สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 264 : ราวกับเกิดใหม่
บทที่ 264 : ราวกับเกิดใหม่
สภาพแวดล้อมและพลังงานมากมายในถ้ำหินย้อยหมื่นปีนี่ นับว่าส่งเสริมการบ่มเพาะได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดที่กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนเอง ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
"หากสถานที่แห่งนี้ถูกคนของนิกายกระบี่ 7 ดาวค้นพบแล้วล่ะก็ ไม่พ้นมันต้องเป็นสถานที่สำคัญและล้ำค่าที่สุดในนิกายแน่นอน… " ต้วนหลิงเทียนอดที่จะคิดแบบนี้ไม่ได้
นิกายกระบี่ 7 ดาวก่อตั้งมานานนับพันปี แต่ไม่มีใครเคยค้นพบความลับเลิศล้ำอัศจรรย์นี้ ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงถ้ำลับในขุนเขาเทียนเฉวียนนี้สักคน ตอนนี้ผลประโยชน์มหาศาลจึงตกมาถึงต้วนหลิงเทียน
หลังจากนั้นไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็หยิบขวดโอสถที่บรรจุนมผา 10,000 ปีเอาไว้ออกมา ก่อนที่จะเปิดขวดและดื่มมันรวดเดียวหมดขวด
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังอุ่นร้อนในท้อง เริ่มแผ่กระจายไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา มันหลอมรวมเข้ากระแสเลือด กระดูก รวมทั้งผิวเนื้อของเขา…กล่าวได้ว่ากระจายครอบคลุมไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย
เนิ่นนานผ่านไป ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาอบอุ่นขึ้น และมีความสบายตัวไม่น้อย อากาศที่เคยหนาวเย็นในถ้ำแห่งนี้ไม่อาจกล้ำกรายทำอะไรเขาได้อีก
"ต่อไป" ต้วนหลิงเทียนหยิบขวดโอสถที่บรรจุไว้ด้วยนมผา10,000 ปีออกมาอีกขวด ก่อนที่จะกระดกหมดขวดอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นเองกระแสอุ่นร้อนของนมผา 10,000 ปี ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง และในขณะที่ร่างกายของเขาอบอุ่นขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่า รูขุมขนทั่วร่างกายของเขากำลังเปิดออก และขับของเสียออกมาไม่หยุด สร้างความรู้สึกสบาย และพึงพอใจให้เขาอย่างถึงที่สุด
"ช่างสบายตัวนัก" ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา ยามกล่าว กาซพิษในร่างกายก็ถูกระบายออกมาทางปากเช่นกัน
ตอนนี้ทั่วทั้งร่างเขาบังเกิดความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ และเมือเขาก้มลงมาดู เขาก็สัมผัสได้ว่ายามนี้สิ่งสกปรก ปนเปื้อนทั้งหลายแหล่ได้ถูกขจัดออกมามากมาย
