สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 286 : อสรพิษน้อยหายไป!
บทที่ 286 : อสรพิษน้อยหายไป!
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่บนเวทีประลองเป็นตายนั้น ตอนนี้อารมณ์ที่พุ่งพล่านของเขา ก็ค่อยๆสงบลง
โทสะที่ทะลักล้นเกินขีดจำกัดของเขา ทุเลาลงเรื่อยๆ กระทั่งสงบลงเมื่อฮั่วซินและเหวียนหวู่ถูกเขาสังหาร
ผมยาวสลวยที่พลิ้วสะบัดแม้ไร้ลมเองก็เริ่มสงบลง ดวงตาแดงก่ำค่อยๆแปรเปลี่ยนกลับคืนสีเดิม เครื่องแต่งกายศิษย์สายนอกที่กระพือขึ้นเมื่อครู่ก็กลับมาเรียบสงบไร้เรื่องราว
สายตาของต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบไปมองศพทั้ง 2 บนพื้นอย่างไม่แยแส ราวกับเขาได้ทำเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร
ต้วนหลิงเทียนริบอาวุธวิญญาณระดับ 7 รวมถึงแหวนมิติของฮั่วซินและเฉวียนอู่ …เมื่อเสร็จสิ้น เขาก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะยามนี้ทุกสายตารอบๆเวทีประลองเป็นตายล้วนจับจ้องมาที่เขา แต่จะอย่างไรเขาก็ก้าวลงจากเวทีประลองมาไม่คิดสนใจอะไร
"ต้วนหลิงเทียน!" ทันใดนั้นเองแก้วหูของต้วนหลิงเทียนพลันต้องสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงหนึ่ง
เสียงนี้ เป็นการควบแน่นพลังงานต้นกำเนิดบีบอัดเป็นเสียงออกมา!
ความสามารถนี้มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ตั้งแต่ขั้นที่ 7 ขึ้นไปเท่านั้นถึงสามารถกระทำได้
เมื่อเสียงถูกส่งผ่านด้วยวิธีนี้ จะมีเพียงเป้าหมายที่ต้องการเท่านั้นถึงจะได้ยิน
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หันไปมองอะไร เขาเพียงเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ จะอย่างไรเสียงนี้ก็ไม่พ้นจ้าวหลิน …
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้มีอะไรต้องเสวนากับจ้าวหลิน เขาเลือกที่จะละเลยมัน…
ครู่หนึ่งพลังงานต้นกำเนิดที่ถูกบีบอัดมาเป็นเสียงก็ถูกส่งผ่านมาที่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง "ต้วนหลิงเทียน ส่งมอบวิธีบ่มเพาะพลังที่เจ้ากำลังบ่มเพาะมาให้ข้า …ข้าสามารถแลกเปลี่ยนมันกับของล้ำค่าที่เจ้าต้องการได้"
ร่างของต้วนหลิงเทียนรั้งลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยามออกมา
แค่ดูก็รู้ว่าจ้าวหลินนี่ มันพวกคิดไม่ซื่อ!
ที่แท้มันก็ต้องการวิชาบ่มเพาะของเขา
แน่นอนเขาย่อมรู้ว่ามันต้องการวิชาบ่มเพาะอะไร …ไม่พ้นวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกที่เขาบอกกล่าวต่อมัน
อันที่จริงวิชาบ่มเพาะนี้เขาเอ็งก็ไม่ได้มีอยู่จริงๆ แค่เอาชื่อมาจากหนังของประเทศโบราณเท่านั้น
มันเป็นแค่เรื่องเหลวไหลที่เขาแต่งขึ้นมาหลอกมัน!
