สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 408 : หอการค้ากู่เหอ
บทที่ 408 : หอการค้ากู่เหอ
"จี๊ด จี๊ด ~" เมื่อเจ้าเสี่ยวจินได้ยินคำถามจากสตรีสง่างามนางนั้น มันก็ทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจยกกรงเล็บขึ้นมาตะกุยรั้วกันศาลาเล่นทันที ดวงตาคู่หยกของมันมองไปยังทิศทางห้องที่ห่างออกไปอย่างฉุนเฉียว
คิ้วคู่งามบนใบหน้ากระจ่างใสของสตรีรูปโฉมงดงาม โค้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนี้ นางยิ้มเล็กน้อยและดูเหมือนจะคาดเดาอะไรได้…
ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ได้เจอเค่อเอ๋อเนิ่นนานแล้ว…ในที่สุดก็มีเวลาอยู่ด้วยกันเสียที แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนต้องกลับกลายเป็นหมาป่าจัดการเค่อเอ๋ออยู่จนดึกดื่นค่อนคืน ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันขึ้นมายังศาลา
หลังจากที่ทั้งคู่ออกจากห้องและมาถึงศาลา ก็พบว่ามีร่างสตรีงดงามยืนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งในมือของนางยังมีเจ้าหนูขนสีทองตัวน้อยอีกด้วย
“อาจารย์” เค่อเอ๋อรีบโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ปรมาจารย์ขุนเขา” ต้วนหลิงเทียนเองก็ทำความเคารพด้วยเช่นกัน เขาย่อมไม่รู้สึกกระดากหรือเขินอายอะไร กระทั่งยังไม่ลืมที่จะหันไปกระพริบเล่นหูเล่นตากับเค่อเอ๋ออีกด้วย นั่นทำให้เค่อเอ๋อเริ่มบังเกิดความอายขึ้นมาจนแทบจะขุดดินมุดหลบหนีไป
สตรีโฉมงามใบหน้ากระจ่างใส ท่วงท่าสูงส่งผู้นี้ ที่แท้คือ ปรมาจารย์ขุนเขาเหยากวง ฉินเซียง
ฉินเซียงยิ้มบางๆพร้อมพยักหน้าให้เค่อเอ๋อ ก่อนที่นางจะถอนสายตาจากเค่อเอ๋อหันเบนมามองต้วนหลิงเทียน ลมหายใจเบาๆค่อยๆพ่นระบายออกมา “ต้วนหลิงเทียน เจ้าช่าง… ข้ามิคิดจริงๆว่าตำแหน่งชนะเลิศการประลองแข่งขันจะถูกเจ้าคว้ากลับมายังนิกายกระบี่ 7 ดาวเราเช่นนี้…นิกายกระบี่ 7 ดาวเรามิได้รับชัยชนะอันดับ 1 ในการประลอง 5 นิกายใหญ่เช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว…นานมากแล้ว” ในขณะที่กล่าวคำ ฉินเซียงเผยสายตาเลื่อนลอยรำลึกความหลังขึ้นมาครู่หนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนเองก็ยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาเคยได้ยินเรื่องนี้จากปากหลิ่งหูจิ่นหงมาแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่นิกายกระบี่ 7 ดาวได้ตำแหน่งชนะเลิศอันดับ 1 นั้น เป็นเรื่องเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
และในตอนนั้นผู้ที่คว้าอันดับ 1 ในการประลอง ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสตรีตรงหน้าของเขา ปรมาจารย์ขุนเขาเหยากวง ฉินเซียง!
