สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 255 : เมืองไผ่ดำ
บทที่ 255 : เมืองไผ่ดำ
ต้วนหลิงเทียนและสตรีทั้ง 2 อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อเห็นท่าทางและการกระทำของเจ้าหนูขนทองตัวน้อยหรือเจ้าเสี่ยวจินนี่
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ดวงตาของอสรพิษน้อยทั้ง 2 กลับกลายเป็นเย็นชา ร่างของพวกมันทั้ง 2 พุ่งไปว่องไวดั่งเส้นสายอัสนี ปากเล็กๆอ้าออกเผยให้เห็นคมเขี้ยว ดูท่าแล้วพวกมันหมายงับตูดเล็กๆนั่นให้จมเขี้ยว
เหนือศีรษะของพวกมันแต่ละตัว ปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 800 ตัว
"เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ ไม่นะ!" เค่อเอ๋อตกตะลึงและประหลาดใจไม่น้อย นางพยายามหยุดพวกมัน แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป
"จี๊ด จี๊ด ~" เจ้าหนูขนทองตัวจ้อยหาได้หวาดหวั่น กับการพุ่งเข้ามาของอสรพิษน้อยทั้ง 2 แต่อย่างไร มันยกกรงเล็บอันจิ๋วขึ้นมาหวดฟาดไปยังใบหน้าของอสรพิษน้อยทั้ง 2
เหนือศีรษะของมันปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 1,000 ตัว
สุดท้ายอสรพิษน้อยทั้ง 2 ก็ถูกเจ้าหนูตบจนหัวปัก!
ถึงแม้ว่าอสรพิษน้อยทั้ง 2 จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนูขนทองแม้แต่น้อย แต่เจ้าหนูขนทองก็ไม่ได้ลงมือรุนแรงจนถึงขั้นทำให้พวกมันบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างไร เพราะมันสังเกตเห็นสายตาของต้วนหลิงเทียนที่จับจ้องมาเขม็ง
"ฟ่อ ฟ่อ ~" อสรพิษน้อยทั้ง 2 รู้สึกเจ็บปวดมึนงงไม่น้อย แต่พวกมันไม่คิดยอมแพ้ มันจะสู้กับเจ้าหนูให้ถึงที่สุด!
"เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ กลับมาได้แล้ว" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมหัวเราะ เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ตัวจะใจนักเลงขนาดนี้ แม้มันจะสู้หนูขนทองไม่ได้ในด้านความแข็งแกร่ง แต่ใจของมันกลับคิดสู้ไม่มีถอย
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ด้วยคำสั่งของต้วนหลิงเทียนที่พวกมันไม่อาจขัด ทำให้พวกมันพุ่งร่างกลับไปม้วนพันไว้ที่แขนของต้วนหลิงเทียน ทว่าสายตาของพวกมันยังคงจับจ้องมายังหนูขนทองตาเขม็ง
แน่นอนว่าเสี่ยวจินย่อมไม่หวาดกลัวสายตาอาฆาต มันหันหลังให้แล้วส่ายตูดใส่อสรพิษน้อยทั้ง 2 ตัวอีกครั้ง
"เสี่ยวจิน…เจ้าเองก็พอได้แล้ว" เมื่อสังเกตเห็นอารมณ์ของอสรพิษน้อยทั้ง 2 ที่เริ่มจะเดือดใกล้คุมสติไม่อยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปจ้องหนูขนทองพร้อมขมวดคิ้ว
หนูขนทองดูเหมือนจะหวาดกลัวต้วนหลิงเทียนไม่น้อย มันเชื่อฟัง หยุดทำการเย้ยหยันและหมอบลงไปอย่างน่าเอ็นดู
"เอาล่ะพวกเจ้าทั้ง 2 ก็ไม่ต้องคิดมาก อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปมากกว่านั้น … พวกเจ้าทั้ง 2 ยังนับว่ามีอายุน้อยกว่ามันเป็นปีๆ ขอแค่ผ่านไปอีกปี พวกเจ้าทั้ง 2 ก็มีความแข็งแกร่งมากกว่ามันแล้ว" ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นว่าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ยังไม่เต็มใจกลับเข้าไปอยู่ในแขนเสื้อ เขาจึงต้องกล่าวปลอบประโลมมันอีกครั้ง
และแน่นอนว่าคำพูดนี้เขาไม่ได้พูดขึ้นมาพล่อยๆ ไร้สาระ
