สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 233 : แกว่งเท้าหาเสี้ยน!
บทที่ 233 : แกว่งเท้าหาเสี้ยน!
"หืม นายน้อย 3 ของตระกูลจูเช่นนั้นรึ ?" ม่านตาต้วนหลิงเทียนหดแคบลง เมื่อได้ยินคำกล่าวของจูจ้าว "เจ้าเป็นคนของตระกูลจูงั้นรึ?"
"บิดาของนายน้อยผู้นี้ เป็นถึงนายใหญ่ลำดับ 2 ของตระกูลจู และประมุขของตระกูลจูก็เป็นถึงท่านลุงของข้า เจ้าเด็กน้อย…หากเจ้าเริ่มหวาดกลัวแล้วล่ะก็ รีบลุกขึ้นแล้วไสหัวไป!"
จูจ้าวเชิดคางขึ้น ก่อนที่จะมองเหยียดต้วนหลิงเทียนลงมา ด้วยท่าทางดูแคลน ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและพึงพอใจ
มันไม่ได้สังเกตเห็นสักนิด ว่ายามนี้มุมปากของต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดรอยยิ้มลี้ลับประการหนึ่ง มันเป็นรอยยิ้มของนักล่าที่มีความสุข ราวกับกำลังพานพบเหยื่ออันโอชะ
“ข้าจะให้โอกาสกับเจ้าอีกครั้ง ไสหัวไป!” ดวงตาของตว้นหลิงเทียนเย็นชาลง ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังจูจ้าว พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงดดุร้ายสะกดข่ม
"เจ้าล่วงรู้ตัวตนของข้านายน้อยแล้ว ยังกล้าที่จะกล่าววาจาขับไล่ข้านายน้อยมห้ไสหัวไป?” จูจ้าวยามนี้ย่อมเดือดดาลไปด้วยโทสะ ทีท่าของเขาแลดูเกรี้ยวกราดไม่น้อย มือข้างหนึ่งยื่นไปหมายคว้าคอหอยต้วนหลิงเทียน "ในเมื่อเจ้ามิยอมลุกไปดีๆ เช่นนี้ข้านายน้อยจักช่วยเจ้า!"
เมื่อจูจ้าวลงมือ เงาร่างช้างแมมมอธโบราณก็ปรากฏขึ้นมาเหนือหัวของเขาจำนวน 10 ตัว …
ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7!
"หึ! เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!"ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะสะบัดแขนออกไปอย่างไร้เรื่องราว แต่ทว่าแขนนี้กลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งสูงถึง 12 ช้างแมมมอธโบราณ มันพุ่งไปคว้าจับมือที่ยืนของจูจ้าวได้ง่ายดาย คีบไว้ราวคีมแกร่ง ก่อนที่จะบิดหมุนวนสลายแรงปะทะแล้วจับมันตบฟาดลงกับพื้นเสียงดัง ปัง!
"อั๊ค !!" ร่างกายของจูจ้าวที่แต่เดิมก็อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจากการหักโหมกระทำกิจกรรมบนเตียงมากเกินไป ยามนี้ถูกจับฟาดลงกับพื้นก็แทบวายปรานแล้ว มันทำได้เพียงส่งเสียงโหยหวน โอดโอยออกมา
จูจ้าวร้องร่ำครู่หนึ่งก็หันไปหาชายชราด้านหลัง ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอำมหิต กล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงคำรามดุร้าย "ลุง จี้ ข้าต้องการให้มันตาย!"
ชายชรามองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชา สองเท้าก้าวเดินออกมา "เด็กน้อยเจ้าควรรู้เอาไว้ ว่ามีผู้คนบางคนที่เจ้ามิอาจล่วงเกินได้… เมื่อเจ้ากระทำเรื่องมิสมควรไปแล้ว ย่อมมีราคาที่เจ้าจักต้องจ่าย!"
