สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 225 : โอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8!
บทที่ 225 : โอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8!
“เหอะ! เหลวไหลสิ้นดี กระทั่งผู้หลอมโอสถระดับ 6 ยังมิอาจทำกระไรได้กับพิษของพังพอนทมิฬไร้ลักษณ์ แล้วเด็กปากไม้สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้ายังกล้ากล่าวว่า พิษจะถูกขจัดจนหมดจด?” สายตาเย็นชาของชวีอวิ๋นกวาดมาหยุดที่ต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวเย้ยหยันออกมา
สำหรับเขา ต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงเด็กน้อยโง่งมไม่รู้เรื่องราว
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเสียเวลากับชวีอวิ๋นสืบไป เขาหันไปกล่าวคำ "ผู้เฒ่าหง ผู้เฒ่าฉิน … พวกท่านคงจดจำคำกล่าวของท่านปู่เจ้าพระยาที่กำชับมาได้เป็นอย่างดีก่อนที่พวกท่านจะจากจวนเจ้าพระยามาใช่หรือไม่? ข้าไม่สนใจว่ามันจะเป็นองครักษ์ผีสางนางไม้อะไร ข้าต้องการให้มันตกตาย ตอนนี้!"
ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำของมาอย่างไม่ลังเล น้ำเสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตฆ่าฟัน
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติ นับว่าเป็นภัยคุกคามขนาดใหญ่ไม่น้อยสำหรับเขา…ยิ่งไปกว่านั้นความแค้นระหว่างตัวเขากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติคนนี้ ก็กล่าวได้ว่าอยู่ในจุดที่ไร้วันประนีประนอมกันได้อีกแล้ว
หากชวีอวิ๋นไม่ตกตายเกรงว่าใจของเขาคงไม่อาจสงบลง
"ขอรับผู้บัญชาการ!" ผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉินพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะลงมือจู่โจมด้วยกำลังทั้งหมดทันที
"ฮึ่ม!" ใบหน้าของชวีอวิ๋นหมองคล้ำลง ดาบ 3 ฉื่อ ปรากฏขึ้นในมือของมันในทันใด และเมื่อมันวาดดาบออกมา
พลังงานต้นกำเนิดพลันแผ่พุ่งทะลักออกมาจากตัวดาบ ยามนี้ตัวดาบ 3 ฉื่อราวกับกู่ก้องร้องคำราม มั่นสันสะเทือนส่งเสียง เวิง เวิง ออกมา เงาร่างช้างแมมมอธโบราณเหนือศีรษะชวีอวิ๋นพลันเพิ่มพูนไปอยู่ที่ 1,900 ตัว!
เห็นได้ชัดว่าในมือมันกลับเป็นถึงอาวุธวิญญาณระดับ 7!
แต่หาใช่มันเพียงผู้เดียวไม่ที่มีอาวุธวิญญาณระดับ 7!
ผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉินเอง ก็เผยอาวุธวิญญาณระดับ 7 ของตัวเองออกมา เงาร่างช้างแมมมอธโบราณเหนือศีรษะพวกเขายามนี้ก็เพิ่มพูนเป็น 1,900 ตัวด้วยเช่นกัน!!
อาวุธวิญญาณระดับ 7 ในมือของผู้เฒ่าหงนั้นเป็นหอกเล่มหนึ่ง!
ส่วนอาวุธวิญญาณระดับ 7 ในมือของผู้เฒ่าฉิน นั้นเป็น พัดกระดูก!
ฟุ่บ!