จากที่เขาเฝ้าสังเกตอสรพิษน้อยทั้ง 2 พวกมันมีอายุเพียงใกล้ครบ 3 ปีเท่านั้น แต่ศักยภาพและพรสวรรค์ของมันไม่ได้ต้อยต่ำไปกว่าหนูสวรรค์เนตรหยกเลยสักนิด เมื่อพวกมันโตเต็มวัยแล้ว ในอนาคตพวกมันอาจจะพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบเท่าจักรพรรดิอสูรปีศาจ ก็ได้
อีกทั้งอสรพิษน้อยทั้ง 2 นี้ยังเป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีอยู่ในบันทึกใดๆ กล่าวได้ว่าแม้จะมองผ่านไปในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด แต่อสรพิษที่มีรูปร่างเหมือนกันกับเจ้าตัวน้อยทั้ง 2 ก็ไม่มีปรากฏให้เห็น
ที่สำคัญอัตราการเติบโตของพวกมันนั้น กล่าวได้ว่าในแง่ความแข็งแกร่ง พวกมันได้ก้าวข้ามเหล่าสัตว์อสูรปีศาจไปมากมายแล้วด้วยซ้ำ
"ฟ่อ ฟ่อ ~" เมื่อได้ฟังคำปลอบใจของต้วนหลิงเทียน ในที่สุดเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ก็ยินยอมกลับเข้าไปอยู่ในแขนเสื้ออย่างสงบ
เห็นภาพนี้กระทั่ง สตรีทั้ง 2 เองยังหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ดูเหมือนเจ้าตัวน้อย 2 ตัว กับเจ้าหนูขนทองนี่ จะเกิดมาเพื่อเป็นคู่ปรับกันจริงๆ
"โอ้ นับว่าเจ้าเซี่ยกวงนี่ให้ค่าตอบแทนข้าไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนหยิบแหวนมิติที่พึ่งได้รับทั้ง 3 วงขึ้นมา และเมื่อเขาตรวจสอบแหวนมิติของชายชราผู้ติดตามของเซี่ยกวง เขาก็ไม่ได้พบอะไรมากมาย แต่ทว่าในแหวนมิติของเซี่ยกวงนั้น มันมีทรัพย์สมบัติใส่เอาไว้มากมายนัก!
ตอนนี้โอสถเร่งพลังกำเนิดที่มีความบริสุทธิ์ 91% ที่เขานำไปประมูลก็กลับมาอยู่ในมือเขา อีกทั้งเขายังได้อาคมดาบแสงทะลวงที่มันประมูลได้มาอีกด้วย
แต่กล่าวไปของทั้ง 2 ชิ้นนี้นับว่าไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาสักเท่าไร
ที่สำคัญที่สุดก็คือภายในแหวนนี้ กลับมีเงินอยู่ถึง 20,000,000 เหรียญทอง
กล่าวได้ว่าตอนนี้ความมั่งคั่งของต้วนหลิงเทียนมีไม่น้อย เงินของเขาเกือบทะลุ 50,000,000 เหรียญทองแล้ว …
…..
หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไปอีก 2 เดือน …
ในที่สุดกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กับนิกายกระบี่ 7 ดาว
เมืองนี้มีขนาดไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองวายุทมิฬสักเท่าไร
ต้วนหลิงเทียนรู้ชื่อเมืองนี้ได้ในทันที เพราะหน้าประตูมีป้ายที่เขียนอักษรติดเอาไว้ 3 คำ …
เมืองไผ่ดำ!
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็สงสัยว่าทำไมเมืองนี้ถึงมีชื่อง่ายๆแบบนี้ แต่พอหลังจากที่เขาเข้าไปในเมืองและพบต้นไผ่ที่ขึ้นแซมตามรายทางมากมาย ซ้ำยังมีสีดำสนิทราวน้ำหมึก เขาก็เข้าใจได้ทันที
นี่คงเป็นสาเหตุให้เมืองนี้มีชื่อเรียกว่า "เมืองไผ่ดำ"
ระหว่างเดินทางเข้าไปในเมืองต้วนหลิงเทียน ก็เห็นหลายคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายเป็นรูปแบบเดียวกันซ้ำยังมีสีเขียว
คนเหล่านี้ส่วนมากยังเป็นชายหนุ่มและหญิงสาว
ทั้งบนเสื้อของพวกมันล้วนปักไปด้วยลายสัญลักษณ์เดียวกัน
กระบี่ที่ล้อมรอบไปด้วยดารา
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองฉงเฉวียนก่อนที่จะกล่าวถามขึ้นมา “พวกเขาเป็นสมาชิกของนิกายกระบี่ 7 ดาวงั้นหรือ?”