รวดเร็วฉับไว เมื่อสิ้นคำชายชราก็ลงมือป้อนกระบวนท่าโดยพลัน ร่างชราปราดไปราวเหยี่ยว มือเอื้อมไป หมายคว้าต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่
เหนือร่างของชายชรามีช้างแมมมอธโบราณแสดงอกมา ถึง 100 ตัว …ที่แท้มันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7
มุมปากของต้วนหลิงเทียนเพียงแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับชายชราที่กำลังลงมือเข้ามา เพียงหันไปหาเสี่ยวเอ้อที่ยืนหวาดกลัวอยู่ด้านข้าง พร้อมกล่าวคำ "เฮ่ เสี่ยวเอ้อเหตุใดอาหารของพวกเราถึงได้มาช้านัก? รีบหน่อยได้หรือไม่ พวกเราต้องมีธุระไปกระทำหลังจากที่พวกเรากินเสร็จ"
เหล่าผู้คนในเหลาอาหารทั้งลูกค้าและเหล่าบริกรล้วนใบ้รับประทาน
ชายหนุ่มในชุดสีม่วงนี่ละเลยชายชราจริงๆ?
ตอนนี้พวกเขาคิดว่าต้วนหลิงเทียนคงประสบโชคร้ายมากกว่าดีแล้ว
แต่ทันใดนั้นเองฉงเฉวียนที่นั่งข้างต้วนหลิงเทียน ก็วูบไหวร่างไปปรากฏตรงหน้าชายชราอย่างฉับพลัน ก่อนที่จะสะบัดมือออกไปไร้เรื่องราวฟาดตบออกไปราวปัดแมลงวัน ทว่าการตบด้วยทีท่าไม่แยแสนี้ กลับฟาดร่างของชายชราที่พุ่งมา จนกระเด็นออกไปปะทะผนังเสียงดังโครม แน่นิ่งไปในทันใด
เหนือศีรษะฉงเฉวียนเงาร่างช้างแมมมอธโบราณได้ปรากฏออกมาเพียงวูบเดียวแล้วหายไป โดยที่ไม่ทันมีผู้ใดสามารถมองเห็นได้ชัด
“โอ้ ชายวัยกลางคนนั่นสมควรมีระดับบ่มเพาะไม่ต่ำกว่าระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9”
“เช่นนั้นก็หาได้น่าแปลกใจไม่ ที่ชายหนุ่มชุดสีม่วงจะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ที่แท้เขากลับมีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เคียงข้างเขา ซ้ำยังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถ ซัดผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 จนหมดสภาพได้อย่างง่ายดายเพียงฝ่ามือเดียว … ความสามารถเช่นนี้คือบางสิ่ง ที่แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 8 ก็มิอาจกระทำได้!”
"อย่างน้อยๆ เขาต้องมีระดับอยู่ที่กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9"
…
เหล่าลูกค้าบริกรที่อยู่รอบๆ ร้องตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจอย่างช่วยไม่ได้
"นายท่าน อาหารมาแล้วขอรับ" ในขณะนั้นเองเสี่ยวเอ้อก็ได้ยกสำรับอาหารมาจัดวางบนโต๊ะต้วนหลิงเทียน
เสี่ยวเอ้อบังเกิดจิตขลาดเขลาเล็กน้อย เพราะมันไม่เคยคิดเลยว่า ลูกค้าผู้ใจดีมอบตั๋วเงินให้มันจักน่ากลัวถึงเพียงนี้ …
กระทั่งกล้าทุบตีนายน้อย 3 แห่งตระกูลจู!
จูจ้าวที่นอนเจ็บอยู่ที่พื้นพยายามดิ้นรนลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดรวดร้าวทั่วร่างของมันทำให้เรื่องราวมันช่างยากลำบากนัก
เมื่อมันสังเกตเห็นสายตาของผู้คนโดยรอบที่มองมาที่มันอย่างเผ็ดร้อน ในใจของมันก็บังเกิดความอับอายอย่างถึงที่สุด เมื่อไหร่กันที่มันต้องเสียหน้าต่อผู้คนมากมายเช่นนี้ ?
ไม่นานมันก็ใช้สายตาเย็นชาและเกรี้ยวกราดไปด้วยโทสะอารมณ์มองไปยังต้วนหลิงเทียน "เด็กน้อย เจ้ามันคนตาย!"
