าไปยังห้องนอน… เมื่อเข้าห้องนอนแล้วปิดประตูได้ไม่ทันไร แสงสีทองก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ
เป็นเสี่ยวจิน
"จี๊ด จี๊ด ~" เสี่ยวจินมองไปยังต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเริ่มร้องออกมา
ตอนนี้เองเสี่ยวจินก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ของสาวน้อยวัยหัดพูดผ่านพลังงานต้นกำเนิดมาเข้าหูต้วนหลิงเทียน “พี่ใหญ่หลิงเทียน จ้าวเหล่ยนี่น่ารังเกียจนัก…บิดามันจ้าวอวี่นั่นอีกคน! ข้ารู้ว่ามันต้องมิใช่ตัวดีอันใด ข้าจะไปฆ่ามันให้ท่านดีหรือไม่?” ในขณะที่เจ้าหนูตัวน้อยกล่าว ประกายตาของดวงเนตรหยกทั้งคู่ ก็เรืองวูบขึ้นมาขณะมองต้วนหลิงเทียน
มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุกขึ้นมาทันที
ดูเหมือนว่า ‘บทเรียน’ ก่อนหน้านี้ ที่เขาสอนสั่งเจ้าหนูตัวน้อยนี่ไป…ล้มเหลวแล้วอย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้จดจำอะไรเข้าหัวสักนิด!
“เสี่ยวจิน…จ้าวอวี่ผู้นั้นไม่ได้ง่ายดาย มันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3…ตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่คู่มือมัน” ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
อาศัยครึ่งก้าวพลังสายฟ้าขั้นสูงและอาวุธวิญญาณระดับ 6 เสี่ยวจินอาจจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะจัดการสัตว์อสูรปีศาจ ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 2
แต่ทว่าตัวตนระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3 นั้น ต่อให้อีกฝ่ายไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องของพลังได้ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่เจ้าเสี่ยวจินจะจัดการได้สักนิด นอกจากนี้จ้าวอวี่ก็เป็นถึงผู้อาวุโสของนิกายกระบี่ 7 ดาวจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่มันจะยังไม่เข้าใจพลัง ทั้งๆ ที่อยู่ในระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3 แล้ว
“แรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 3 ?” เจ้าตัวน้อยรู้สึกพ่ายแพ้ไม่น้อย มันทำได้เพียงนั่งแผละลงไปอย่างหมดอาลัยบนเตียง
“เอาหน่า…ไม่ช้าก็เร็วยังไงเจ้าก็ต้องฆ่ามันได้แน่ๆ… เจ้ายังพึ่งเกิดมาได้ไม่ทันไรเอง…เจ้าพึ่งมีอายุ 7 ปีเท่านั้นเองนะอย่าลืมสิ ส่วนไอจ้าวอวี่นั่นมันฝึกฝนบ่มเพาะมากี่สิบปีแล้วกันเล่า” ต้วนหลิงเทียนเห็นท่าทางของเจ้าหนูน้อยที่หงอยลงไป ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดูมัน จนต้องค่อยๆกล่าวปลอบใจมันออกมา “จะยังไงเจ้าก็มีสายเลือดของหนูสวรรค์นัยน์ตาหยก การที่จะเหนือกว่ามันก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นล่ะ”
เจ้าหนูขนทองตัวน้อยรีบพยักหน้ารับคำออกมา เมื่อได้ยินเสียงปลอบใจจากต้วนหลิงเทียน นัยน์ตาหยกทั้งคู่เผยประกายออกมาอีกครั้ง
แล้วต้วนหลิงเทียนก็พักในบ้านลานของหอการค้ากู่เหอหลังเล็กนี่ไปในลักษณะนี้..
