สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 280 : รังควาญดั่งภูตผี
บทที่ 280 : รังควาญดั่งภูตผี
"พรวด"
ในที่สุดจ้าวหลินก็กระอักโลหิตคำโตออกมา เนื่องจากเลือดลมของมันปั่นป่วนอย่างหนักด้วยโทสะที่มีต่อต้วนหลิงเทียนและเหล่าศิษย์โดยรอบ!
โลหิตคำโตสาดกระจายเจิ่งนองไปทั่วพื้น
เหล่าศิษย์ขุนเขาเทียนเฉวียนรวมถึงต้วนหลิงเทียน ล้วนต้องมองด้วยความตะลึงราววิญญาณหลุดจากร่าง
"อาวุโสจ้าวหลิน พวกเรามิได้โป้ปดต่อท่าน พวกเราเข้าใจและยอมรับ…รับได้จริงๆ…" ศิษย์คนหนึ่งของขุนเขาเทียนเฉวียนมองไปยังจ้าวหลินอย่างตะลึงงัน แต่เขากล่าวยังไม่ทันจบคำ ก็ต้องหยุดลงเสียก่อนเพราะจ้าวหลินใช้สายตารุนแรงจับจ้องมาที่เขา
"เจ้า …ดี! ดีมาก! ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง" จ้าวหลินสูดลมหายใจเข้าช้าๆก่อนที่จะกวาดสายตามองมายังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชาไม่แยแส ก่อนที่จะเดินจากไป
เหล่าศิษย์ที่รายล้อม รีบเปิดทางให้เป็นการเร่งด่วน
หลังจากที่จ้าวหลินจากไป ศิษย์ขุนเขาเทียนเฉวียนล้วนจับจ้องมายังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสารแฝงไว้ "น้องชาย ดูเหมือนอาวุโสจ้าวหลินไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ… ดูแลตัวเองด้วย"
"น้องชาย เรื่องนี้เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว แม้พวกเราจักเห็นใจเจ้าแต่พวกเราไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้"
"น้องชาย หากเจ้าเกิดใหม่ชาติหน้า เจ้าอย่าได้เกิดมามีผิวพรรณที่ดีงามยิ่งนี้อีกเล่า…กระทั่งสตรียังอิจฉาผิวพรรณนี้ของเจ้า"
“บางทีคงเป็นเพราะเรื่องนี้ เจ้าถึงได้รับความโปรดปรานจากอาวุโสจ้าวหลิน”
…
ศิษย์ของขุนเขาเทียนเฉวียนทยอยกันมากล่าวคำต่อต้วนหลิงเทียน
เมื่อพวกเขาเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเพียงยืนนิ่งค้างไปราวตัวโง่งม ไม่ตอบสนองอะไร พวกมันเพียงส่ายหน้า ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป
"ดูเหมือนมันเองก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ที่ไปแข็งข้อกับอาวุโสจ้าวหลิน"
"เฮ่อ ข้าล่ะสงสารมันนัก ไม่รู้ว่าตัวมันโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ขุนเขาเทียนเฉวียนเรามีผู้คนตั้งมากมาย แต่อาวุโสจ้าวหลินก็ชมชอบเพียงแต่มัน"
"นั่นเป็นเหตุผลที่บุรุษมิควรขาวหรือผิวดีอันใดให้มากอย่างไรเล่า มิเช่นนั้นต้องพบเจอคนอย่างอาวุโสจ้าวหลิน"
…
กลุ่มศิษย์ของขุนเขาเทียนเฉวียนนั้นทำได้เพียงถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะเดินจากไป
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พลันได้สติอีกครั้ง
สายตาของจ้าวหลินเมื่อครูก่อนจากไป ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักว่า เรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายดั่งที่คิด …
"เป็นไปได้หรือไม่ ที่มันไม่ได้มีรสนิยมเช่นนั้น? นี่ข้าเข้าใจมันผิดไปงั้นรึ?" เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนย่อมเห็นว่าจ้าวหลินบังเกิดโทสะจนกระอักโลหิต ซ้ำแววตาสุดท้ายที่มองมานั้นอำมหิตและคิดฆ่าเขาให้ตาย หรือสับเป็นชิ้น
การแสดงออกของจ้าวหลินไม่เหมือนคนที่ชมชอบบุรุษ
"แล้วถ้ามันไม่ได้มีรสนิยมเช่นนั้น แล้วเหตุใดมันต้องจ้องมองราวกับอยากได้ตัวข้าแบบนั้นเล่า?"ต้วนหลิงเทียนสงสัยขึ้นมาอย่างหนัก แต่เมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
"ช่างเถอะ ถือซะว่าครั้งนี้เป็นข้าผิดต่อมันแล้วกัน" ต่วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนี้นัก
จ้าวหลินเป็นผู้อาวุโสของศิษย์สายนอกแห่งขุนเขาเทียนเฉวียน จะอย่างไรมันก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรเขาในที่สาธารณะ เพราะมีกฎเคร่งครัดของนิกายกระบี่ 7 ดาวค้ำคออยู่
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความอึดอัดใจ ก่อนที่จะก้าวอาดๆ มุ่งหน้ากลับยอดเขาเทียนเฉวียน
ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าต้องรู้สึกระแวงจ้าวหลินในใจ หลังจากที่เขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจเดินไปยังสถานที่ๆมีคนพลุกพล่าน