"เจ้านอนลงแล้วหุบปากไปไม่ดีกว่ารึ ข่มขู่ผู้คนอยู่ได้ไม่เบื่อหรือไร?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำโต้ตอบกับจูจ้าวอย่างรำคาญก่อนที่จะเลิกสนใจอะไรมัน และเริ่มหันไปคีบตักอาหารให้แก่ลี่เฟย กล่าวคำออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ "เสี่ยวเฟย อันนี้น่ากินนัก เจ้ากินเยอะๆนะ"
"อื๊อ" ลี่เฟยพยักหน้ารับคำเบาๆ แววตาสวยงามดั่งมณี ยามนี้จ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความอ่อนโยนนุ่มละมุนดั่งสายธารา
ได้รับการปรนนิบัติดูแลจากบุรุษเช่นนี้ ในชีวิตของนางกล่าวได้ว่าถึงตายก็ไม่เสียใจแล้ว
"ฉงเฉวียน เจ้าเองก็นั่งลงแล้วกินด้วยกันสิ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวเรียกฉงเฉวียน
"ขอรับนายน้อย" ฉงเฉวียนกล่าวตอบอย่างนอบน้อมแล้วก็นั่งลง
จูจ้าวมองภาพตรงหน้าแล้วก็โกรธแค้นแทบกระอักเลือด ก่อนที่เขาจะหันไปมองชายชราที่ถูกซัดกระเด็นอัดกำแพงจนสลบไป ยิ่งแค้นจนแทบสลบไปอีกคน
"ผู้ใดก็ตามที่สามารถไปส่งข่าวที่ตระกูลจู ให้แก่ข้านายน้อย 1,000 เหรียญเงินนี้จักเป็นของผู้นั้น!" จูจ้าวขบเคี้ยวฟันดังกรอดๆ ก่อนที่จะล้วงหยิบตั๋วเงินจำนวน 1,000 เหรียญเงินออกมา พร้อมกวาดสายตามองผู้คนในเหลาอาหาร
ลูกค้าบริกรหลายคนก็มองไปยังตั๋วเงินปึกนั้นด้วยสายตาร้อนรุ่มเมื่อได้ยินคำกล่าวของจูจ้าว แต่เมื่อพวกเขามองไปยังต้วนหลิงเทียนที่กำลังคีบอาหารให้สตรีที่งามล้ำปานเทพธิดาองค์นั้นด้วยรอยยิ้ม พวกเขาก็ล้มเลิกความคิดช่วยเหลือจูจ้าว …
เรื่องตลกอะไร!
ชายหนุ่มในชุดสีม่วงผู้นี้ มีตัวตนที่อาจจะเหนือกว่าระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 อยู่เคียงข้างกาย
หากพวกเขาไปช่วยเหลือจูจ้าวขึ้นมา แล้วทำให้ชายหนุ่มผู้นี้มิพอใจขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่แคล้วพวกเขาคงต้องประสบเภทภัยแล้ว
ดังนั้นถึงแม้จะมีเงินมากถึง 1,000 เหรียญของจูจ้าวก็ไม่อาจทำให้พวกเขาสนใจ
แม้ว่ากลิ่นเงินมันจักหอมหวาน แต่หาได้สำคัญเท่าชีวิตตัวไม่
"พวกเจ้า พวกเจ้า … พวกขี้ขลาด ใช้การไม่ได้!"ใบหน้าของจูจ้าวบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ มันกล่าวตะโกนออกมาพร้อมลมหายใจที่ปั่นป่วนเพราะคับแค้นใจ
"หากเจ้ายังส่งเสียงเอะอะโวยวายอีก เจ้าจะโดนเช่นนั้น" ต้วนหลิงเทียนหันไปมองจูจ้าวด้วยสายตารำคาญ ก่อนที่จะใช้ตะเกียบชี้ไปยังทิศทาง ลุงจี้ที่ถูกซัดอัดกำแพงจนแน่นิ่งไป
จูจ้าวรีบหุบปากลงทันทีหลังจากได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวข่มขู่ แต่ดวงตาของเขายังคงจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด เขาคิดว่าหากกลับไปที่ตระกูลจูเมื่อไหร่เขาจะพาผู้คนมาล้างแค้นต้วนหลิงเทียนให้สาสม!