ตอนนี้เองนอกเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ มีร่างสองร่างกำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า ตามกันไปติดๆ แน่นอนพวกมันคือสัตว์อสูรบินได้ ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 พร้อมคนขี่…
ทิศทางที่พวกมันมุ่งหน้าไป ก็คือนิกายกระบี่ 7 ดาว
เสื้อผ้าของคนทั้ง 2 นี้ก็มีสัญลักษณ์หอการค้ากู่เหอติดเอาไว้ แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่เป็นคนของหอการค้ากู่เหอ
ในวันต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับรู้รายละเอียดของหอการค้ากู่เหอสาขาเมืองโบราณชั่วนิรันดร์แห่งนี้
ในด้านทรัพยากรและทรัพย์สิน รวมถึงกองทุนต่างๆ หอการค้ากู่เหอ ยังนับว่าเป็นกลุ่มการค้าระดับกลางๆ ในอาณาจักรพนาครามแห่งนี้เท่านั้น
ทางหอการค้ากู่เหอเองก็มีสัญญากับนิกายกระบี่ 7 ดาว คอยมอบทรัพย์สินและทรัพยากรให้แก่นิกายกระบี่ 7 ดาวทุกๆ ปี ในขณะเดียวกัน ทางนิกายกระบี่ 7 ดาวก็จะดูแลคุ้มครองเรื่องความปลอดภัยให้แก่ หอการค้ากู่เหอ
สำหรับหอการค้ากู่เหอ สาขาเมืองโบราณชั่วนิรันดร์นี้ ก็เป็นอาวุโสฟงผิงแล้วจ้าวอวี่ที่รับผิดชอบทำหน้าที่ นั่นเอง
แน่นอนว่านอกเหนือจากการเฝ้าระวังความปลอดภัยที่หอการค้ากู่เหอนี่แล้ว ยังต้องมีการคุ้มกันขบวนคาราวานพ่อค้า ของหอการค้ากู่เหออีกด้วย
คาราวานพ่อค้านั้น มักไม่อาจหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกับโจรขณะเดินทางอยู่แล้ว นั่นทำให้อาวุโสของนิกายกระบี่ 7 ดาวมักจะรับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันโดยมีลูกศิษย์ไปคอยช่วยเหลือต่างๆ อันเป็นการหาประสบการณ์ไปในตัว….
…
ยามอัสดงเผยแสงแรกของวัน ลำแสงสาดส่องอาบไล้มอบไออุ่นให้สรรพชีวิตทั่วหล้า ทั้งหลายต่างก็เริ่มออกจากนิทราคลายการหลับใหล ตอบรับวันใหม่อย่างแช่มชื่น
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ประกายระยิบระยับส่องสว่างเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง…
“ยังอีกไกลกว่าข้าจะตัดผ่านระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 5 ได้” ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมา ก่อนที่จะออกจากบ้าน ไปยืดเส้นยืดสายที่ลานหน้าบ้าน
"ต้วนหลิงเทียน!" ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นมาจากนอกลาน
“อาวุโสฟงผิง” เมื่อต้วนหลิงเทียนหันไปตามเสียงเรียกก็พบว่า อาวุโสฟงผิงกำลังเดินออกมาจากนอกลาน ตรงมาทางเขา “ท่านมีอะไรให้ข้าทำหรือ?”
หลังจากวันที่เข้ามาถึงหอการค้ากู่เหอนั้น เวลาก็ผ่านไป 7-8 วันแล้ว…
วันนี้เป็นวันแรกที่อาวุโสฟงผิงเดินมาหาเขา
ความคิดแรกของต้วนหลิงเทียนก็คือ ‘หรือ พวกเราจะต้องไปคุ้มกันขบวนพ่อค้า?’
อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนเดานั้นก็ถูกต้อง..