ลี่เฟยและเค่อเอ๋อที่สวมหมวกมีผ้าบางๆคลุมหน้า ก็หันไปมองฉงเฉวียนด้วยเช่นกัน ดวงตาคู่สวยของพวกนางเองก็เต็มไปด้วยความสงสัย
ฉงเฉวียนพยักหน้าออกมา "ถูกแล้วขอรับนายน้อย นี่เป็นชุดประจำนิกายกระบี่ 7 ดาว … ดาว 7 ดวงบนลายปักนั้นหากเป็นสีทองแดง จะบ่งบอกว่าเป็นเพียงศิษย์นิกายสายนอก หากดาว 7 ดวงที่ล้อมกระบี่นั้นเป็นสีเงิน ก็หมายความว่ามันผู้นั้นเป็นศิษย์สาวกสายใน ส่วนดาว 7 ดวงสีทองนั้นจะเป็นผู้อาวุโสของนิกาย "
ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ในทันที
"อืม…ตอนนี้การทดสอบเข้าร่วมนิกายกระบี่ 7 ดาวสมควรเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน อันดับแรกพวกเราไปหาที่พักกันก่อนจะดีกว่า" ไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาซื้อบ้านลาน หลังหนึ่ง
"ฉงเฉวียน ตอนพวกเราเข้าไปฝึกในนิกาย เจ้าคงไม่อาจติดตามพวกเราเข้าไปได้ เช่นนั้นหลังจากนี้เจ้าก็อาศัยอยู่ที่นี่เถอะ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกฉงเฉวียน "ต่อไปในอนาคตหากข้ามีอะไรจะให้เจ้าทำ ข้าจะออกมาหาเจ้าเอง"
"ขอรับนายน้อย" ฉงเฉวียนรีบพยักหน้ารับคำด้วยความเคารพ
สิบวันต่อมา
บรึม! ฟู่มมมม!!
พลังงานต้นกำเนิดพุ่งพล่านออกมาทั่วร่างของต้วนหลิงเทียน ในที่สุดเขาก็สามารถทลายจุดชีพจรทะลวงผ่านคอขวดขั้นสุดท้าย บรรลุระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 4 ได้สำเร็จ!
เมื่อเร่งพลังงานต้นกำเนิดขึ้นมา ไอพลังฟ้าดินตอบรับ ก่อเกิดเป็นเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ แสดงความแข็งแกร่ง 71 ตัวเหนือศีรษะต้วนหลิงเทียน
ความแข็งแกร่งระดับ 71 ช้างแมมมอธโบราณ!
หากเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 4 ด้วยกันแล้วต้วนหลิงเทียนมีความแข็งแกร่งมากกว่า 11 ช้างแมมมอธโบราณ
ถึงแม้ว่าจะนำไปเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5 ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงมีความแข็งแกร่งมากกว่า 1 ช้างแมมมอธโบราณ
รอยยิ้มสดใสเริ่มปรากฏบนใบหน้าของต้วนหลิงเทียน "ฮ่า..ในที่สุดข้าก็ทะลวงผ่านไปได้ซะที"
หลังจากทะลวงผ่านระดับแล้ว อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนก็เบิกบานสบายใจยิ่งนัก เขาเรียกหาฉงเฉวียน ก่อนที่จะพาสตรีทั้ง 2 ออกไปหาอะไรกินนอกบ้านเป็นการฉลอง
เหลาอาหารที่เมืองนี้ตกแต่งในรูปแบบเรียบง่ายดั้งเดิมตามสมัยโบราณ แลดูไปก็งดงามและสร้างความสบายใจไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนพาสตรีทั้ง 2 ไปหาโต๊ะที่นั่งก่อนที่จะสั่งอาหารหลายอย่างมากิน
"หืม? ศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวงั้นรึ" ดวงตาที่คมกริบราวเหยี่ยวของต้วนหลิงเทียนสามารถสังเกตเห็นศิษย์ของนิกาย 7 ดาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆได้ในทันที และเมื่อมองไปที่ตราสัญลักษณ์ ที่ปักอยู่บนเสื้อของพวกมันเขาก็เห็นว่าดาวที่ล้อมกระบี่ของพวกมันเป็นสีเงิน
แสดงว่าชายหนุ่มอายุราๆว 25 ปี คนนี้เป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาว
อาศัยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งและความทรงจำมากประสบการณ์ของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ต้วนหลิงเทียนสามารถระบุได้ทันทีว่า ความแข็งแกร่งของศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวคนนี้ควรอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 หรือมากกว่า
