สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 410 : คราวเคราะห์ของจ้าวเหล่ย
บทที่ 410 : คราวเคราะห์ของจ้าวเหล่ย
ชายหนุ่มผู้ที่กล้าปลอมเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวคนนี้ …เลือกหนทางถูกทุบตีจนสองขาหักแหลก ดีกว่า เลือกอับอายเช่นนั้นหรือ?
"หมดเวลา!" จ้าวเหล่ยที่นั่งอยู่บนหลังอาชาเหงื่อโลหิต เหลือบมองต้วนหลิงเทียนด้านล่างด้วยสายตาเย็นชาไร้ปราณี ประกายตายังเรืองวูบออกมาอย่างดุร้าย "ไอหนู เป็นเจ้าที่เลือกเช่นนี้เองนะ…ในเมื่อเจ้ามิคิดเข้าเมืองด้วยชุดวันเกิด… เช่นนั้นข้าจะทุบตีข้าเจ้าให้แหลก จนเจ้าต้องคลานเข้าเมือง!" เมื่อกล่าวจบ จ้าวเหล่ยพลันลงมือเคลื่อนไหวทันที
ฟุ่บ!
ร่างของมันสั่นไหว ก่อนที่จะกระพริบวูบพุ่งไปหาต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้ายทรงพลัง ปานพญาเหยี่ยวหมายขย้ำลูกเจี๊ยบ…
ผู้ชมที่อยู่ห่างออกไปยังรู้สึกหวาดกลัวแทนเสียไม่ได้
พวกมันย่อมไม่กล้าล่วงเกินคนของนิกายกระบี่ 7 ดาวเช่นนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ ต้วนหลิงเทียน เพียงมองจ้าวเหล่ยที่ลงมือเข้ามาด้วยความสงบ ไม่ได้ขยับใดๆ นิ่งสงบปานขุนเขา
และเมื่อเห็นว่าการโจมตีของจ้าวเหล่ยครั้งนี้ มีเพียงเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 400 ตัวเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นมา มุมปากต้วนหลิงเทียนก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความดูถูกเล็กน้อย
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 3 กล้าโอหังต่อหน้าเขาหรือ?
วูบ
จ้าวเหล่ยที่พุ่งไปราวกับสายลมหอบใหญ่ เรียกกระบี่วิญญาณระดับ 7 ออกมาก่อนที่จะเสือกแทงไปยังต้วนหลิงเทียน ตัวกระบี่เผยประกายคมกล้าออกมาเรืองรองออกมา
ทันใดนั้นในท้องฟ้าปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ เพิ่มขึ้นมาอีก 110 ตัว ข้างๆ 400 ตัวที่มีอยู่ก่อนหน้า
กล่าวได้ว่าการตวัดกระบี่เสือกแทงออกมาครั้งนี้ มีความแข็งแกร่งทั้งสิ้น 510 ช้างแมมมอธโบราณ! ตัวกระบี่พุ่งไปอย่างลี้ลับคล้ายอสรพิษหมายฉกทำร้ายต้วนหลิงเทียน!
"กระจอก!" เสียงที่ดังขึ้นมาจากปากของต้วนหลิงเทียนอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ทั้งหมดล้วนอึ้ง
ฟั่บ!
พริบตาต่อมาทุกผู้คนได้ยินเสียงตวัดดาบแหวกฝ่าอากาศด้วยความเร็วสูงล้ำ
เคร๊ง!
ต่อมาทั้งหมดก็ต้องเป็นอันตกตะลึง เพราะเห็นว่ากระบี่วิญญาณระดับ 7 ในมือศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาว ถูกปัดจนกระเด็นออกไป ด้วยกระบี่อ่อนเล่มบางสีม่วงในมือของชายหนุ่ม
ผัวะ!!