ชวีอวิ๋นออกกระบวนท่าจู่โจม ดาบในมือของมันเคลื่อนไหววูบวาบราวกับจะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายอัสนี เงาดาบพร่างพราวไปทั่วผืนนภา ประกายดาบแต่ละเล่มคมกล้าราวกับจะฉีกกระชากชั้นฟ้า เสียงหวีดหวิวของคมดาบที่ฟาดแหวกอากาศมายังผู้เฒ่าฉินดังขึ้น
สำหรับมันแล้วศัตรูตัวฉกาจนั้นย่อมเป็นผู้เฒ่าฉิน เพราะตราบใดที่มันทำร้ายผู้เฒ่าฉินที่เหนือชั้นกว่ามันในเรื่องวิชาท่าร่างได้สำเร็จ ตัวมันก็จะบังเกิดหนทางรอดตายสายหนึ่งแล้ว
ผู้เฒ่าฉินมิคิดหลบหลีกเขาเพียงยกมือขึ้น พัดกระดูกในมือของเขาหมุนวนกรีดกราย ก่อเกิดเป็นวังวนอัดแน่นไปด้วยคลื่นพลังไร้สภาพประการหนึ่ง เสียงลมที่หมุนวนเป็นวังวนดัง วู้ม วู้ม ขึ้น สั่นสะท้านอากาศโดยรอบจนสั่นไหว
วู้มมมม!
พลังงานต้นกำเนิดที่ถูกหมุนวนควบแน่นลงไปในพัดกระดูกยามนี้มันถูกบีบอัด จนราวกับใต้ฝุ่นขนาดเล็ก ก่อนที่ผู้เฒ่าฉินจะสะบัดพัดกระดูก ปลดปล่อยใต้ฝุ่นพลังงานต้นกำเนิด พร้อมซัดพัดออกไป หมายระเบิดศีรษะผ่าร่างของชวีอวิ๋นในกระบวนท่าเดียว
ผู้เฒ่าฉินหาได้หวาดหวั่นกระบวนท่าดาบที่ฟาดฟันของชวีอวิ๋นแม้แต่น้อย เขาโจมตีสวนกลับไปราวกับไม่หวั่นเกรงดาบ 3 ฉื่อที่ฟาดมาดั่งเส้นสายอัสนีแม้แต่น้อย
ฝุ่บ!
ทันใดนั้นเองในห้วงเวลาเป็นตาย หอกในมือของผู้เฒ่าหงพลันสั่นไหว ตวัดฟาดออกไปราวกับหางนาคาโผล่พ้นน้ำ มันพุ่งทะลวงฝ่าอากาศไปสกัดกั้นดาบของชวีอวิ๋นได้ทันท่วงที
"ไม่!" ชวีอวิ๋นกล่าวตะโกนออกมาดังก้อง และนั่นเป็นการเปล่งเสียงเอื้อนเอ่ยวาจาครั้งสุดท้ายในชีวิตของมัน
หัวของมันถูก พายุใต้ฝุ่นที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานต้นกำเนิด ที่ก่อเกิดจากพัดกระดูกผู้เฒ่าฉิน ปั่นทำลายจนกะโหลกระเบิด มันสมองแตกซ่านกระเซ็น
ตาย!
ซ้ำร่างไร้หัวของมันยังถูกสภาวะแผ่พุ่งทำลายของพัดกระดูกที่ผู้เฒ่าฉินซัดออก ตัดฝ่าเป็นสองเสี่ยง ตกลงบนพื้นกลายเป็นซากร่างเลอะเลือน อวัยวะภายในและโลหิตชโลมทั่วลานบ้าน ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง
ผู้เฒ่าฉินเพียงสะบัดมือเล็กน้อยพัดกระดูกที่บินออกไปพลันวกกลับมาสู่มือ โดยปราศจากคราบโลหิตแม้เพียงหยด
"น่าสะพรึงนัก!" ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบขึ้นมา เขาจ้องมองและอดไม่ได้ที่ตะลึงเล็กน้อย
อีกทั้งในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกตกตะลึงกับการลงมือสอดประสานกันของผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉิน … กล่าวได้ว่าทั้ง 2 สอดประสานลงมือกันเป็นอย่างดี ซ้ำยังมีความไว้วางใจในตัวของอีกฝ่ายถึงขีดสุด
เพราะไม่เพียงแต่ กระบวนท่าดาบร้ายกาจของชวีอวิ๋นที่บังคับให้ผู้เฒ่าฉวินจำต้องหลบหนี เขากลับมิหลบ ยังเลือกฉวยโอกาสลงมือจู่โจมสวนกลับ ออกกระบวนท่ารุนแรง ด้วยพลังงานต้นกำเนิดที่โคจรใช้ออกบีบอัดจนแทบหมดร่าง ซ้ำยังซัดสละอาวุธออกไปเช่นนั้น …เช่นนี้ทำให้ชวีอวิ๋นไม่อาจป้องกันได้