ไม่นานฉินเซียงก็กล่าววาจาเปลี่ยนหัวเรื่องออกมา “นัดหมาย 2 ปี ของเจ้ากับนายน้อยกู่ฉิน เหลือเวลาอีกเพียงแค่ปีเดียว… ข้าได้กล่าวกับประมุขนิกายไว้แล้ว ว่าจะให้เจ้าออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ด้านนอก เนื่องจากความแข็งแกร่งของเจ้ายามนี้ มิใช่อะไรผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 ธรรมดาๆ จะต่อกรเจ้าได้”
"ฝึกฝนหาประสบการณ์?" ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
ฉินเซียงพยักหน้าเบาๆ ค่อยๆกล่าวคำออกมา “ข้ามั่นใจว่าเจ้าก็ต้องเคยได้ยินมาอยู่บ้าง ว่านิกายกระบี่ 7 ดาวเรา ก็ประกอบการค้าและทำธุรกิจไม่น้อย กระจายตัวไปตามที่ต่างๆของอาณาจักรพนาคราม นอกจากนี้เหล่าอาวุโสที่ดูแลกิจการ ก็เป็นเหล่าอาวุโสฝ่ายนอกที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป” ต้วนหลิงเทียนเมื่อได้ฟังก็พยักหน้ารับคำเล็กน้อย
ฉินเซียงกล่าวสืบต่อ “หลังจากที่ข้าหารือกับประมุข พวกเราก็ตัดสินใจจะส่งเจ้าไปที่ เมืองโบราณชั่วนิรันดร์”
เมืองโบราณชั่วนิรันดร์?
ต้วนหลิงเทียนอดที่จะตะลึงออกมาเสียไม่ได้ เมื่อได้ฟังวาจาของฉินเซียง
เขาจะไม่คุ้นเคยกับเมืองโบราณชั่วนิรันดร์นี้ได้อย่างไร
เพราะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในตอนที่เขากับลี่เฟยออกเดินทางจากนิกายกระบี่ 7 ดาวเพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเดียวดาย พวกเขาก็พักกันที่เมืองโบราณชั่วนิรันดร์
หลังจากนั้นก็ได้ก่อมิตรภาพอันดีกับ จางโฉวหย่ง และ หวังฉง อันเป็นคู่สามีภรรยากันที่เหลาอาหารในเมืองโบราณชั่วนิรันดร์
"หรือ นิกายกระบี่7 ดาวก็มีธุรกิจการค้าที่เมืองโบราณชั่วนิรันดร์ด้วย?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ฉินเซียงพยักหน้ารับ "นิกายกระบี่ 7 ดาวเรามิได้มีธุรกิจใดๆในเมืองโบราณชั่วนิรันดร์โดยตรง … อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องกิจการของพวกเรา 2 คน และศิษย์สายในจำนวนหนึ่ง ทำหน้าที่ผู้คุ้มกัน ให้หอการค้ากู่เหอ(ลำน้ำโบราณ) ในเมืองโบราณชั่วนิรันดร์"
"ผู้คุ้มกัน หอการค้า?" ค้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าคนของนิกายกระบี่ 7 ดาว จะมีความสัมพันธ์กับหอการค้าแห่งหนึ่ง แห่งอาณาจักรพนาครามเช่นนี้
เช่นนั้นก็พอเข้าใจได้ ว่าศิษย์และอาวุโสผู้ที่ได้รับหน้าที่ให้ทำหน้าที่คุ้มกันหอการค้ากู่เหอ ย่อมได้รับค่าจ้างงดงามเป็นแน่ …
นี่เป็นเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ทันที
“แล้วข้าต้องออกเดินทางเมื่อไหร่?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“พรุ่งนี้” ฉินเซียงพยักหน้ากล่าวคำ “พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปหาประมุข แล้วเขาจะบอกเรื่องราวต่อเจ้า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็อำลาฉินเซียงและเค่อเอ๋อ จากหอเหยากวงไปในลักษณะนี้
หลังจากที่กลับมาถึงถ้ำหินย้อย ต้วนหลิงเทียนก็นั่งบ่มเพาะพลังต่อทั้งคืน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เขาก็รีบขึ้นไปยังเขาเหยากวงแต่เช้า เพื่อไปหาลี่เฟย และบอกเรื่องการออกเดินทางชั่วคราวครั้งนี้ของเขา
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พาทั้งเค่อเอ๋อและลี่เฟยไปด้วยกันกับเขา
ก็เป็นดั่งที่ปรมาจารย์ฉินเซียงและอาวุโสไป่เคยบอก เมืองโบราณนั้นวุ่นวาย และอันตรายเกินไป
นอกจากนั้นยังมีความจริงที่ว่าการไปครานี้ของต้วนหลิงเทียน เพื่อเป็นการฝึกฝน หากสตรีทั้ง 2 ติดสอยห้อยตามไปด้วย เกรงว่าวิชาฝีมือด้านอื่นจะพัฒนาขึ้นมาเสียมากกว่า และนั่นจะส่งผลต่อความก้าวหน้าของต้วนหลิงเทียน
…
ฟุ่บบบ!