และการลงมือยังไม่จบสิ้นแต่เพียงเท่านั้น เมื่อชายหนุ่มปัดกระบี่ของศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวไปแล้ว เขายังยกเท้าถีบออกมาอย่างแรง ประทับไปที่ยอดอกของศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวเต็มรัก! จนมันต้องกระเด็นหงายหลังล้มกลิ้งไปหลายตลบ ลิ้มชิมรสทรายบนพื้นไปหลายคำ
จ้าวเหล่ยที่กลิ้งทุกลักทุเลไปบนพื้นทรายยามนี้สีหน้าซีดเซียว มันกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ถ่มถุยทรายในปากออกมาอย่างพะอืดพะอม ท่าทางน่าเวทนาไม่น้อย
มันเบิ่งตากว้างจับจ้องมองไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนอย่างเหลือเชื่อ
ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้มันอึ้งค้างราวกับตัวโง่งม
เมื่อครู่ไม่มีใครสามารถมองเห็นเงาร่างช้างแมมมอธโบราณที่ปรากฏเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนได้ทัน…
เพราะทั้งหมดมัวแต่มองจ้าวเหล่ย
“ข้าคิดว่าน้องชายผู้นี้จักถูกทุบตีจนขาพิการ ด้วยน้ำมือศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวผู้นั้นแล้ว…แต่ข้ามิคิดเลยว่าความแข็งแกร่งของเขาจักน่ากลัวถึงเพียงนี้!”
“มิผิด นั่นเป็นถึงศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาว เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 3 แต่กลับพ่ายแพ้หนุ่มน้อยนั่นในกระบวนท่าเดียว…สวรรค์!”
"หากเขาเป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาว ความแข็งแกร่งที่มากมายถึงเพียงนี้ ย่อมเพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นศิษย์สายใน!"
“เขามีระดับบ่มเพาะที่มากมายถึงเพียงนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้หรือ…พรสวรรค์ของเขานับว่าเหนือล้ำยิ่งกว่านายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรพนาครามของเราแล้ว! หากมิได้มาเห็นด้วยตาทั้ง 2 ข้างของตัวเอง เป็นเรื่องยากนักที่ข้าจะเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดนี่เป็นความจริง!”
“จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เขาเป็นศิษย์อัจฉริยะ ที่พึ่งเข้าร่วมกับนิกายกระบี่ 7 ดาว ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้”
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง…หาไม่แล้วด้วยพรสวรรค์ที่สูงส่งเช่นนี้ของเขา ยังจะต้องเสแสร้งเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวทำอะไร?”
…
เหล่าผู้คนที่อยู่รอบๆเริ่มพูดคุยกันอย่างครึกครื้นเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ทั้งหมดจับจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียน และบังเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา
ในกลุ่มคนมีผู้ที่กำลังหลั่งเหงื่อโทรมกายอย่างหนาวเหน็บ…และนั่นเป็นพวกที่กล่าววาจาดูแคลนต้วนหลิงเทียนก่อนหน้านี้
ผู้ใดจะไปคิดคาดว่าผลจะเป็นเช่นนี้…เรื่องราวทั้งหมดเหนือคาดคิดจินตนาการพวกมันไปไกลโข!
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆย่างสามขุมไปหาจ้าวเหล่ยที่เกลือกกลิ้งบนพื้นทรายช้าๆ ตอนนี้สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความเสียใจ มุมปากของมันบิดเบี้ยว แววตาลนลาน
"เจ้า … อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามานะ !" ใบหน้าของจ้าวเหล่ยยิ่งมายิ่งสีซีด มันเห็นต้วนหลิงเทียนเดินมาหามันช้า มันก็หวาดกลัวรีบร้องโวยวายออกมา "ข้าเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาว นิกายกระบี่ 7 ดาวต้องเอาเรื่องเจ้าแน่หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า!"
นิกายกระบี่ 7 ดาว?
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจ้าวเหล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลนหยามหยัน
จ้าวเหล่ยไม่กล่าวก็ไม่เป็นอะไร แต่มันทะลึ่งกล่าวคำนิกายกระบี่ 7 ดาวออกมาเช่นนี้ ยิ่งยั่วโมโหต้วนหลิงเทียน!
เขากล่าวหลายรอบแล้วว่าเขาเป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาว กระทั่งยามเจอหน้าจ้าวเหล่ยครั้งแรก แม้มันจะไม่สุภาพเขายังไว้หน้าเรียกมันอย่างเคารพว่าศิษย์พี่
แต่จ้าวเหล่ยนี่ยังไม่เลิกรา กระทั่งเขาคิดส่งมอบจดหมายแนะนำออกมา มันก็ยังกล้าฉีกทิ้ง สู่รู้คิดว่าตัวคิดถูก ทั้งยังพยายามหาเรื่องเขาอยู่ได้!