เขาใช้เวลาเดินวนไปมาในหมู่ฝูงชนกว่า ครึ่งชั่วโมง
"พลังวิญญาณของข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้จิตสัมผัส ตรวจหาผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ เช่นนั้นหากมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติสะกดรอยตามข้า คงลำบากแล้ว …หึ! แต่ถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์แรกสัมผัสธรรมชาติแล้วจะอย่างไร การสะกดรอยข้าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น! " ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าการเดินปะปนในฝูงชนด้วยวิธีสลัดผู้ติดตามนั้น ถึงแม้จ้าวหลินจะสะกดรอยตามเขาอยู่ แต่ก็คงถูกทำให้หัวหมุนโดยเขาไปแล้ว
ในฐานะราชันย์สรรพาวุธ ในชีวิตที่แล้วของโลกก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนค่อนข้างมั่นใจอย่างมาก
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เลือกหนทางเล็กแคบสายหนึ่งมุ่งหน้าสู่ยอดเขาเทียนเฉวียน
หากจ้าวหลินสะกดรอยตามเขามาจริงๆ มันคงไม่เชื่อแน่ว่าสถานที่บ่มเพาะของเขาจะอยู่บนยอดเขาเช่นนี้
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงยอดเขา ตอนนี้จ้าวหลินยังคงหันรีหันขวางอยู่ด้านล่าง มองไปในฝูงชนด้วยความไม่พอใจ "ไอเด็กนั่นทำให้ข้าประหลาดใจนัก … เป็นไปได้หรือไม่ที่มันสัมผัสถึงตัวข้า?"
เมื่อเขาย้อนนึกกลับไปก่อนหน้านี้ ต้วนหลิงเทียนเลือกสถานที่ๆมีคนพลุกพล่าน เขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยในใจ
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็หายลับไปต่อหน้าต่อตาของเขายิ่งทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้น
"มากที่สุดเด็กหนุ่มผู้นี้ก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้… มันจะสัมผัสถึงการคงอยู่ของข้าได้อย่างไร?" จ้าวหลินสูดลมหายใจลึกๆก่อนที่จะตัดสินใจ
ไม่ว่ามันจะทำได้อย่างไร แต่เขาไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มอายุ 20 ปี จะสัมผัสถึงเขาได้
เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้กลับไปยังถ้ำหินย้อยริมหน้าผาเรียบร้อยแล้ว เขาเหลือบมองเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ที่นอนแอ้งแม้งด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มนั่งลงบนหินก้อนใหญ่และเริ่มบ่มเพาะ
วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบนาคาพิโรธ!
ในขณะที่บ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนก็ค้นไปในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ก่อนที่จะสังเกตเห็นบางอย่าง
เขาพบว่าพลังสั่นสะเทือนในรูปแบบที่ 3 นาคาพิโรธนี้ สามารถพัฒนาให้ทรงพลังได้มากขึ้นเช่นกัน
เมื่อเขาตัดผ่านระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 4 พลังงานต้นกำเนิดในร่างจะถูกพัฒนาจนทำให้เขาสามารถใช้ในรูปแบบสั่นสะเทือนได้
และต่อไปหากระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มพูนขึ้น พลังสั่นสะเทือนก็จะเพิ่มพูนขึ้นไปด้วย
"ตอนนี้ข้าพึ่งมีระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 4 แต่พลังสั่นสะเทือนก็น่ากลัวมากแล้ว … หากยังสามารถยกระดับไปมากกว่านี้ มันจะไม่ท้าทายสวรรค์มากเกินไปหน่อยหรือ?" ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบออกมาด้วยความสุขและความคาดหวัง
วันนี้เขาได้ลองเข้าไปในป่าแรกเริ่มและได้ทดสอบพลังสั่นสะเทือนสมใจ เขาก็พบว่ามันช่างยอดเยี่ยม และเรียกได้ว่าท้าทายสวรรค์นัก
ในตอนแรกที่เขาใช้ระดับบ่มเพาะเพียงกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 3 และอาศัยอาวุธวิญญาณระดับ 8 เขายังไม่อาจทะลวงหรือเฉือนผ่านเนื้อหนังของแรดคชสารที่อยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 4 ได้…แต่เมื่อเขาใช้พลังสั่นสะเทือน กระบี่ระดับ 8 ก็ทะลวงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ทะลวงผ่านได้กระทั่งกะโหลก! และเมื่อแผ่พลังกระจายไปทั่ว กระดูกทั้งร่างมันถึงกับแหลกราญป่นปี้!