สายตาของต้วนหลิงเทียนหันไปทางหนึ่ง เขาจับจ้องไปยังไกลๆ เห็นได้ชัดว่าเลยเหล่าผู้ชมไปไกลๆ มีร่างจ้าวหลินกำลังจับจ้องมาทางเขาตาเขม็ง
มุมปากต้วนหลิงเทียนเพียงแสยะยิ้มให้มัน พร้อมมองมันด้วยสายตาไร้เรื่องราว แล้วเขาก็เดินออกจากเวทีประลองเป็นตาย
ทุกก้าวที่ต้วนหลิงเทียนเดินออกไป เหล่าศิษย์ที่อยู่ในเส้นทางของเขา ล้วนหลบออกเปิดทางสายหนึ่งให้เขาเดินสะดวก
"ต้วนหลิงเทียนเจ้าช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก!"
"ใช่ๆ เจ้าทำได้อย่างไรกันรึ ถึงบรรลุระดับนี้ได้ ดูไปแล้วเจ้าเองก็มีอายุราวๆ 20 ปีเท่านั้น ใยแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เล่า"
"ต้วนหลงเทียน พวกเรามาเป็นสหายกัน ดีหรือไม่?"
…
ทุกก้าวที่ต้วนหลิงเทียนเดินผ่านไป เหล่าศิษย์ล้วนพยายามส่งเสียงกล่าวคำวุ่นวาย ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะอิจฉาความสามารถของต้วนหลิงเทียน
ทว่าท่าทางของต้วนหลิงเทียนก็แลดูสงบมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน ไม่คิดจะแยแสอะไร เขาเพียงเดินมุ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อออกจากเวทีประลองแห่งนี้เท่านั้น
"ต้วนหลิงเทียน!" ใบหน้าของจ้าวหลินต่ำลงเล็กน้อย… รอยยิ้มแสยะ และสายตาไม่แยแสเมื่อครู่ เป็นต้วนหลิงเทียนส่งให้เขาเพื่อเป็นการปฏิเสธไม่ผิดแน่!
จ้าวหลินกำมือขึ้นพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงน่ากลัว "ต้วนหลิงเทียน ข้าผู้นี้อยากได้อะไร ก็ต้องได้!"
เมื่อต้วนหลิงเทียนจากไป เหล่าศิษย์ของขุนเขาเทียนเฉวียนก็สลายตัว
แต่ถึงแม้พวกมันจะสลายตัวจากไป ทว่าบทสนทนายังคงมีอยู่ เนื่องเพราะพวกมันทั้งหมดยังไม่หายตกใจในความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 4 ในวัยราวๆ 20 ซ้ำยังใช้เพียงอาวุธวิญญาณระดับ 8 เพื่อสังหารศิษย์สายนอกระดับเดียวกันที่ถืออาวุธระดับ 7 จำนวน 2 คน
ทั้งยังเป็นฆ่าพวกมันที่เข้ามาพร้อมๆกัน ในกระบี่เดียว
ความสำเร็จเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึง!
หลังจากที่ออกจากเวทีประลองเป็นตาย ต้วนหลิงเทียนก็เดินวกไปวนมา ในรูปแบบสลัดการติดตามก่อนที่จะกลับยอดเขา
เขากังวลว่าจ้าวหลินจะสะกดรอยตามเขามา
ถึงแม้จ้าวหลินจะเป็นอาวุโสของขุนเขาเทียนเฉวียน แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นสามารถระบุได้ว่า จ้าวหลินผู้นี้สามารถกระทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
และตอนนี้มันก็เล็งไปยังคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูกที่เขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา! แน่นอนว่ามันคงไม่รามือจากเรื่องราวครั้งนี้ง่ายๆ
ดังนั้นเขาต้องระมัดระวังให้มากเข้าไว้ ไม่เผลอเปิดโอกาสอะไรให้มันลงมือ
ต้วนหลิงเทียนกระโดดลงไปยืนตามต้นไม้เฉียง ก่อนที่จะเดินเข้าถ้ำไป
"อ้าว เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ ไปไหนแล้ว?" ต้วนหลิงเทียนที่เข้ามาในถ้ำ ก็ต้องตกใจเมื่ออสรพิษน้อยทั้ง 2 ได้หายตัวไป เมื่อไม่พบเจอเจ้าตัวน้อยทั้ง 2 ในใจต้วนหลิงเทียนก็กังวลและบังเกิดความเป็นห่วงขึ้นมาอย่างหนักหนา
"ถึงเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋จะขี้เล่น แต่พวกมันก็ไม่เคยไปไหนโดยไม่บอกกล่าว … หรือมีอะไรเกิดขึ้นกัน?" ต้วนหลิงเทียนตอนนี้คิดได้ว่าตัวกังวลและฟุ้งซ่านวุ่นวาย ก็ค่อยๆสงบอารมณ์ลง ยามนี้มีเพียงตั้งสติ ค่อยๆคิดเท่านั้นถึงจะรับมือเรื่องราวได้
"เป็นไปได้หรือไม่ที่มีผู้ใดมาที่นี่?" ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกังวลใจ
ครู่ต่อมาเขาก็พยายามเดินหาร่องรอยตามถ้ำอย่างละเอียด
ในที่สุดเขาก็ยืนยันได้เรื่องหนึ่ง
นอกจากเขาแล้วยังไม่มีใครลงมาที่แห่งนี้เป็นคนที่ 2 …นอกจากนั้นเขาก็ยังพบเห็นร่องรอยเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 เลื้อยออกมานอกถ้ำ
กล่าวง่ายๆ เจา 2 ตัวนี่มันออกมากันเอง
"แล้วเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ จะไปไหนได้กัน?" ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นว่าร่องรอยอสรพิษน้อยทั้ง 2 มาจบที่ไม้เอียง
เขาพลันกระโดดขึ้นไปหาร่องรอบบนยอดเขา ทว่ากลับไม่พบร่องรอยของพวกมันแม้แต่น้อย …
กล่าวได้ว่าพวกมันไม่ได้ขึ้นมายอดเขา
"หรือพวกมันจะเติบโตจนมีปีกงอกแล้วบินออกมากัน?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ทว่าอีกความคิดต่อมาก็ทำให้ใจสั่นสะท้าน "หรือว่า … พวกมันเลื้อยตกต้นไม้เอียงนั่นไปแล้ว?"
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ความสงบเริ่มหายไป หัวใจของเขาพลันกระสับกระส่ายฟุ้งซ่านอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนออกจากขุนเขาเทียนเฉวียน เมื่อมาถึงขุนเขาเทียนชู เขาก็เดินลงเขาออกจากนิกายกระบี่ 7 ดาวไป
เขาไม่ได้ไปที่ไหนไกล เขาไปเดินดูบริเวณตีนเขาของขุนเขาเทียนเฉวียน เพื่อยืนยันว่าอสรพิษทั้ง 2 นั้นตกลงมาหรือไม่ …
"หื้ม" ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็พบร่องรอยเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 บริเวณตีนเขาเทียนเฉวียน
เมื่อเขามองไปยังหน้าผาสูงชนเขาเห็นรอยยาว 2 สาย ที่น่าจะเป็นรอยจากการเลื้อยของเจ้าตัวน้อยทั้ง 2 ดิ่งลงมาจากด้านบน
กล่าวคือเจ้าตัวน้อยทั้ง 2 มันเลื้อยลงหน้าผามาง่ายๆเช่นนี้เลย…
"เจ้า 2 ตัวน้อยนั่นกล้าหาญนัก" ต้วนหลิงเทียนไปยืนมองร่องรอย ก่อนที่จะแหงนขึ้นไปมองยอดเขา ที่สูงเทียมเมฆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเหน็บหนาวขึ้นมาในใจเล็กน้อย
"อา…แล้วเจ้า 2 ตัวน้อยมันไปที่ไหนกันล่ะเนี่ย" ต้วนหลิงเทียนเดินวนไปวนมารอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็พบร่องรอยของเจ้าอสรพิษน้อย เขาก็แกะรอยเดินตามไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีเขาก็เดินลึกเข้ามาในป่าซ้ำยังเป็นบริเวณที่มีร่องรอยสัตว์อสูรจำนวนมากอาศัยอยู่
ไม่นาน ร่องรอยของเจ้าตัวน้อยทั้ง 2 ก็หายไปกลางป่าลึก ไม่เหลืออะไรให้สืบสาวอีก
"เจ้าทั้ง 2 ตัวนี่มันมาทำอะไรที่นี่กัน หรือว่ามันหิว?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่นไปมา"เอาล่ะ จะอย่างไรข้าก็มาถึงที่นี่แล้ว ลองค้นหามันดูให้ทั่วๆก่อน ดูว่าจะเจอพวกมันไหม…ฮึ่ม ถ้าเจอล่ะก็ ต้องสั่งสอนให้รู้จักเชื่อฟังกันบ้างแล้ว!"