เรื่องที่ว่ามานี้ยังพออภัยให้ได้
แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากที่สุดก็คือ …ขนาดเขาคิดที่จะไม่สนใจและเลือกที่จะไปตามทางแล้ว จ้าวเหล่ยนี่ยังตามมาหาเรื่อง กระทั่งคิดให้เขาแก้ผ้าเข้าเมือง
"ข้าจะเสนอ 2 ทางเลือกให้เจ้าบ้าง….ว่าเจ้าจะให้ข้าทำลายขาทั้ง 2 ข้างของเจ้าให้พิการ หรือเจ้าจะเข้าเมืองในชุดวันเกิด" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังจ้าวเหล่ยก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส
หากจ้าวเหล่ยไม่ใช่ศิษย์ร่วมนิกาย อย่าว่าแต่ขา ป่านนี้ หัวมันร่วงหล่นกลิ้งเกลือกบนพื้นทรายไปนานแล้ว
จ้าวเหล่ยนี้สมควรเป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาว ที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ยังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ …เมื่อคิดถึงจุดมุ่งหมายในการเดินทางครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ระงับจิตสังหารเอาไว้ในใจ
เขาแค่จะให้มันลองลิ้มชิมรสยาขมที่มันปรุงขึ้นมาดูบ้าง!
และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ผู้คนรอบๆล้วนแสดงท่าทางอึ้งๆอยู่บ้าง และเริ่มหันมองไปยังจ้าวเหล่ย เพื่อดูว่ามันจะเลือกหนทางอันใด
"ถ้าเจ้าเลือกที่จะให้ข้าทำลายข้าเจ้า…ข้าก็จะทำให้มันแหลกละเอียด อย่าได้คิดฝันว่ามันจะกลับมาใช้การได้อีก” ต้วนหลิงเทียนที่เห็นสีหน้าของจ้าวเหล่ยเริ่มครุ่นคิดจนบิดเบี้ยว พลันกล่าวเสริมออกมา
“ไอหนูข้าเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาว การที่เจ้าสร้างความอัปยศอดสูให้ข้าเช่นนี้ เท่ากับหยามนิกายกระบี่ 7 ดาว… หากเจ้าสำนึกตัวตอนนี้ เจ้ารีบไสหัวไปเสียจะดีกว่า แล้วข้าจะแกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่เจ้าปลอมตัวเป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาว และปล่อยเจ้าไป” จ้าวเหล่ยกลับมองมายังต้วนหลิงเทียนอย่างเย็นชาและกล่าวข่มขู่ออกมา
ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งตะลึงค้าง
จ้าวเหล่ยผู้นี้ มันเป็นโรคทางสมอง หรือมีอะไรผิดปกติกับสมองของมันหรือไม่?
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา "จ้าวเหล่ยดูเหมือนว่าเจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีนะ …ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อยข้า…แต่ข้ากำลังให้เจ้าเลือก!" เมื่อต้วนหลิงเทียนพูดจบ เขาก็คลี่ยิ้มบนใบหน้า ทว่าแววตากลับเผยจิตสังหารอำมหิต เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันใส่จ้าวเหล่ย
"เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?" สีหน้าจ้าวเหล่ยเริ่มมืดลง เมื่อเห็นว่าคำขู่ที่มั่นพ่นใส่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ผล มันก็เลือกใช้ไพ่ตายออกมา "ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าได้รับรู้เอาไว้…ข้ามิเพียงแต่เป็นศิษย์สายใน ทว่าบิดาของข้ายังเป็น…"
"ข้าไม่สนว่าพ่อเจ้าจะเป็นใคร!" ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำขัดวาจาจ้าวเหล่ยออกมา ตอนนี้กลิ่นอายทั่วร่าง ทั้งจิตสังหารของเขาเริ่มแผ่ซ่านทะลักออกมากดดันร่างจ้าวเหล่ยอย่างต่อเนื่อง "เนื่องจากเจ้าไม่รวมมือแต่โดยดี ข้าเปลี่ยนใจแล้ว…เจ้าสามารถแก้ผ้าเข้าเมืองในชุดวันเกิด หรือตกตายมันเสียตรงนี้ ที่นี่ วันนี้!"