พลังสั่นสะเทือนนับว่าเป็นอำนาจในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงยิ่งนัก!
มันยอดเยี่ยมยิ่งกว่าวิชายุทธ์เสียอีก!
อีกทั้งยามเผชิญหน้ากับเสือดาวอำมหิตก็เช่นกัน เขาทะลวงร่างมันได้ง่ายราวกับใช้มีดหั่นเต้าหู้!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียน รีบบ่มเพาะพลังอย่างจริงจัง และทุ่มเทมากขึ้น
"ด้วยพรสวรรค์ตามธรรมชาติของข้าที่อยู่ในระดับสูงสุด และใช้โอสถเร่งพลังกำเนิด ที่มีความบริสุทธิ์กว่า 90% ข้าสมควรตัดผ่านระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5 ภายใน 3 เดือน!" ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
นับตั้งแต่ที่เขาใช้นมผา 10,000 ปี พรสวรรค์และศักยภาพของร่างเขาก็ยกระดับไปอยู่ในจุดสูงสุด
บ่มเพาะ!
ต้วนหลิงเทียนหลับตาลงอีกครั้งและเริ่มสั่งสมพลัง
หลังจากบ่มเพาะพลังทั้งวันทั้งคืนเขาก็ตื่นขึ้นมาตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ด้วยความหิว …
หลังจากที่หยิบเนื้อออกมาย่างกินเรียบร้อยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากถ้ำ และคิดที่จะลงจากยอดเขา เพื่อไปยังหอแลกเปลี่ยน ของขุนเขาเทียนเฉวียนที่ตั้งอยู่ตรงลานหินใกล้ๆสะพานโซ่
เมื่อตอนที่กลับมาจากป่าแรกเริ่มเมื่อวาน ชีหลันกับหูลี่ก็ได้แบ่งของที่ได้จากการล่าอย่างเท่าเทียม
ตอนแรกนั้นชีหลันกับหูลี่คิดที่จะยกแกนแรดคชสารกับเสือดาวอำมหิตให้เขาคนเดียว แต่เขาก็ปฏิเสธออกไปเพราะมันจะเป็นการแบ่งที่ไม่เท่าเทียม
สุดท้ายเขาก็เอามาแต่แกนสัตว์อสูรของเสือดาวอำมหิต
ตอนนี้เขาตั้งใจไปยังหอแลกเปลี่ยน และใช้แกนสัตว์อสูรเสือดาวอำมหิตนี้แลกกับวัตถุดิบบางอย่าง
แน่นอนว่าต้องเป็นวัตถุดิบที่จะใช้จารึกอาคมเพลิงผลาญ
มันเป็นอาคมจารึกจู่โจมที่สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวแรกสัมผัสธรรมชาติได้
วัตถุดิบหลักของอาคมจารึกเพลิงผลาญก็คือ หญ้าเปลวเงินที่เขาประมูลได้มาจากโรงประมูลตระกูลหม่า ที่เขาผ่านขณะเดินทางมายังนิกายกระบี่ 7 ดาว
ถึงแม้ว่าเขาจะมีวัตถุดิบหลักแล้ว แต่วัตถุดิบรองอื่นๆยังมีไม่ครบ
หากต้องการจะจารึกเขาก็ต้องเตรียมพวกมันเอาไว้ให้ครบ
เขาจึงคิดมาหาพวกวัตถุดิบต่างๆที่หอแลกเปลี่ยนของขุนเขาเทียนเฉวียน
ภายในหอแลกเปลี่ยนแล้ว นอกจากจะนำเงินมาซื้อหรือส่งของมาแลกเปลี่ยนกับผู้หลบอมโอสถและผู้หลอมศาสตรา … เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็มีแลกเปลี่ยนกันเองอยู่บ้าง
แกนสัตว์อสูรของเสือดาวอำมหิตถึงแม้ว่าจะไม่นับว่ามีค่ามากเท่าไร แต่มันหาได้ยากมาก
ส่วนวัตถุดิบที่ต้วนหลิงเทียนต้องการนั้น แม้ว่ามันจะหายากเช่นกัน แต่ทว่ามันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในการหลอมสร้างโอสถหรือศาสตรา
ดังนั้นเพียงครึ่งชั่วโมงต้วนหลิงเทียนก็ประสบผลสำเร็จ
ศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่ 7 ดาวที่นำวัตถุดิบที่ตัวเองไม่ได้ใช้ มาแลกกับแกนสัตว์อสูรของเสือดาวอำมหิตที่หาได้ยากยิ่ง ราวกับลาภลอยทำให้มันยิ้มจนแก้มแทบปริ
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนเองก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ในที่สุดเขาก็สามารถจารึกอาคมเพลิงผลาญได้เสียที
แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังดีใจและคิดที่จะมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเทียนเฉวียน เขาก็พบเจอกับจ้าวหลินที่กำลังยืนจ้องมาตาเขม็งอีกครั้ง "บัดซบ มันตามรังควาญข้าราวกับวิญญาณร้าย!"
ตอนนี้จ้าวหลินยืนจังกว้าขวางทางเดินพร้อมจ้องมองมาด้วยสายตาคมกล้า
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หลีกเลี่ยงอะไรมัน เขาเพียงเดินหน้าต่อไปพร้อมคิ้วขมวดเป็นปม ก่อนที่จะกล่าวถาม "อาวุโสจ้าวหลิน ท่านยังต้องการอะไรจากข้าอีก?"
ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วว่าจ้าวหลินนี่ไม่น่าจะมีรสนิยมเช่นนั้นจริงๆ
แต่ทำไมจ้าวหลินถึง จ้องเขาเช่นนั้น?
นั่นเป็นสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเข้าใจได้
และตอนนี้เขาต้องการรู้เหตุผลนั่นให้เร็วที่สุด
"ต้วนหลิงเทียน!" จ้าวหลินมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเคียดแค้น เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวาน มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดโทสะขึ้นมา
เรื่องราวเมื่อวานนี้ แพร่กระจายไปทั่วทั้งขุนเขาเทียนเฉวียนแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของขุนเขาเทียนเฉวียน ยามนี้สายตาของศิษย์ที่มองมาล้วนมองมันราวตัวประหลาด
มันเชื่อว่าอีกไม่นานเรื่องนี้มิแคล้วแพร่กระจายไป จนรู้กันทั่วทั้งนิกายกระบี่ 7 ดาว…
ชื่อเสียงของมันป่นปี้ไม่มีเหลือ…
นอกจากนี้สาเหตุของเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา เด็กหนุ่มที่เป็นเพียงศิษย์สายนอกธรรมดาๆของขุนเขาเทียนเฉวียน
ตัวมันตัดสินใจขั้นเด็ดขาดไปแล้ว หากมันสามารถแย่งชิงสิ่งที่มันต้องการจากไอเด็กนี่ได้เมื่อไหร่ มันจะฆ่าไอเด็กนี่ให้ตายเพื่อระบายแค้น
"หืม?" ต้วนหลิงเทียนนั้นมีประสบการณ์มา 2 ช่วงชีวิต และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ ที่รอดผ่านทะเลโลหิตและก้าวข้ามซากศพมามากมาย แน่นอนว่าเขาต้องสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของจ้าวหลิน
ใบหน้าของเขาลดลงต่ำทันที "อาวุโสจ้าวหลิน… มีอะไรก็กล่าวออกมาตรงๆ"
จ้าวหลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันใช้สายตาดุร้ายจ้องมองมายังต้วหนลิงเทียน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆทว่าเต็มไปด้วยความน่ากลัว "เด็กน้อย เรื่องราวเมื่อวานข้าสามารถปล่อยมันผ่านไปได้ …แต่เจ้าต้องจ่ายราคาสำหรับเรื่องนี้ ความต้องการของข้าก็ไม่ได้มากมายอะไร เพียงแค่เจ้าส่งมอบนมผา 10,000 ปีออกมา!