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะความเชื่อใจผู้เฒ่าหงทั้งสิ้น ผู้เฒ่าฉินถึงกล้าลงมือ นอกจากนี้ผู้เฒ่าหงเองก็หาได้ทำให้เขาผิดหวังแต่อย่างใด เขาลงมือขวางหอกในช่วงเวลาที่อวีอวิ๋นไม่อาจรั้งกระบวนท่า และหยุดการจู่โจมของมันได้ในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด ดาบที่ควรทะลวงผ่าอกกลับสิ้นท่าลงไปในลักษณะนี้
ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่าคงมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติจำนวนไม่มากที่สามารถต้านรับการลงมือสอดประสานกันของ ผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉินได้
"ด้วยความแข็งแกร่งของผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉินที่สูงถึงเพียงนี้ พวกเขาคงมีสถานะในจวนเจ้าพระยาไม่ธรรมดาแน่ …ไม่คิดเลยว่าท่านลุงจะให้คนที่มีความสามารถเช่นนี้กับข้า" ต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่บังเกิดขึ้นได้ในหัวใจ
อีกทั้ง 8 องครักษ์เสื้อแพร ที่ทางจวนเจ้าพระยาส่งมาให้ต้วนหลิงเทียน ก็ยังไม่มีท่าทีประหลาดใจใดๆ ราวกับพวกเขาล่วงรู้อยู่แตกแรกแล้ว ว่าผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉินมีความแข็งแกร่งถึงขีดขั้นนี้
ต้วนหลิงเทียนหยิบแหวนมิติของชวีอวิ๋นขึ้นมา พร้อมกับดาบ วิญญาณระดับ 7
ดาบของชวีอวิ๋นเล่มนี้มีสีดำสนิท รูปร่างเรียบง่ายแลดูโบราณ
วู้ม!
มือของต้วนหลิงเทียนสั่นไหวเล็กน้อย แสงสีดำจากใบดาบกระพริบวูบวาบออกมา ก่อนที่เงาร่างช้างแมมมอธโบราณจะปรากฏขึ้นเหนือหัวต้วนหลิงเทียน 39 ตัว …
‘สามารถเสริมพลังได้ 27% งั้นรึ นับว่าไม่เลว ดีกว่าอาวุธวิญญาณระดับ 8 ที่ข้าสามารถหลอมสร้างได้ซะอีก’ ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดในใจ ก่อนที่จะตวัดดาบสีดำวูบวาบไปมาครู่หนึ่งแล้วก็เก็บมันเอาไว้
ตอนนี้เองผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉิน รวมถึงกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดล้วน อ้าปากค้าง ราวกับรอแมลงวันมาบินเยี่ยมชม
ยามที่ผู้บัญชาการของพวกมันหยิบดาบวิญญาณระดับ 7 ขึ้นมาแกว่งไกว ความแข็งแกร่งที่แสดงออกหลังจากเสริมกำลังด้วยความสามารถดาบแล้ว กลับมีถึง 39 ช้างแมมมอธโบราณ …
อาวุธวิญญาณระดับ 7 นั้นสามารถเพิ่มพูนพลังได้สูงสุด 30%
นั่นกล่าวได้ว่าแม้จะไม่พึ่งพาอาวุธวิญญาณเขาก็ยังสามารถใช้ออกด้วยความแข็งแกร่งสูงถึง 30 ช้างแมมมอธโบราณ
นั่นมัน ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 2!
ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเขาแม้แต่คนเดียวที่คิดฝันว่า …ผู้บัญชาการของพวกเขา จะตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 2 แล้ว!…อายุเพียง 18 ปี อยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 2!!
พวกเขารู้สึกอื้ออึงจนหนังศีรษะด้านชาแล้ว!