"อายุเพียงแค่ 25 ปี ก็มีระดับบ่มเพาะอยู่ในระดับ กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 หรือสูงกว่าแล้ว … " ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ อย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด มาตรฐานของนิกายกระบี่ 7 ดาวของอาณาจักรพนาครามนี้ ไม่ใช่ชั่วจริงๆ
หลังจากที่เขารู้ว่า อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงและแข็งแกร่งที่สุดที่มีอายุอยู่ในช่วงวัยนี้ของอาณาจักรนภาล่อง สมควรเป็น นี่เฝิน บุตรของพระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ย แห่งจวนเจ้าพระยา
อย่างไรก็ตามถึงแม้นี่เฝินจะมีอายุมากกว่าศิษย์นิกาย กระบี่ 7 ดาวคนนี้ แต่ความแข็งแกร่งและระดับบ่มเพาะของเขากลับด้อยกว่า
ส่วนชายหนุ่มอีก 2 คนที่ร่วมโต๊ะเดียวกับมันนั้น ดูท่าจะมีอายุเพียง 22-23 ปีเท่านั้น และพวกมันยังเป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่ 7 ดาว
ความแข็งแกร่งของพวกมันทั้ง 2 ก็ไม่ได้นับว่าอ่อนด้อยแต่อย่างไร พวกมันมีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 4 หรือสูงกว่า
‘ดูเหมือนกระทั่งเสี่ยวเฟยเองหากอยู่ในนิกายกระบี่ 7 ดาว พรสวรรค์ของนางก็คงอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ
ลี่เฟยที่กำลังจะมีอายุครบ 21 ปีในปีนี้ นางยังพึ่งตัดผ่านระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 3 ไปได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น
และแน่นอนว่าที่ลี่เฟยสามารถมีระดับบ่มเพาะสูงถึงขนาดนี้ในปัจจุบันได้ เป็นเพราะนางได้กินโอสถที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า 90% ที่ต้วนหลิงเทียนหลอมปรุงมาโดยตลอด
ไม่นานนัก อาหารที่สั่งไว้ก็ถูกบริกรนำมาจัดวาง กลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มลงมือกินอาหาร
"จี๊ด จี๊ด ~" ทั้ง 3 เริ่มกินอาหารไปได้สกครู่หนึ่ง หนูขนทองตัวจ้อยก็ดิ้นดุ๊กดิ๊กออกมาจากแขนของเค่อเอ๋อ ก่อนที่จะไปยืนจ้องมองอาหารด้วยสายตาเป็นประกาย กลืนน้ำลายดังอึก ราวกับมันเป็นมนุษย์
"อะไร เจ้าอยากกินด้วยงั้นรึ?" ต้วนหลิงเทียนที่เห็น หนูขนทองรีบวิ่งออกมาจ้องอาหารราวกับหิวโหยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หนูขนทองตัวจ้อยรีบพยักหน้างึกๆทันที
ต้วนหลิงเทียนกระพริบตาก่อนที่จะกล่าวออกมา "งั้น เจ้าม้วนหน้าให้ข้าดู 2 รอบแล้วข้าจะให้กิน"
ทว่าหนูขนทองกลับไม่ยอมทำตามคำสั่งของต้วนหลิงเทียน มันเชิดศีรษะขึ้นพร้อมแสดงท่าทีหยิ่งยโส เมินคำสั่ง
ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนลดลงเล็กน้อย เจ้าหนูขนทองตัวจ้อยนี่ดูท่าแล้วจะฉลาดเป็นกรด
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเกือบจะมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าหนูขนทองตัวนี้ สามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ และดูท่าความฉลาดเฉลียวของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์แม้แต่น้อย
"ตัวเลวร้าย อย่าแกล้งเสี่ยวจินนะ" ลี่เฟยถลึงตามองต้วนหลิงเทียน ก่อนที่นางจะหยิบเนื้อมาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วเอาไปวางให้เสี่ยวจิน
เจ้าเสี่ยวจินก็หยิบเนื้อขึ้นมา และเริ่มแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อมันกินหมดมันก็หันไปจ้องมองเค่อเอ๋อด้วยสายตาโหยหิว
เค่อเอ๋อเห็นท่าทางของมันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางหยิบเนื้อขึ้นมาและเริ่มฉีก ก่อนที่จะนำไปให้มันเช่นกัน เสี่ยวจินก็ ก็พยักหน้าดีใจก่อนที่จะเอาเนื้อไปกิน …
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงประหลาดใจจากโต๊ะข้างๆ "ศิษย์พี่ นั่นมันหนูขนทองใช่รึไม่?"