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครกล้าเอาเงินของจูจ้าว แต่ทว่าเมื่อผู้คนออกจากร้านอาหารก็ไม่วายพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ไม่นานเรื่องราวที่จูจ้าวถูกทุบตีในเหลาอาหารก็แพร่กระจายออกไป
ต้วนหลิงเทียนเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ก็เตรียมที่จะไปชำระเงินและออกไปสะสางเรื่องราว ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงการมาของผู้คน จากเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนมาด้านนอกเหลาอาหาร สมควรมี 4 คน ซ้ำยังไม่ได้มาดีแน่ๆ
คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวคำ “ฉงเฉียนไปจับตัว จูจ้าวนั่นไว้”
"ขอรับนายน้อย" ฉงเฉวียนลุกขึ้นก่อนที่จะเดินไปคว้าคอเสื้อจูจ้าวและยกมันขึ้นมา หลังจากได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน
"เจ้า… เจ้าจะทำอะไร … " จูจ้าวหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือดเมื่อถูกฉงเฉวียนยกขึ้นมา มันจดจำได้ดีว่าชายคนนี้มีความแข็งแกร่งที่อาจจะเหนือกว่าระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 เสียอีก
หากชายวัยกลางคนผู้นี้ต้องการเข่นฆ่ามันแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะง่ายดายยิ่งกว่าบี้มด
ในขณะเดียวกัน เสียงย่ำเท้าหนักแน่นมั่นคง ก็ดังชัดเจนขึ้นมา ร่างชาย 4 คนปรากฏเดินเข้ามาในเหลาอาหาร
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ใบหน้าของเขาฉาบไปด้วยโทสะ …
จูจ้าวราวเห็นผู้ช่วยชีวิต เมื่อมันเห็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงิน รีบกล่าวตะโกนออกมาทันที "ท่านพ่อช่วยข้าด้วย!"
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะปรายตาไปมองร่างชายชราที่ถูกซัดจนแน่นิ่งอยู่ข้างกำแพง สายตาของเขาก็วูบวาบออกมาด้วยประกายตาหวาดกลัวเล็ก ต่อมาเขาก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง "น้องชาย ข้าเป็นรองประมุขของตระกูลจู จูชี่ หากบุตรชายของข้าล่วงเกินอันใดเจ้าไป ข้าหวังว่าน้องชายจักให้อภัยเขาสักครั้ง"
ตัวเขานั้นรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของชายชราที่ติดตามบุตรชายของเขามีมากเพียงใด นั่นทำให้เขาสามารถจินตนาการได้อย่างกระจ่างชัดว่า ชายวัยกลางคนที่กำลังจับตัวบุตรชายของเขาเอาไว้และยืนเคียงข้างชายหนุ่มในชุดสีม่วงเก่งกล้าเพียงใด
อย่างต่ำก็ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 …
ระดับนี้กระทั่งภายในตระกุลจู ยังมีจำนวนเพียงหยิบมือเดียว
แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เกรงกลัวกับอีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 เพราะตัวเขาเองก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 ด้วยเช่นกัน
ทั้งอีก 3 คนที่ติดตามเขามาก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 8 หากพวกเขาลงมือล่ะก็ พวกเข้ามั่นใจว่าสามารถสังหารชายวัยกลางคนผู้นั้นได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวตอนนี้คือ ชายหนุ่มในชุดสีม่วง
เท่าที่เขาคิดตัวตนของชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงผู้นี้คงหาได้ง่ายดายนัก เพราะเขาสามารถมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 มาติดสอยห้อยตามคอยรับใช้เช่นนี้ ดังนั้นถึงแม้เขาจะมีโทสะมากเท่าไร แต่เขาก็ต้องเลือกที่จะระงับเอาไว้เลือกที่จะยินยอมลงให้อีกฝ่าย
"ท่านพ่อ ท่านยังทำอะไรอยู่ ข้าต้องการให้มันตาย ข้าอยากให้มันตายตอนนี้!" ใบหน้าของจูจ้าวฉายความขุ่นเคืองออกมาไม่น้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวของจูชี่ มันกล่าวตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
"บัดซบ!" ใบหน้าของจูชี่มืดลงทันที เขาอยากก้าวออกไปตบหน้าสั่งสอนบุตรโง่งมสักฉาด
อย่างไรก็ตามฉงเฉวียนพลันเคลื่อนร่างจูจ้าวหลบออกมา
จูชี่ขมวดคิ้ว ในเมื่อลูกชายของเขายังอยู่ในกำมือของชายวัยกลางคน เขาจึงไม่กล้าที่จะเสียกริยาเพราะอารมณ์อีก เขาหันไปมองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้ๆ "น้องชาย หลังจากที่ข้าได้พาบุตรชายกลับตระกูลข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้แก่มันอย่างดี ตอนนี้ข้าหวังเพียงให้น้องชายปล่อยตัวบุตรชายของข้า จะได้หรือไม่"
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังจูจ้าวอยางเหนื่อยหน่าย "ข้าได้ยินมาว่าอาวุโส 2 ของตระกุลจูคือผู้หลอมศาสตราระดับ 8 ใช่หรือไม่"
"มิผิด" จูชี่พยักหน้า "หากน้องชายต้องการให้อาวุโส 2 ของเราหลอมสร้างอาวุธวิญญาณระดับ 8 ให้ ข้าสามารถช่วยกล่าวในเรื่องนี้ได้ น้องชายสามารถยอมรับเรื่องนี้คิดเสียว่าเป็นการขออภัยดีหรือไม่"
"เจ้า ..นี่ก็นับว่าเก็บงำความคิดได้มิดชิดดีนัก"ต้วนหลิงเทียนมองไปยังจูชี่ด้วยประกายตาลึกล้ำ ราวกับจะมองทะลุไปถึงจิตใจของจูชี่ "ตอนนี้เจ้าคงกำลังคิดว่า ตัวข้าถึงขนาดมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับนี้เคียงข้าง ความเป็นมาของข้าสมควรไม่ง่ายดาย … ข้ากล่าวถูกหรือไม่?"