หลังจากที่ออกคำสั่งให้องครักษ์เสื้อแพรเผาทำลายซากศพของชวีอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็เรียกผู้เฒ่าหงและผู้เฒ่าฉินให้ติดตามเขามาที่ลานบ้านด้านหลัง
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายชราทั้ง 2 ก่อจะกล่าวถามออกมา "ผู้เฒ่าหง ผู้เฒ่าฉิน …ที่ชวีอวิ๋นมันกล่าวก่อนหน้านี้ว่าตัวมันเป็น ผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์ผี รับใช้องค์ราชามรรตัย คำที่มันกล่าวนี่มันหมายความว่าอะไรบ้างหรือ? พวกท่านสามารถกล่าวอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่?"
"ย่อมได้ขอรับ" ผู้เฒ่าหงพยักหน้า ก่อนที่สีหน้าเขาจะดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย “องค์ราชามรรตัยที่ว่านั้น กล่าวได้ว่าเป็นตัวตายตัวแทนขององค์ราชา มีนามว่า องค์ราชามรรตัยฉู่ ซ้ำเขายังเป็นน้องชายแท้ๆของราชาองค์ปัจจุบัน พวกเขามีบิดาคนเดียวกัน แต่ทว่าคนละมารดา อีกทั้งองค์ราชามรรตัยฉู่ผู้นี้ ยังกล่าวได้ว่าเป็น คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียว กับบิดาของเจ้า ต้วนหรูเฟิง ในปีนั้นรุ่นเยาว์ทั้งทั้งอาณาจักรนภาล่อง พรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์ของเขา เพียงด้อยกว่าบิดาของเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
“ต่อมาไม่นาน องค์ราชามรรตัยฉู่ด้วยความคิดอยากก้าวหน้าจึงออกเดินทางจากอาณาจักรนภาล่อง ไปยัง อาณาจักรพนาคราม… เป็นเวลากว่า 10 ปี ในที่สุดเขาก็กลับมา และยามนั้นระดับบ่มเพาะของเขาก็ตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในตอนนั้นเอง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติรุ่นก่อนหน้าได้ถึงแก่อายุขัยตกตายจากไป เช่นนั้นองค์ราชามรรตัยจึงยินยอมรับบทบาทที่สำคัญที่สุดในการปกป้องตระกูลราชวงศ์ ยินยอมเป็นองค์ราชามรรตัย ซ่อนตัวคุ้มครองอาณาจักรแห่งนี้จากเงามืด ส่วนองครักษ์ผีนั้น เป็นองครักษ์ที่คอยรับใช้องค์ราชามรรตัย พวกเขามีกันทั้งสิ้น 9 คน และทั้งหมดเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติทั้งสิ้น” ผู้เฒ่าหงกล่าวอธิบายออกมารวดเดียวจบ
ต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจได้ทันที
องค์ราชามรรตัยฉู่!
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติของตระกูลราชวงศ์!
เขาจดจำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ
"ท่านผู้บัญชาการ ท่านพระยาส่งคนมาแจ้งให้ท่านเดินทางไปยังจวนเจ้าพระยาขอรับ" ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหน้า
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ลานด้านหลังย่อมได้ยินอย่างชัดเจน เขายิ้มให้กับชายชราทั้งสอง "ผู้เฒ่าฉิน ผู้เฒ่าหง พวกท่านมากับข้า"
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาถึงจวนเจ้าพระยา
"เทียนน้อย วัตถุดิบที่เจ้าต้องการ ข้าได้ให้คนไปรวบรวมจนครบถ้วนแล้ว" สีหน้าพระยานี่เหวี่ยเผยความยินดีออกมา เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมาถึง
"รวดเร็วถึงเพียงนี้?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เนื่องจากวัตถุดิบหลักที่เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับหลอมปรุงโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8 นั้น เป็นวัตถุดิบที่หาได้ยากอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเมืองหลวงแห่งนี้ก็ยังกล่าวได้ว่าหายากเย็นนัก