ร่างสีดำพุ่งขึ้นไปสู่ฟ้าจากบริเวณหน้าหอหลักของขุนเขาเทียนชูแห่งนิกายกระบี่ 7 ดาว ก่อนที่เงาร่างนั้นจะหายลับไปในม่านเมฆ
ตอนนี้เหนือขึ้นไปบนฟ้าสูง ร่างชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดแต่งกายของศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวสายใน กำลังยืนตระหง่านอยู่บนหลังอินทรีย์ตัวเขื่อง พุ่งแหวกฝ่าอากาศเดินทางข้ามผืนฟ้าด้วยความเร็วสูง
ชายหนุ่มหล่อเหลาเผยกลิ่นอายไม่ธรรมดา เริ่มขมวดคิ้วคมกล้ารูปดาบขึ้นมาท่ามกลางหมู่เมฆ ทั้งกล่าววาจาพึมพำ “ด้วยความเร็วของเหยี่ยวตะวัน ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 ที่ข้าขี่อยู่นี้….เต็มที่ข้าก็คงใช้เวลาเดินทางไปยังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์แค่เดือนเดียวเท่านั้น”
เป็นต้วนหลิงเทียน ที่ออกเดินทางจากนิกายกระบี่ 7 ดาว
และตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนเหยี่ยวตะวัน ที่บินข้ามผืนฟ้าด้วยความเร็วสูง
ถึงแม้ว่าความเร็วของเหยี่ยวตะวันจะไม่สามารถเทียบชั้นกับต้าเผิงได้…แต่มันก็เหนือกว่าอาชาเหงื่อโลหิตหลายขุม
ประมุขนิกายกระบี่ 7 ดาว ได้ร้องขอให้ต้าเผิง จับเหยี่ยวตะวันตัวนี้ เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนได้ใช้เป็นพาหนะ
ไม่ใช่ว่าต้าเผิงตระหนี่แต่อย่างไรประมุขถึงได้ต้องร้องขอ… แต่เป็นเพราะสัตว์อสูรที่บินได้มันฝึกฝนได้ยากเย็นนัก
เพียงแค่เหยี่ยวตะวันระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรก ต้วนหลิงเทียนยังต้องใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ซ้ำยังต้องใช้พลังทั้งหมดกว่าจะสยบมันให้เชื่องและควบคุมมันได้
"จี๊ดดด ~" เสียงร้องหนึ่งดึงขึ้นจากใต้แขนเสื้อต้วนหลิงเทียน
ไม่นานหัวน้อยๆของเจ้าหนูขนทองก็ค่อยๆมุดโผล่ออกมา กระพริบตาคู่หยกปริบๆขณะมองไปยังต้วนหลิงเทียน
เป็นเสี่ยวจินที่ติดตามเค่อเอ๋ออยู่เสมอ หนูสวรรค์นัยน์ตาหยกตัวน้อย
"พี่ใหญ่หลิงเทียน ความเร็วของนกขนดกนี่เชื่องช้ายิ่งนัก" แก้วหูต้วนหลิงเทียนสั่นเบาๆ เมื่อเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวตัวน้อยดังขึ้นในหู
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเสี่ยวจินก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ “เจ้าเอามันไปเทียบกับเจ้าได้อย่างไรเล่า ระดับบ่มเพาะเจ้าเท่าไหร่ แล้วของมันเท่าไร …หรือเจ้าคิดขยายร่างแล้วพาข้าบินไปยังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ล่ะ? หากเป็นเช่นนั้นเพียงไม่กี่วันพวกเราก็ถึงแล้ว”
"ไม่เอา…ข้าไม่อยากขยายร่างนี่นา มันดูตัวใหญ่ อ้วนมากๆ แล้วก็น่าเกลียดมากๆเลย… " เสียงของหนูน้อยฟังดูแล้วลำบากใจไม่น้อย
เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จะพูดยังไง เขาหันไปมองร่างของเจ้าหนูขนทอง ที่อ้วนกลม พร้อมถอนหายใจออกมา “เจ้าตัวน้อยนี่มันมีปัญหากับการรับรู้รูปร่างตัวเองหรือไม่…หรือมันคิดว่าตอนนี้มันไม่อ้วน”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พบปัญหาในการเดินทางใดๆระหว่างทาง เพราะบินอยู่สูงเหนือเมฆ