"ชำระล้าง เส้นพลังและไขกระดูก ด้วยงั้นรึ!" ต้วนหลิงเทียนจับสัมผัสร่างกายตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ครู่หนึ่งก็ตกตะลึงไม่น้อย เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่านมผา 10,000 ปีนั้นทำสิ่งใด และร่างกายเขาแปรเปลี่ยนไปมากขนาดไหน กล่าวได้ไม่อายปากว่า ยามนี้ร่างกายของเขานั้น สมบูรณ์แบบและเลิศล้ำที่สุด สำหรับการฝึกยุทธ์
"ตอนนี้สภาพร่างกายในปัจจุบันของข้า ได้บรรลุขีดขั้นศักยภาพอันไร้จำกัด! เป็นร่างพรสวรรค์สูงที่สุดสำหรับฝึกฝนยุทธ์แล้ว!" ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็เร่งเร้าพลังงานต้นกำเนิดก่อนที่จะแผ่มันออกมา ขจัดคราบสิ่งสกปรกปนเปื้อนออกไปจากร่างจนหมดสิ้น ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืดเนื้อตัวอย่างสดชื่น
คนๆหนึ่งนั้นเมื่อใช้นมผา 10,000 ปีมากพอถึงจุดๆหนึ่ง ด้วยสรรพคุณของมันก็จะชำระร้างสิ่งสกปรกทั้งยังยกระดับศักยภาพพรสวรรค์ให้บรรลุขีดขั้นสูงสุดเท่าที่ร่างมนุษย์จะไปถึงได้… ราวกับถือกำเนิดใหม่ก็ไม่ปาน
และเพียงนมผา 10,000 ปี 2 ขวด ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนสามารถปรับปรุงร่างกายให้ก้าวไปอยู่ในจุดสูงสุด
ตอนนี้หากทอดสายตามองไปทั่วทั้งทวีปเมฆาล่อง ก็หามีผู้ใดที่มีร่างกายที่เหมาะสมเต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ และพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เท่าเขาอีกแล้ว …ไม่มี
แน่นอนว่าทั่วทั้งทวีปเมฆาล่องนี้การจะหาผู้คนธรรมดาที่สามารถพบพานวาสนาเช่นนี้ มันย่อมยากเกินจินตนาการ แต่จะอย่างไรย่อมต้องมีสักคนในในทวีปที่พานพบโชคมหาศาลดั่งเช่นต้วนหลิงเทียน และได้นมผา 10,000 ปีนี้อยู่บ้าง
แต่ถึงมันจะได้รับแล้วก็เท่านั้น ศักยภาพและพรสวรรค์ของร่างกายมันจะไม่มีทางเหนือล้ำไปกว่าต้วนหลิงเทียนได้ อย่างมากที่สุด ก็ทำได้เพียงเทียบเท่ากันเท่านั้น!
"เอ๊ะ นี่มัน…." ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ตะลึง
เพราะตอนนี้เขาสังเกตได้ว่ามือของเขา ทีเคยมีสีบรอนซ์ กลับกลายเป็นขาวอมชมพูระเรื่อไปเสียแล้ว แลดูไป..จะว่าสวยงามดั่งกุหลาบก็ไม่ผิด…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนคิดร้องก็ร้องไม่ออก
กล่าวได้ว่าผิวของเขาตอนนี้ …เรียบเนียน นุ่มละมุน สวยงามยิ่งกว่าเค่อเอ๋อและลี่เฟยเสียอีก!!
"บัดซบ เช่นนี้…หน้าข้า…." ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนบังเกิดความคิดสยดสยองประการหนึ่งขึ้นมา เขารีบนำมือไปลูบใบหน้าทันที และเมื่อจับดูแล้ว สีหน้าของเขาพลันซีดทันที
เขาพบได้อย่างชัดเจนว่ายามที่จับแก้มตัวเองนั้น มันเนียนนุ่มกว่าแก้มของเค่อเอ๋อและลี่เฟยเสียอีก มันเรียบเนียนละมุนละไมราวกับแค่เพียงลากนิ้วผ่านก็จะบุบสลาย …
เรื่องที่เขาหวาดกลัวที่สุดบังเกิดขึ้นแล้ว!!
ตอนนี้เขาต้องถูกมองว่าเป็นบุรุษหน้าสวย ตุ้งติ้งเป็นแน่!