เขาไม่คิดเลยว่าท่านลุงนี่ของเขาจะสามารถรวบรวมพวกมันได้ครบเพียงเวลาไม่กี่วันเช่นนี้
ความสามารถของจวนเจ้าพระยานี่คงมีอันใดพิเศษไม่น้อย
นี่เหวี่ยกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “มีวัตถุดิบตัวหนึ่งในรายการ ที่กล่าวได้ว่าหายากเย็นยิ่งนัก … อย่างไรก็ตามข้ามีสหายผู้หลอมโอสถที่มีวัตถุดิบชิ้นนี้ไว้ในครอบครองอยู่พอดี ข้าจึงไปขอซื้อขายกับเขามา”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปยังลานด้านหลังของจวนเจ้าพระยา พร้อมกันกับนี่เหวี่ย
หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียน ก็หยิบเตาหลอมโอสถออกมา ก่อนที่จะจุดเพลิงหลอมโอสถระดับ 8 แล้วเริ่มทำการหลอมกลั่นโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8
ต้วนหลิงเทียนเริ่มหยิบวัตถุดิบลงเตาหลอมทีละชิ้นด้วยปริมาณและจังหวะเวลาที่แม่นยำ สุดท้ายก็ใส่วัตถุดิบลงไปทั้งหมด หลังจากที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วยามครึ่งตามที่เขาคาดการณ์ไว้ โอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ก็หลอมปรุงเสร็จสิ้น
"ท่านปู่นี่ โอสถเม็ดนี้คือโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8 และมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับโอสถครั้งที่แล้ว กินเดือนละ 1 เม็ด จนครบ 3 เม็ด… และหลังจาก 3 เดือนผ่านไป พิษของพังพอนทมิฬไร้ลักษณ์ของท่านก็จะถูกขจัดออกไปจนหมดจด!" หลี่ต้วนหลิงเทียนหยิบโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8 ส่งยื่นมอบให้ชายชราไป 3 เม็ด
ชายชราเมื่อรับไปก็กลืนลงท้องไปก่อนทันที 1 เม็ด พร้อมรอยยิ้มที่ไม่มีความกังวล "เทียนน้อยทั้งหมดล้วนต้องขอบคุณเจ้า"
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "ท่านปู่นี่ท่านกล่าวเกรงใจไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านเมตตาส่งผู้เฒ่าหงกับผู้เฒ่าฉินไปช่วยเหลือข้า เกรงว่าวันนี้ข้าคงไม่มีชีวิตมาหาท่านแล้ว"
หากไม่มีผู้เฒ่าทั้ง 2 คนแล้วล่ะก็ สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้เลย ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะรอดพ้นเงื้อมมือของชวีอวิ๋น
"อะไร! มันเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?" ใบหน้าชายชราแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ประกายตาทั้งคู่ส่องแสงดุร้าย จิตสังหารจากภายในร่างเริ่มเอ่อล้นออกมา
"เทียนน้อย ผู้ใดมันหาญกล้าแตะต้องเจ้า?" ใบหน้าของนี่เหวี่ยเองก็เต็มไปด้วยโทสะเช่นกัน
"ท่านปู่กับท่านลุงนี่ ไม่ต้องเป็นห่วง เขาตายไปแล้ว … คนๆนี้เรียกว่าชวีอวิ๋น มันเป็นบิดาของผู้บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงชวีลู่" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาช้าๆ
"ชวีอวิ๋นเช่นนั้นรึ จากที่ข้ารู้มา มันเป็น องครักษ์ผี …แต่มันจะเป็นอันใดก็ช่างหัวมันปะไร มันกล้าแตะต้องเจ้ามันต้องตาย " ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ดูราวกับว่าหากเขาไม่ได้ฉีกร่างชวีอวิ๋นด้วยตัวเองคงไม่คิดเลิกรา
นี่เหวี่ยเองก็มีอาการเช่นเดียวกัน
"เอ๋ ท่านลุงนี่ ท่านยังไม่ดื่ม สุราวานรจักรพรรดิอีกรึ?" ต้วนหลิงเทียนหันไปมองนี่เหวี่ยพร้อมกล่าวเปลี่ยนเรื่องสลายบรรยากาศตึงเครียดออกมาทันที