“ต้วนหลิงเทียน หอการค้ากู่เหอ มีสินค้าที่จำเป็นต้องจัดส่ง ข้าจะเป็นผู้นำศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวทั้ง 3 ไปคุ้มกันขบวนพ่อค้า ในอีก 3 วันหลังจากนี้ เจ้าเองก็ต้องมาด้วยเช่นกัน” ฟงผิงกล่าวเข้าเรื่องออกมา
"ย่อมได้" ต้วนหลิงเทียนย่อมตกลง ในที่สุดเอาก็จะได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียที
เขารู้ดีว่าก่อนที่ตัวตนของเขาจะได้รับการยืนยัน อาวุโสฟงผิงย่อมไม่คิดให้เขาคลาดสายตา หายตัวไปไหนแน่นอน
เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้สักนิด เพราะเขาเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวจริงๆ เขายังจะต้องกลัวอะไร
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้บ่มเพาะพลังต่อแต่อย่างไร หลังจากที่อาวุโสฟงผิงจากไป เขาเพียงไปนอนในสนามหญ้าในลานอันสะอาดสะอ้าน… เขานอนหนุนมือไขว่ห้าง แหงนมองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่ เฝ้าดูหมู่เมฆลิ้วล่อง เคลื่อนคล้อยลอยเลื่อนบนผืนนภาสีคราม อาบไล้ไปด้วยแสงตะวันอ่อนๆ
แสงแดดอ่อนๆยามเช้า ก็ทำให้ร่างต้วนหลิงเทียนรู้สึกอบอุ่นสบายตัวไม่น้อย
"จี๊ด จี๊ด ~" ตอนนี้เองเจ้าหนูสีทองตัวน้อยที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของต้วนหลิงเทียน ก็ค่อยๆคลานออกมา และนอนข้างๆต้วนหลิงเทียน มันเองก็เลียนแบบท่านอนของต้วนหลิงเทียน นอนไขว่ห้างกับเค้าด้วยเช่นกัน…
ดวงตาคู่หยกของมันทอประกายฉลาดเฉลียวออกมา ทั้งแฝงความหม่นหมองประการหนึ่ง
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ข้าคิดถึงพี่สาวเค่อเอ๋อ” เสียงเจ้าหนูตัวน้อยดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน
"ข้าเองก็คิดถึงเค่อเอ๋อเหมือนกัน … " ต้วนหลิงเทียนเอื้อมมือไปหยิบเจ้าหนูตัวน้อยมานอนในอุ้งมือก่อนที่จะลูบขนมันเบาๆ “แต่ยามนี้พวกเราก็มาถึงที่นี่แล้ว…อีกไม่นาน เมื่อข้าสามารถยืนยันตัวตนได้สำเร็จ ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นข้างนอกดีหรือไม่”
"ดีๆๆ ข้าไปๆ!" เจ้าหนูขนทองตัวน้อยเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นอย่างยินดี
ประกายแสงเรืองวูบขึ้นมาในดวงเนตรหยกทั้งคู่ของมัน ทำให้นัยน์ตาของมันงดงามเหมือนดวงมณี
ตอนนี้มันได้โยนความคิดถึงเค่อเอ๋อไปไหนแล้วก็ไม่รู้…เรื่องเที่ยวเล่นช่างสำคัญนัก!