นี่เป็นคำกล่าวถามจากศิษย์ของนิกาย กระบี่ 7 ดาวคนหนึ่งจากโต๊ะข้างๆ
ศิษย์สายในของนิกายกระบี 7 ดาวอดไม่ได้ที่จะหันไปมองโต๊ะของต้วนหลิงเทียน เมื่อได้ยินคำถามของศิษย์สายนอก
ศิษย์สายนอกอีกคนก็หันไปมองด้วยความอยากรู้เช่นกัน
"หืม? หนูขนทอง ซ้ำยังเป็นทารกอยู่?" ประกายตาของศิษย์สายในนิกายกระบี่ 7 ดาวทอประกายเรืองวูบขึ้นมา ด้วยความโลภ ราวกับมันเห็นสมบัติล้ำค่าบางอย่าง
และถึงแม้ว่าประกายตาที่เต็มไปด้วยความโลภของศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวนี้จะเผยออกมาเพียงวูบหนึ่ง ทว่าต้วนหลิงเทียนยังคงสังเกตเห็นได้ทัน …แต่เขาก็ไม่ได้แยแสอะไรสักเท่าไร หนูขนทองนี้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำกว่าแรกสัมผัสธรรมชาติ ย่อมถูกมันดึงดูดความสนใจได้โดยง่าย
"อา ช่างงดงามยิ่งนัก!" และตอนนี้เองศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวก็ได้สังเกตเห็นรูปลักษณ์ของเค่อเอ๋อที่ได้ถอดผ้าคลุมหน้าออกเพื่อกินอาหาร ประกายตาของมันเรืองขึ้น ม่านตาหดแคบลง
ศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่ 7 ดาว อีก 2 คนก็มองไปยังเค่อเอ๋อด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินคำกล่าวของศิษย์พี่พวกมัน และเมื่อพวกมันเห็นเค่อเอ๋อเพลิงราคะก็ลุกโชนขึ้นมาอยู่ในตาของพวกมัน
มีเพียงศิษย์สายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวเท่านั้นที่เพียงเหลือบมองเค่อเอ๋อเพียงชั่ววูบเดียว ก่อนที่จะหันมาให้ความสนใจหนูขนทองต่อ ดูเหมือนว่าสำหรับเขาแล้วหนูขนทองนี้ยังน่าสนใจกว่าเค่อเอ๋อเสียอีก
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แยแสศิษย์ทั้ง 3 จากนิกายกระบี่ 7 ดาว เขาหันมาจ้องหนูขนทองตัวจ้อย ก่อนที่จะส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้มเล็กน้อย "เจ้าเสี่ยวจินนี่ ดูเหมือนจะตะกละไม่แพ้เสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋แม้แต่น้อย!"
และตอนนี้เองเมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวจบ แขนเสื้อของเขาก็มีความเคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ค่อยพอใจกับคำกล่าวของต้วนหลิงเทียนสักเท่าไร
ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมา ก่อนที่จะจับไปยังอสรพิษน้อยทั้ง 2 ก่อนที่จะลูบมันอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า "เอาล่ะๆ ข้าไม่ว่าพวกเจ้าทั้ง 2 แล้วก็ได้ อย่าซน"
หลังจากนั้นเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ที่ถูกว่าตะกละ ก็เงียบไป
"หืม?" ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันขมวดคิ้วขึ้นมา
เพราะเขาสังเกตเห็นว่ายามนี้ศิษย์นิกายสายในของนิกายกระบี่ 7 ดาวลุกขึ้นยืนและกำลังเดินมาทางโต๊ะเขา
ดูท่า…ที่ดีไม่มา ที่มาไม่ดี ซะแล้ว!