ต้วนหลิงเทียนนั้นทั้งกังวลทั้งโกรธที่เจ้า 2 ตัวน้อยออกมาไม่บอกกล่าว
ถึงแม้ว่าอสรพิษน้อยทั้ง 2 จะเป็นเพียงสัตว์อสูร แต่สำหรับเขาที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิดก็ไม่ต่างอะไรจากครอบครัว
เมื่อตอนนี้จู่ๆพวกมันก็มาหายตัวไปอย่างกะทันหัน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจเสีย เหมือนมีอะไรในชีวิตหายไป ความวิตกกังวลอย่างหนึ่งสุมอยู่เต็มอก เขาเองก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับความรู้สึกเช่นนี้สักเท่าไร
ในระหว่างทางที่เขาติดตามรอยพวกมันเข้ามาในป่า ต้วนหลิงเทียนก็พบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เขาก็จัดการพวกมันจนหมดสิ้น
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบบางอย่าง
พลังสั่นสะเทือนของเขาไม่ได้ทรงพลังไปทุกอย่าง …
พลังสั่นสะเทือนของเขานั้นสามารถใช้ได้ผลกับฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งกว่าเขาไม่เกิน 10 ช้างแมมมอธโบราณเท่านั้น
เมื่อความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายมากเกินกว่าเขา 10 ช้างแมมมอธโบราณ พลังสั่นสะเทือนของเขาจะกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ทันที
ตัวอย่างก็ไม่ว่าจะแรดคชสาร หรือเสือดาวอำมหิต ที่เขาพบเจอในป่าแรกเริ่มก่อนหน้านี้กระทั่งศิษย์สายนอกทั้ง 2 คนที่อย่างฮั่วซินและเหวียนหวู่เขาพึ่งสังหารไป …
แม้กำลังความแข็งแกร่งที่ต้วนหลิงเทียนใช้ ตอนจัดการกับพวกมันจะน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้น้อยกว่า 10 ช้างแมมมอธโบราณ
มันยังอยู่ในขอบเขตของพลังสั่นสะเทือนที่ยังส่งผล
"กล่าวได้ว่าด้วยความแข็งแกร่ง 71 ช้างแมมมอธโบราณในตอนนี้ของข้า กับพลังสั่นสะเทือน ยังพอใช้ได้ผลกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 6 … แต่ไม่อาจทำอะไรผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 ได้แล้ว " ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ และรีบทำความเข้าใจในเรื่องนี้
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้จะมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 80 ช้างแมมมอธโบราณ กล่าวได้ว่ามีความต่างจากต้วนหลิงเทียนแค่ 9 ช้างแมมมอธโบราณ ทำให้ยังอยู่ในขอบเขตที่พลังสั่นสะเทือนยังส่งผลอยู่
‘อย่างไรก็ตามถ้าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 6 ใช่อาวุธวิญญาณระดับ 7 แล้ว ความแข็งแกร่งมันจะเกินกว่าที่ข้าจะรับมือไหว ถึงแม้ข้าจะใช้อาวุธวิญญาณระดับ 7 ก็ตาม … ในแง่ใช้อาวุธจู่โจมปะทะกัน ข้าแพ้!’ ต้วนหลิงเทียนขบคิดเล็กน้อย
‘หากเกิดเรื่องราวปะทะกันกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดก่นแท้ขั้นที่ 6 ขึ้น ข้าคงไม่อาจใช้วิธีเดียวกันกับที่จัดการฮั่วซินและเหวียนหวู่ได้ … เพราะผลจากการขยายพลังของมันยามถืออาวุธวิญญาณระดับ 7 ในมือ จะมากเกินกว่าความแข็งแกร่งของข้ายามถืออาวุธระดับ 7 ในมือ เกิน 10 ช้างแมมมอธโบราณ’
‘ถ้าข้าต้องการเอาชนะพวกมัน ข้าต้องหาทางทำให้มันทิ้งอาวุธ หรือปลดอาวุธมัน ไม่ก็ต้องบังคับให้มันปะทะกับข้าด้วยมือเปล่า!’