"บัดซบข้าลืมไปเลย หลังจากที่ใช้นมผา 10,000 ปี แล้ว นอกจากเลือดเนื้อไขกระดูกทั่วทั้งร่างจะได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ไร้สิ่งสกปรก แต่ผิวรวมถึงเนื้อทุกส่วนในร่างของข้า ยังกลับมาบริสุทธิ์อ่อนเยาว์ ราวกับทารกแรกเกิด เช่นนี้ อีกด้วย… บัดซบเอ๊ย!" ต้วนหลิงเทียนสบถออกมาก่อนที่จะเผยสีหน้าเจื่อนๆออกมา แล้วนี่เขาจะกล้าไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะลำบากใจกับเรื่องนี้ แต่จะอย่างไรผลลัพธ์นี้มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงพยายามไม่คิดถึงมัน ก่อนที่จะกลับไปให้ความสนใจกับจำนวนนมผา 10,000 ปีที่เขาได้มา
"เจ้าตัวน้อยทั้ง 2 มันกินนมผาไปถึงครึ่งแอ่งนั่น … ครึ่งหนึ่งที่เหลือข้าเก็บใส่ขวดได้ 18 ขวด …อืม ข้าเองกินไปแล้ว 2 ตอนนี้ยังเหลืออีก 16 ขวด…อ่า.. "
"ใน 16 ขวดนี้ เค่อเอ๋อกับลี่เฟยน่าจะใช้รวมกัน 4 ขวด ท่านแม่อีก 2 ขวด…ส่วนเจ้าเสี่ยวจิน ถ้าเทียบกับอสรพิษน้อยแล้ว มันเองก็น่าจะต้องใช้ราวๆ 8-9 ขวด ไม่น่าจะมากหรือน้อยไปกว่านี้…" ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมา
นมผา 10,000 ปีมันมีจำนวนน้อยเกินไปที่จะแบ่งปันให้แก่คนที่เขารู้จักทั้งหมด …
ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะหลับตาลงพร้อมเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบนาคาพิโรธ!
ตอนนี้ระดับพลังงานที่เพิ่มพูนของต้วนหลิงเทียนกล่าวได้ว่ามากกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 2 เท่าจากเมื่อก่อน แสดงให้เห็นถึงผลเลิศล้ำของนมผา 10,000 ปี และความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้อย่างแท้จริง …
กาลเนินน่านผันผ่าน ต้วนหลิงเทียน จำต้องลืมตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้…เพราะยามนี้เขาถูกเล่นง่านอย่างสาหัสด้วยความหิว…
เขาหยิบเนื้อสัตว์ดุร้ายคล้ายสุกรออกมาจากแหวนมิติ ก่อนที่จะควบคุมพลังงานต้นกำเนิดอย่างแยบยลจุดเปลวเพลิงหลอมโอสถขึ้นมาอ่อนๆ ย่างเนื้อจนสุกหอม แล้วก็ส่งมันลงไปอยู่ในท้องจนหมดสิ้น
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 นอนหลับใหลอย่างสงบ เขารู้ดีว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่พวกมันจะลืมตาตื่นขึ้นมา จึงไม่คิดไปปลุกหรือรบกวนอะไรพวกมัน
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายไปสวมชุดประจำกายของศิษย์สายนอก ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากถ้ำหินย้อยหมื่นปี มายังทางออกตรงหน้าผาอีกครั้ง
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนค่อยๆก้าวเดินไปตรงทางออกข้างหน้าผาอย่างระวัง
เขาสังเกตเห็นว่าต้นไม้ที่ขึ้นเฉียงออกไปที่ผนังหน้าผานั้น มันงอกเงยมาจากในถ้ำนี้ และเนื่องจากภายในถ้ำหินย้อย 10,000 ปีนี้เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล ซ้ำพลังงานที่แผ่ออกมาจากนมผา 10,000 ปีก็หาได้น้อยนิดไม่..แสดงว่าต้นไม้ต้นนี้ก็หาได้มีความธรรมดาเหมือนต้นไม้ทั่วไป