"ข้าจะให้เจ้าตัดสินใจลิขิตชีวิตตัวเองในเวลา 10 ลมหายใจ… และตอนนี้เหลือเพียง 9 ลมหายใจแล้ว" น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนนั้นเผยความยะเยือกหนาวเหน็บออกมา ทำให้บรรยากาศเสมือนเย็นลงโดยพลัน
"เจ้า … เจ้า … " สีหน้าของจ้าวเหล่ยดำคล้ำราวจะคั้นออกมาเป็นน้ำหมึก
ทว่าเมื่อมันถูกจิตสังหารของต้วนหลิงเทียนกดดันไว้เช่นนี้ มันก็ไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวเถียง
มันบังเกิดสังหรณ์มรณะในใจขึ้นมา ว่าหากมันไม่กระทำตามคำกล่าวแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มตรงหน้าฆ่ามันแน่!
จิตสังหารกระหายเลือดที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าแผ่ซ่านออกมา มันเหน็บหนาวน่ากลัวนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจำนวนผู้คนที่ชายหนุ่มคนนี้สังหารมา จะมากมายถึงเพียงไหน มันไม่อาจจินตนาการได้เลย!
ตอนนี้กระทั่งผู้คนรอบๆ ยังเงียบลงราวกับคนตาย
ทว่าหลังจากเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง ก็เริ่มอื้ออึงขึ้นมาอีกครั้ง
"ชายหนุ่มผู้นี้แลดูยังมีอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น ใยจิตสังหารถึงได้น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้เล่า!"
"นี่เขาสังหารผู้คนไปกี่หมื่นพันกันแน่ ถึงได้มีจิตสังหารน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้?"
“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ดูเหมือนศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวผู้นั้น จักเตะโดนตอเหล็กเข้าเสียแล้ว”
"ข้าสงสัยนักว่ามันจะยินยอมตกตายไม่ยินยอมสยบ…หรือเต็มใจเลือกที่จักอับอายขายหน้า"
"ในฐานะที่เป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาว สมควรมีความภาคภูมิใจอันสูงส่งใช่หรือไม่ สมควรต้องมิใช่คนขลาดเขลากลัวตาย… ข้าว่ามันน่าจักเลือกตกตาย มากกว่าอับอายอย่างการแก้ผ้าเข้าเมืองทั้งเปลือยเปล่า"
…
เสียงสนทนาของผู้คนรอบๆที่ดังเข้าหู เริ่มทำให้สีหน้าจ้าวเหล่ยยิ่งมายิ่งคล้ำหนักข้อ
"พวกเจ้าทั้งหมดจักมองหาอะไร ไสหัวไปให้หมด!" จ้าวเหล่ยหันไปพาลใส่ผู้คน คำรามออกมาเสียงดัง
ทว่าผู้คนรอบๆ ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับมันสักนิด
ถึงแม้จ้าวเหล่ยจะเป็นศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาว แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร
ยังมีบางคนที่อดไม่ได้ เลือกกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "เจ้าคิดว่าที่นี่ เป็นพื้นที่ของนิกายกระบี่ 7 ดาวหรือไร?"