หนึ่งเดือนต่อมา
เหยี่ยวตะวันค่อยๆชะลอความเร็ว ก่อนที่จะบินไต่ระดับต่ำลงมาเรื่อยๆ
เมื่อบินฝ่าเมฆหมอกลงมาได้ เมืองโบราณชั่วนิรันดร์ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของต้วนหลิงเทียน
มองจากระยะอันไกลห่าง เมืองโบราณชั่วนิรันดร์แลดูเสมือนสัตว์อสูรตัวมหึมากำลังนอนหลับใหลในทะเลทราย ปากกระหายเลือดของมันอ้ากว้าง กลืนกินเหล่าผู้คนที่สัญจรข้ามผ่านทะเลทรายไม่หยุดหย่อน
"เมืองโบราณชั่วนิรันดร์!" เมื่อเห็นเมืองโบราณชั่วนิรันดร์อีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง
ครั้งที่แล้วนั้นด้วยความต้องการไปยังยอดเขาเดียวดาย เมืองโบราณชั่วนิรันดร์ถือว่าเป็นทางผ่านเท่านั้น แต่ครั้งนี้จุดหมายของเขาคือเมืองโบราณชั่วนิรันดร์จริงๆ
หน้าเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ก็มีผู้คนขี่สัตว์อสูรบินได้ไม่น้อย เช่นนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ดูแปลกแยกแต่อย่างไร ไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรของผู้คนรอบๆมากนัก
อย่างไรก็ตามผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะหันมามองเขาใหม่ให้ชัดอีกครั้ง
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังชุดที่ต้วนหลิงเทียนสวมใส่
ชุดที่เขาใส่แน่นอน ว่าย่อมแสดงสัญลักษณ์ ศิษย์สายใน! ของนิกายกระบี่ 7 ดาวเอาไว้อย่างชัดเจน!
"ชายหนุ่มคนนี้แลดูมีอายุเพียง 20 ปีกว่าๆ และไม่น่าจะเกิน 23 ปีใช่หรือไม่ …แต่เขาได้เป็นถึงศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวแล้ว?"
“จากที่ข้ารู้มา การที่จะเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวได้ ต้องมีระดับบ่มเพาะขั้นต่ำอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 นอกจากนี้ด้วยความยากลำบากในการทดสอบคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวแล้ว..ส่วนมากมีเพียงผู้ที่ต้องตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 8 ก่อนมิใช่หรือไร ถึงจะสอบผ่านได้อย่างแน่นอน…”
“ศิษย์รุ่นนี้ของนิกายกระบี่ 7 ดาว ย่อมเป็นหวงจี้ศิษย์เอกของประมุขนิกายหลิ่งหูจิ่นหงมิใช่หรือ พรสวรรค์ตามธรรมชาติของมันน่าจะเหนือล้ำที่สุดในนิกายกระบี่ 7 ดาว แต่ข้าจำได้ว่าตอนมันอายุเท่านี้ หวงจี้ยังเป็นเพียงศิษย์สายนอกอยู่เลยมิใช่หรือไร?”
“ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จักมิรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว ถึงได้เอาชุดศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวมาสวมใส่ แสร้งทำเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวเช่นนี้ คิดอวดโอ่หรือไร”
"น่าจักเป็นเช่นนั้น"
…
หลายคนที่เห็นต้วนหลิงเทียนเริ่มกล่าววาจากันอย่างครึกครื้น และบทสนทนาทั้งหมดล้วนชี้ชัดไปว่า ไม่มีใครเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวจริงๆ !