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 6 มีความแข็งแกร่ง 80 ช้างแมมอมธโบราณ หากใช้อาวุธระดับ 7 ความแข็งแกร่งสมควรอยู่เหนือ 100 ช้างแมมมอธโบราณขึ้นไป …
ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้น มีความแข็งแกร่งเพียง 71 ช้างแมมมอธโบราณ ถึงใช้อาวุธระดับ 7 แล้ว ก็ยังมีแค่เพียง 90 ช้างแมมมอธโบราณหรือเกินมาอีกนิดเท่านั้น!
ด้วยเหตุนี้ความแข็งแกร่งก็อาจจะต่างกันเกิน 10 ช้างแมมมอธโบราณ!
และนั่นมันเกิดขอบเขตที่พลังสั่นสะเทือนจะมีผล
‘ดูเหมือนหากข้าต้องปะทะกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 6 ที่มีอาวุธระดับ 7 ในมือ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆแล้วล่ะก็ เพื่อความปลอดภัยคงจำเป็นต้องใช้อาคมจารึกสินะ’ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ
ในกรณีที่อีกฝ่ายมีระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 6 และถืออาวุธวิญญาณระดับ 7 หากเขาต้องการชนะ เขาก็สามารถใช้ชั้นเชิงยุทธ์ที่เหนือกว่าหลอกล่อและจู่โจมอย่างคาดไม่ถึง หรือทำให้อีกฝ่ายไม่อาจใช้อาวุธวิญญาณได้
แต่การทำเรื่องแบบนั้นมันก็อันตรายมาก
หากฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ไก่อ่อน และไม่หลงกล ซ้ำยังมีสติรับมือการจู่โจมคาดไม่ถึงของเขาแล้วล่ะก็ เขาจะถูกบังคับให้อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบทั้งพลังและความเร็ว ทำให้เขาอาจพ่ายแพ้หรือตายได้
‘บ่มเพาะ! … ข้าก็แค่ต้องบ่มเพาะพลังให้ก้าวหน้า เมื่อระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่ม พลังสั่นสะเทือนก็จะเพิ่มพูนขึ้นด้วยเช่นกัน มันไม่ได้ถูกจำกัดพลังอำนาจอยู่แค่ 10 ช้างแมมมอธโบราณซะหน่อย’ ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ตัดสินใจจะทุ่มเทบ่มเพาะพลังให้มากขึ้นไปอีก
ต้วนหลิงเทียนค้นหาในป่าแรกเริ่มอยู่ทั้งวันทั้งคืนเขาก็ยังไม่พบร่องรอยของอสรพิษน้อยทั้ง 2 สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจกลับบ้านถ้ำเปล่าอย่างช่วยไม่ได้
แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าด้วยระดับของอสรพิษน้อยทั้ง 2 การที่พวกมันจะเอาตัวรอดในป่าแรกเริ่มนี่ ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