คำกล่าวนี้ยิ่งทำให้ใบหน้าจ้าวเหล่ยบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ไม่น่าดู
"ยังเหลือ อีก 5 ลมหายใจ" ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงท่าทางไม่แยแส อันที่จริงตอนนี้เริ่มบังเกิดความขำขันสนุกสนานขึ้นมาไม่น้อย
ทว่าเสียงไม่แยแสของต้วนหลิงเทียนนี้ ยามมันดังเข้าหูจ้าวเหล่ย อีกฝ่ายรู้สึกเสมือนเสียงเพรียกหาจากความตาย นำพาให้มันหวาดกลัวสะท้านไปถึงไขสันหลัง
"ไอหนู เจ้าจักต้องเสียใจ กับการกระทำครั้งนี้!" เมื่อจ้าวเหล่ยกล่าวคำข่มขู่ต้วนหลิงเทียนเสร็จ มันก็รีบถอดชุดศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาว รวมถึงชุดชั้นในทั้งหมดที่มันสวมด้วยความเร็วสูง แล้วเก็บทั้งหมดลงแหวนมิติ…
การเคลื่อนไหวของมัน รวดเร็วลื่นไหล ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ผ้า ทำให้ทุกคนล้วนชมมองอย่างตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง
สุดท้าย จ้าวเหล่ยก็ยกมือขึ้นมากุมบางสิ่งอันกระจิดริดด้วยความเร็วสูง และรีบพุ่งร่างเข้าเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ไป ไม่มองหน้าสบตาผู้ใด แน่นอนว่ามันย่อมเรียกร้องความสนใจของผู้คนให้ชมมองตลอดทาง
ตอนนี้นับว่าเป็นเวลาที่จ้าวเหล่ยฉายแสงสดใส เป็นเป้าสายตาของทุกผู้คนอย่างแท้จริง
"ไอเด็กน้อย แล้วเจ้าจักเสียใจ!" เมื่อจ้าวเหล่ยวิ่งเข้าเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ไปแล้ว มันยังไม่ลืมหันกลับมาตะโกนกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าท่าทางอาฆาต
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ใส่ใจอะไร และค่อยๆเดินเข้าเมืองไปบ้าง
เมื่อผู้คนเห็นว่าเรื่องราวสนุกสนานจบลงแล้ว ทั้งหมดก็รีบแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
ไม่เข้าเมืองก็ออกจากเมือง
ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามจ้าวเหล่ยมาด้านหลังนั้น ก็เห็นว่าทุกสายตาล้วนยังคงจับจ้องไปยังทิศทางที่จ้าวเหล่ยมุ่งไป
จนกระทั่งเมื่อจ้าวเหล่ยวิ่งหายลับไปในซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ผู้คนถึงจะเริ่มกล่าววาจากันออกมาอย่างขบขัน
"เฮ้!พวกเจ้าเห็นหรือไม่ เมื่อครู่มีคนมิสวมใส่เสื้อผ้า วิ่งเข้าเมืองไปด้วย"
"อ่าเสียดายยิ่ง… ข้าพึ่งออกมาไม่ทันเห็นอันใด"
"อา…น่าเสียดายแทนเจ้านัก เรื่องนี้ยากนักที่จะได้เห็น…ข้าอยู่ในเมืองโบราณชั่วนิรันดร์มานาน แต่ข้าเองก็พึ่งเคยเห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก"
"แล้วใย มันถึงเปลื้องผ้าเช่นนั้นกันเล่า หรือมันจะมีปัญหากับสมอง?"
“ผู้ใดจะไปรู้?”
…
ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ฟังเรื่องราวตามรายทางที่ดังขึ้นไม่หยุด
"พี่ชายท่านนี้…ข้าขอรบกวนท่านจะได้หรือไม่…มิทราบว่าหากข้าคิดไป หอการค้ากู่เหอ ข้าต้องไปทางไหนหรือ" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมา ก่อนที่จะเข้าไปกล่าวถามพร้อมรอยยิ้ม
ชายหนุ่มคนนั้นเมื่อถูกถามด้วยรอยยิ้ม ก็กล่าวตอบออกมา ก่อนที่จะเริ่มชี้มือไปยังซอยที่จ้าวหลินวิ่งหายลับเข้าไป “เจ้าเห็นซอยเล็กๆด้านหน้านั่นหรือไม่ ที่มีตัวเสียสติแก้ผ้าวิ่งหายไปเมื่อครู่…เจ้าเลี้ยวเข้าซอยไปจนไปโผล่ที่ถนนใหญ่…แล้วค่อยเลี้ยวขวา เดินไปอีกสักพักเจ้าจะเห็น หอการค้ากู่เหอ สังเกตมิยาก หน้าประตูหลักของหอการค้ากู่เหอจักมีรูปปั้นพยัคฆ์ศิลาตั้งอยู่ตรงหน้าประตู 2 ตัว ”
"ขอบคุณท่านมากพี่ชาย" ต้วนหลิงเทียนประสานมือขอบคุณอย่างยินดี ก่อนที่จะเดินจากไป