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนตรวจดูต้นไม้ เขาก็พบว่ามันหยั่งรากลึกแน่นหนา แข็งแรงทนทานยากโค่นล่ม เขาจึงอาศัยเดินไปตามลำต้นของมันออกไปด้านนอกถ้ำอีกครั้ง
เมื่อเขาเดินพ้นปากถ้ำมา เขาก็เดินไปถึงกลางต้นไม้แล้วหยุดลง ตอนนี้ในสายตาของเขาเห็นเพียงแต่เมฆหมอก ขาวๆเท่านั้น
ถึงแม้ว่าหน้าผานี้จะมีโพรงถ้ำอยู่ แต่เขาเองก็สามารถจินตนาการได้ หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแรกสัมผัสธรรมชาติขึ้นไป ตั้งใจค้นหาอย่างละเอียดเพราะรู้ตำแหน่งคร่าวๆแล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตเห็นการคงอยู่ของถ้ำนี้
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่มีความกังวลสักนิดว่าจะมีใครพบถ้ำแห่งนี้
อย่างไรก็ตามเพื่อความรอบคอบ ต้วนหลิงเทียนก็พยายามแผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบให้มากที่สุด และเมื่อเขามั่นใจจริงๆ แล้วว่าด้านบนหน้าผาไม่มีใครอยู่ เขาก็กระโดดกลับขึ้นไป
“หืม? เวลานี้มัน …นี่แสดงว่าข้าบ่มเพาะพลังไป ข้ามวันข้ามคืนสินะ … วันนี้น่าจะเข้าวันที่ 2 แล้ว” เมื่อต้วนหลิงเทียนแหงนหน้าขึ้นไปมองฟ้า เขาก็เห็นว่ายามนี้ดวงตะวันมันลอยเด่นอยู่กลางนภา แทบจะตรงกับกระหม่อมของเขา บ่งบอกเวลาเที่ยงวัน
และตัวเขาก็ยังคงจำได้ดี ว่าเมื่อวานตอนที่เขาเดินขึ้นมาถึงยอดเขาเทียนเฉวียนนี่มันก็เที่ยงวันเข้าไปแล้ว
"ข้าไปหาเค่อเอ๋อกับลี่เฟยก่อนดีกว่า" ต้วนหลิงเทียนเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าสตรีทั้ง 2 เพียงแค่วันเดียว แต่ใจของเขาก็คิดถึงพวกนางซะแล้ว
แล้วต้วนหลิงเทียนก็เดินลงมาจากยอดเขาเทียนเฉวียน
เขาเดินตามทางไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปยังสะพานโซ่ แต่ในระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็เห็นศิษย์ในขุนเขาเทียนเฉวียนจ้องมามาด้วยสายตาแปลกๆ
ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสสายตาใครๆ เขาเดินข้ามสะพานโซ่ไปท่ามกลางสายตาผู้คน
ทันใดนั้นเสียงถอนหายใจของผู้คนพลันดังออกมา ราวกับพวกมันกำลังตื่นตระหนก
"สวรรค์ช่วย! ผิวของไอหนุ่มน้อยคนนั้น มันขาวเนียนยิ่งกว่าสตรีเสียอีก!"
"โอ้ หนุ่มหน้าหวานนั่นมันมาจากที่ใดกัน?"
"หนุ่มน้อยหน้าหวานราวอิสตรีเช่นนี้ ยังสามารถผ่านการทดสอบของนิกายกระบี่ 7 ดาว จนเข้ามาเป็นศิษย์สายนอกของขุนเขาเทียนเฉวียนเราได้?"
"พวกเจ้าว่า เรื่องนี้มันพอจะเป็นไปได้หรือไม่ เรื่องการทดสอบคัดเลือกศิษย์สายนอกของนิกายเราปีนี้ มันมิได้เข้มงวดเหมือนปีก่อน?"
“นั่นสิ แลมันดูอ่อนแอ บอบบางดั่งสตรีนัก บัดซบ! หน้ามันยังสวยน่ารักกว่าภรรยาข้าเสียอีก!”
…
ร่างของต้วนหลิงเทียนแข็งทื่อดั่งถูกสายฟ้าฟาด เมื่อได้ยินเสียงคำสนทนาดังอื้ออึงมาจากด้านหลัง ในใจเขาคิดโดดลงจากโซ่หลีกหนีผู้คนสักคราให้รู้แล้วรู้รอดไป!