"อ่า ข้าตั้งใจจะใช้มันหลังจากนี้อีก 2 วัน …เมื่อถึงเวลานั้น ข้าตั้งใจจะออกเดินทางจากเมืองหลวงไปชั่วคราว เพื่อเสาะหาสถานที่ รอรับทัณฑ์สายฟ้า 6 หายนะ 9 ภัยพิบัติ!" นี่เหวี่ยกล่าวออกมาพร้อมยิ้มบางๆ
ต้วนหลิงเทียนกระพริบตาพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม "ดูเหมือนว่าท่านลุงนี่จะมีความมั่นใจอย่างมาก ในการเข้าสู่ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติในเร็วๆนี้ "
"ฮ่า ๆ … หากลุงนี่ผู้นี้สามารถตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้ ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของเจ้าทั้งสิ้น หากข้าไม่ได้รับสุราวานรจักรพรรดิ มิรู้ข้าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรถึงจะมีโอกาสบุกทะลวงระดับเช่นนี้ มันอาจจะเป็นก้าวสุดท้ายที่ข้าอาจไม่มีวันไปถึงอีกเลยชั่วชีวิตก็เป็นได้" หลังจากที่กล่าววาจาจบ นี่เหวี่ยพลันส่ายหน้าถอนหายใจออกมา
ถึงแม้ว่าเขาเหลืออีกเพียงก้าวเล็กๆนิดเดียวที่จะทะลวงผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ อันเรียกว่าครึ่งก้าวนั้น แต่อาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ไม่รู้มีผู้ฝึกยุทธ์มากน้อยเท่าไรแล้วที่ติดอยู่ในระดับครึ้งก้าวนี้จวบจนวันตาย
สุดท้ายแล้วกว่า 90% ของผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้น ล้วนต้องจบสิ้นชีวิตลงด้วยโรคชรา หมดสิ้นอายุขัยเสียก่อน
กล่าวได้ว่าหากผู้ใดหวังที่จะตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาตินั้น ต้องพึ่งพรสวรรค์แต่กำเนิดที่ไม่ธรรมดา
และแน่นอนมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ทีมีพรสวรรค์เล็กน้อยหรือมีพรสวรรค์อยู่ในระดับธรรมจะสามารถตัดผ่านระดับไปได้
แต่ตราบใดที่ มีโอสถสู่ธรรมชาติ หรือความช่วยเหลือจากอย่างอื่น อย่างเช่นสุราวานรจักรพรรดิ แน่นอนคนๆนั้นยังสามารถตัดผ่านระดับแรกสัมผัสธรรมชาติไปได้อย่างราบรื่น
"ลุงนี่ท่านก็กล่าววาจาเกินจริงไปแล้ว ท่านปู่นี่ยังสามารถตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้เลย แล้วท่านจะมีปัญหาได้อย่างไร?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมหัวเราะออกมา
อย่างไรก็ตามนี่เหวี่ยยังไม่ทันได้กล่าวคำ ชายชราก็กล่าววาจาออกมาเสียก่อน "เทียนน้อยมีบางเรื่องที่เจ้ายังไม่ล่วงรู้…ปู่ของเจ้าคนนี้ที่สามารถทะลวงไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะโอสถสู่ธรรมชาติเช่นกัน หากข้าไม่ได้รับโอสถสู่ธรรมชาติแล้วล่ะก็ คงเป็นเรื่องยากที่ข้าจะทะลวงผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้ในชั่วชีวิตนี้"
ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงไม่น้อย เข้าไม่คิดเลยว่าชายชราจะตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติด้วยความช่วยเหลือจากโอสถสู่ธรรมชาติเช่นนี้
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางออกจากจวนเจ้าพระยาแล้ว เขาก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที และเมื่อถึงบ้านเขาก็เรียกฉงเฉวียนให้มาหา
"นายน้อย!" ฉงเฉวียนทำการคารวะต้วนหลิงเทียน
"ฉงเฉวียนเจ้าเอานี่ไปสิ" ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเสียเวลากล่าวคำอะไรเขาล้วงหยิบโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8 ออกจากแหวนมิติทั้ง 3 เม็ด แล้วยื่นส่งให้ฉงเฉวียนทันที