จูชี่เผยท่าทางละอายเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมองออก
“เอาล่ะพอได้แล้ว ข้าจะจับบุตรชายของเจ้าเอาไว้แบบนี้ล่ะ ตราบใดที่เจ้าสามารถเรียกผู้อาวุโส 2 ของตระกุลจูออกมาได้ ข้าจะปล่อยมันไป” ต้วนหลิงเทียนมองจูชี่ด้วยความเรียบเฉย
ม่านตาของจูชี่หดแคบลง เขารู้ได้ทันทีว่าเจตนาของชายหนุ่มในชุดสี่ม่วงนี่คงไม่ได้ดีเป็นแน่ "น้องชาย ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงต้องการเจอตัวผู้อาวุโส 2 ของตระกูลจูเรา? มันคงหาใช่เรื่องง่ายดายเพียงเพื่อต้องการให้ผู้อาวุโส 2 ของพวกเราหลอมสร้างอาวุธวิญญาณระดับ 8 ให้ ใช่หรือไม่?"
"อาวุธวิญญาณระดบ 8 รึ?" มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุกก่อนทีจะเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมา พร้อมหงายฝ่ามือ และทันใดนั้นเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมาอย่างร้อนแรง "เจ้าคิดว่าข้ายังต้องให้มันช่วยหลอมสร้างอาวุธอยู่อีกหรือไม่?"
เปลวเพลิงที่ลุกโชนบนฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนอย่างร้อนแรง สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนโดยรอบทันที …
"สวรรค์ช่วย นั่นไม่ใช่เปลวเพลิงหลอมศาสตราระดับ 8 หรอกรึ!"
"อะไร! ชายหนุ่มที่ข้าแลดูยังไงก็ยังอายุไม่ถึง 20ปี แต่เขากลับเป็นถึงผู้หลอมศาสตราระดับ 8 แล้ว?"
ไม่น่าเชื่อ!
"ผู้หลอมศาสตราที่อายุไม่ถึง 20 ปี… นี่พรสวรรค์ตามธรรมชาติเลิศล้ำขั้นใดกัน?"
…
ใบหน้าของผู้คนในเหลาอาหารเต็มไปด้วยความตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมา
บางคนดูเหมือนจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ม่านตาของพวกมันพลันหดแคบลงทันที "เปลวเพลิงหลอมศาสตราระดับ 8 จะถูกจุดขึ้นมาได้ด้วยพลังงานต้นกำเนิดของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้เท่านั้น…เช่นนั้นกล่าวได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้แล้ว!"
"อะไร! ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ ด้วยวัยไม่ถึง 20 ปี?" สีหน้าของชายชราที่ติดตามจูชี่มา 3 คนเริ่มบิดเบี้ยวทันที
ชายหนุ่มชุดสีม่วงตรงหน้าของพวกเขานั้น กล่าวได้ว่ายิ่งมายิ่งน่ากลัวแล้ว …
"น้องชาย ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่?" จูชี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยามนี้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นถี่รัวขึ้น
อายุยังไม่ทัน 20 …
ระดับกำเนิดแก่นแท้
ผู้หลอมโอสถระดับ 8
เพียงแค่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ หนังศีรษะเขาก็ด้านชา สมองอื้ออึงแล้ว