แต่จะอย่างไรเรื่องนี้ตัวเขาเองก็ย่อมคาดคิดเอาไว้แล้วบ้างจึงยังพอทานทนได้ …เขาคิดไว้แล้ว ผิวพรรณของเขาหลังจากผ่านการกำเนิดใหม่ไม่พ้นต้องถูกผู้คนนินทาแน่นอน!
ตลอดทาง…สายตาของผู้คนที่มองมายังเขาก็แทบจะเหมือนกันไม่มีผิด นี่ทำให้หน้าของต้วนหลิงเทียนรู้สึกชาไม่น้อย
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็อดทนต่อสายตาผู้คน จนเดินข้ามสะพานโซ่มาถึงลานหินกลางของขุนเขาเทียนชูได้สำเร็จ
ด้วยความสูงของขุนเขาทั้ง 6 ก็ใกล้เคียงกัน ลานหินกลางของขุนเขาเทียนชูนี้ ย่อมเป็นลานหินที่มีสะพานโซ่เชื่อมไปยังขุนเขาทั้ง 6 …อย่างไรก็ตามตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันนึกขึ้นได้ถึงปัญหาสำคัญ…
ดูเหมือนว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าสะพานโซ่ใด นำไปสู่ขุนเขาเหยากวง
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ต้องกล่าวถามศิษย์สายนอกที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น
ต้วนหลิงเทียนเดินไปหยุดหน้าศิษย์สายนอกคนหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม "ศิษย์พี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าสะพานโซ่ใดที่จะนำไปยังขุนเขาเหยากวง?"
ศิษย์สายนอกบุรุษที่มีอายุราวๆ 23-24 ปี เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเดินมาขวางแล้วกล่าวถาม เขาก็รู้สึกตกตะลึง …
เห็นได้ชัดว่าชั่วชีวิตนี้มันคงไม่เคยพานพบบุรุษหน้าหวาน ซ้ำยังมีผิวเนียนขาวสวยดั่งสตรีมาก่อน…
"ศิษย์พี่ ท่านรู้หรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว … ‘มารดามันเถอะ จำเป็นต้องตกตะลึงตาค้างเช่นนี้เลยหรือ?’
ในทีสุดศิษย์สายนอกคนนั้นก็เรียกสติกลับมาจากอาการตกตะลึง มันชี้ไปด้านหลังของมัน พร้อมกล่าวคำ "เจ้าเดินไปทางนั้น ฐานหินอันที่ 2 จะเป็นสะพานเชื่อมไปยังขุนเขาเหยากวง… "
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ฟังก็คิดจะขอบคุณพร้อมรีบจากไป ทว่าชายหนุ่มคนนั้นพลันกล่าวต่อออกมาก่อน "เอ่อ..ศิษย์น้อง ศิษย์ของขุนเขาเหยากวง…รับเพียงอิสตรีเท่านั้น.. ต่อให้ผิวเจ้าจะ เอ่อ…ไม่เลวนัก แต่จะอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นบุรุษ ขุนเขาเหยากวงคงไม่คิดรับเจ้าเป็นศิษย์หรอก"
มุมปากของต้วนหลิงเทียนพลันกระตุก คิ้วเองก็ขมวดขึ้นมาใบหน้าหมองลงเล็กน้อย "ขอบคุณศิษย์พี่ที่กล่าวเตือนแต่ข้าไม่ได้คิดไปเข้าร่วมกับขุนเขาเหยากวง ข้าเพียงไปหาคนเท่านั้น"
"อ้า แหะๆ!" ศิษย์สายนอกคนนั้นหัวเราะแห้งๆออกมา "อา ข้าต้องขอโทษศิษย์น้องแล้ว ข้าก็นึกว่าเจ้า…"แต่ศิษย์สายนอกคนนั้นไม่ทันได้กล่าวอะไรได้มากกว่านี้ เขาก็พบว่าต้วนหลิงเทียนเดินออกไปแล้ว
เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะออกมาพร้อมถอนหายใจ ก่อนที่จะกล่าวพึมพำออกมา "ผิวของศิษย์น้องผู้นี้งดงามราวกับดอกกุหลาบ ซ้ำยังแลดูเรียบเนียนยิ่งกว่าผิวของสตรีเสียอีก…ข้ามันใจว่าหากได้ลองลูบไล้ดู มันต้องนุ่มละมุนมือมากกว่าสตรีเป็นแน่"
ต้วนหลิงเทียนนั้นยังไปได้ไม่ไกลเท่าไร ด้วยประสาทหูอันยอดเยี่ยม เสียงบ่นพึมพำนี้แน่นอนว่าเขาได้ยินชัดเจน นี่ทำให้เขาบังเกิดความขุ่นเคืองจนมุมปากกระตุก …
ตอนนี้ในใจต้วนหลิงเทียนกำลังเผชิญกับความรู้สึก แห่งความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหันหลังกลับ และวิ่งไปทุบตีศิษย์สายนอกคนนั้นให้เละ แต่เขาก็สะกดข่มระงับอารมณ์ไว้ได้ ตั้งหน้าตั้งตาเดินขึ้นสะพานมุ่งหน้าไปยังขุนเขาเหยากวง
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเดินขึ้นสะพานไปยังขุนเขาเหยากวง ก็มีร่างบุรุษ 2 คนเดินมาด้วยกัน ดูเหมือนพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปยังขุนเขาเทียนเฉวียน
ทั้ง 2คนสวมเครื่องแบบศิษย์สายนอก หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า "ฮั่วชิน เจ้าควรที่จะสั่งสอน มันเสียตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!"
ถ้าต้วนหลิงเทียนยืนอยู่ตรงนี้คงจดจำได้ คนที่กล่าววาจาต่อว่าฮั่วชินนี้ ก็ไม่ใช่ใครอื่น มันเป็น 1 ใน 3 ศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวที่มีเรื่องกับต้วนหลิงเทียนไม่กี่วันก่อน
และมันยังเป็นศิษย์สายนอกเช่นเดียวกับฮั่วชิน!
"ข้าเองก็ต้องการเช่นนั้น แต่ข้าก็รีบไปหาเจ้ากับศิษย์พี่ฟ่านเพื่อบอกเรื่องนี้ให้รู้ซะก่อน เพราะจะอย่างไรศิษย์พี่ฟ่านก็เคียดแค้นไอเด็กนั่น และอยากฆ่าไอเด็กนั่นให้ตายด้วยมือของเขาเอง เช่นนี้ข้าจะไม่ไปแจ้งศิษย์พี่ก่อนได้อย่างไร?… แต่ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าศิษย์พี่ฟ่านจะออกเดินทางไกลเอายามนี้" ฮั่วชินส่ายศีรษะพร้อมกล่าวออกมาอย่างช้าๆ "หากข้ารู้ว่าศิษย์พี่ฟ่านจะออกเดินทางล่ะก็ ข้าคงเล่นงานมันด้วยตัวเองเสียตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!"
เมื่อกล่าวจบประกายตาของฮั่วชินก็เรืองวูบออกมาเต็มไปด้วยประกายดุร้าย
"เอาล่ะๆ ช่างมันเถิด ยามนี้เรื่องสำคัญที่สุดของพวกเราคือหาตัวไอเด็กนั่น …แม้ว่าขุนเขาเทียนเฉวียนจะไม่ได้ใหญ่ แต่มันก็ไม่ถือว่าเล็ก หากไอเด็กนั่นคิดซ่อนตัวแล้วล่ะก็ …พวกเราคงหามันไม่พบแน่" ประกายตาศิษย์สายนอกอีกคนเองก็ทอประกายอำมหิตออกมาไม่แพ้กัน แววตามันดุร้ายไม่ได้ต่างอะไรกับเพื่อนของมัน ซ้ำยังเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่น้อย