นี่เพราะต้วนหลิงเทียนแลดูเด็กนัก!
แน่นอนว่าบทสนทนาเหล่านี้ย่อมลอยเข้าหูต้วนหลิงเทียน แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไร ค่อยลงจากหลังเหยี่ยวตะวันช้าๆ
วี๊ด!
ต้วนหลิงเทียนลูบหัวเหยี่ยวตะวันเล็กน้อย ก่อนที่จะผิวปากออกมา
ทันใดนั้นเหยี่ยวตะวันเหมือนได้รับคำสั่ง มันกางปีกออกมาและเหินบินขึ้นฟ้า หายลับไปในหมู่เมฆ
ต้วนหลิงเทียนได้ถอนสายตาออกมาจากเหยี่ยวตะวันเมื่อมันหายลับไป หันมาสนใจเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ตรงหน้า และเดินตามทางเข้าเมืองเพื่อไปยังที่หมาย
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”ทันใดนั้นเองมีน้ำเสียงเย็นชาตะโกนดังขึ้นมา
ต้วนหลิงเทียนก็หยุดและหันหลังกลับไปดู
เขาเห็นชายคนหนึ่งอายุราวๆ 35 ปี กำลังควบขี่อาชาเหงื่อโลหิตมองมาที่เขา และมันก็กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“หืม?” ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายของชายคนนั้น
มันเป็นเครื่องแต่งกายของศิษย์สายใน นิกายกระบี่ 7 ดาว!
นั่นเห็นได้ชัดว่า ชายคนนี้ที่แท้เป็นศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวเช่นเดียวกัน
ทว่าครู่ต่อมาคิ้วของต้วนหลิงเทียนก็ต้องขมวดขึ้น
นั่นเพราะศิษย์นิกายคนนั้น เมื่อพุ่งม้ามาหยุดตรงหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว มันกลับจ้องมองมาด้วยสายตาดูแคลนระคนชิงชัง ทั้งยังกล่าวตะโกนเสียงดังออกมาอย่างดุร้าย “ไอเด็กบัดซบ เหตุใดเจ้าต้องปลอมตัวเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวข้าด้วย!”
ปลอมตัว?
ต้วนหลิงเทียนตะลึงไปไม่น้อย
ชายคนนี้กล่าววาจาเหลวไหลอะไรออกมากัน?
"อะไร? ยังคิดตีหน้าซื่อหรือ?" ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบคำอะไร ศิษย์คนนั้นพลันหัวเราะเยาะออกมา "เด็กน้อย …ข้าขอบอกไว้เลย ว่ามีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่กระทำเช่นเจ้า! ล้วนนิยมแสร้งแสดงว่าเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวเช่นนี้ … เด็กน้อยเจ้ายังมีอายุเพียง 20 นิดๆใช่หรือไม่ หาญกล้าถึงขั้นใส่ชุดศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาว? หรือเจ้าคิดว่าตัวเป็นอัจฉริยะเหมือน นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 หรือไร? "
ต้วนหลิงเทียนพึ่งฟื้นตัวจากอาการอึ้งหลังถูกใส่ความอย่างเหลวไหลที่สุด ทั้งยังโดนด่าจากคนตรงหน้าอย่างไม่รู้เรื่องราว ทว่าเขาทำเพียงยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวตอบไป “ศิษย์พี่ ข้าเกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว..ข้าต้วนหลิงเทียน เป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวจริงๆ นี่เป็นจดหมายแนะนำตัวข้าจากประมุขนิกาย เพื่อให้ข้ามอบแก่ อาวุโสจ้าวอวี่และอาวุโสฟงผิง ความในจดหมายนี้สามารถระบุตัวตนข้าได้” ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบก็หยิบจดหมายแนะนำตัว ออกมาจากแหวนมิติ ก่อนที่จะส่งไปให้ศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวเบื้องหน้า
เขาไม่ได้เก็บเอาเรื่องที่ศิษย์สายในตรงหน้ากล่าววาจาดุร้ายใส่เขามาคิดมากอะไร
เพราะทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งสิ้น
แต่ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของต้วนหลิงเทียน จำต้องค้างเติ่งไป
…