"เอาล่ะ แต่เจ้าก็ต้องฟังเงื่อนไขของข้าดีๆ … ถ้ามีคนนอกอยู่เจ้าไม่อาจปรากฏตัวออกมาได้ นี่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง เข้าใจหรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนพลันเปลี่ยนเรื่อง แล้วกล่าวเงื่อนไขออกมา
เจ้าหนูสีทองตัวน้อย ที่ขี้ระแวงแน่นอนว่าย่อมต้องเห็นด้วยกับเงื่อนไขข้อนี้ของต้วนหลิงเทียน โดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆทั้งมวล
3 วันต่อมา
ต้วนหลิงเทียนควบขี่ม้าตัวหนึ่งติดตามอาวุโสฟงผิงมาไม่ห่าง ตอนนี้เขากับคนอื่นๆ กำลังติดตามขบวนพ่อค้าของหอการค้ากู่เหอ ออกจากเมืองโบราณชั่วนิรันดร์
นอกจากเขาและอาวุโสฟงผิงแล้ว ยังมีศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวอีก 2 คน แล้วก็จ้าวเหล่ยที่ติดตามมาด้วยเช่นกัน
ศิษย์สายในทั้ง 2 คนนั่นก็มีอายุเท่าๆกับจ้าวเหล่ย และตอนนี้พวกมันก็ขี่ม้าตีคู่ไปกับจ้าวเหล่ย
ตอนนี้พวกมันก็มองมายังต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยไม่น้อย
" จ้าวเหล่ย เจ้าหนุ่มนี่…เป็นศิษย์สายในจากนิกายเราจริงหรือ?" หนึ่งในศิษย์กระซิบถามจ้าวเหล่ยออกมา
"ฮึ่ม!" จ้าวเหล่ยเหลือบมองต้วนหลิงเทียนด้วยความเย็นชา ไม่คิดจะแยแสอะไร "มันยังไม่นับว่าเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวเรา! เพราะมันยังไม่อาจยืนยันตัวตนของมันได้…พวกเราจะได้รู้เรื่องราวทุกอย่างหลังจากการเดินทางครั้งนี้"
“จ้าวเหล่ย…ว่าแต่เจ้าแก้ผ้า แล้ววิ่งเข้าเมืองด้วยชุดวันเกิด เพราะโดนเจ้าหนุ่มนี่บีบบังคับจริงๆหรือ?” ศิษย์อีกคนหันไปมองจ้าวเหล่ยพร้อมยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน
เรื่องนี้ทำให้จ้าวเหล่ยขุ่นเคืองนัก
ตอนนี้เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นอันรู้กันไปทั่วแล้ว… นับว่าเป็นความด่างพร้อยอย่างหนักหนาในชีวิตของมัน!
ใบหน้าของจ้าวเหล่ยลดต่ำลงทั้งยังเริ่มมืดคล้ำเมื่อมันคิดถึงเรื่องนี้ สองตายังมองไปยังต้วนหลิงเทียนพร้อมเผยความชิงชังยะเยือกออกมา
ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียน!
"ต้วนหลิงเทียน ข้าจ้าวเหล่ยจะพยายามฆ่าเจ้าให้ตาย ไม่ตายไม่เลิกรา!" ความชิงชังแค้นเคืองอันไร้สิ้นสุดปะทุอยู่ในจ้าวเหล่ย
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตนี้ดี แต่เขาก็ไม่ได้แยแสมันแม้แต่น้อย เขาหันไปกล่าวกับฟงผิงด้านข้างอย่างสงสัย “อาวุโสฟงผิง แล้วอาวุโสจ้าวอวี่เล่า?”
"อาวุโสจ้าวอวี่จะรับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยที่หอการค้ากู่เหอ…ส่วนหน้าที่คุ้มกันขบวนพ่อค้าวันนี้เป็นของพวกเรา 5 คน" ฟงผิงกล่าวตอบ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ถามสืบต่อ "อาวุโสฟงผิง แล้วพวกเราต้องคุ้มกันขบวนพ่อค้านี้ไปนานเท่าไหร่หรือ?"
ฟงผิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวตอบออกมา “ราวๆ 2 เดือนเห็นจะได้”
ครู่ต่อมาฟงผิงก็เหมือนกับนึกอะไรออก มันจึงกล่าวเพิ่มเติมออกมา "อาวุโสจ้าวอวี่กับข้าได้ส่งคนไปยังนิกายกระบี่ 7 ดาวแล้ว อีก 2 เดือนพวกมันก็น่าจะกลับมาพอดี…ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้รู้กันเสียทีว่าเจ้าเป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวจริงหรือไม่"
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
เพราะยังไงเขาก็เป็นศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวจริงๆ เรื่องนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอะไรได้…