สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 220 : ความตายของชวีลู่!
บทที่ 220 : ความตายของชวีลู่!
เกณฑ์ขั้นต่ำที่สุดในการเข้าร่วมกองกำลังทหารองครักษ์เสื้อแพร คือระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7!
เรื่องนี้ กลับกลายเป็นเรื่องขำขันภายในเมืองหลวงอยู่พักหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอย่างต้วนหลิงเทียน บังเกิดอารมณ์นึกสนุกและคาดหวังไปไกลมากเกินไปแล้ว
ตัวตนที่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 หรือเหนือชั้นกว่า เป็นอะไรที่ตัวเขาคิดรับสมัครอยากได้ ก็จะมีมาอย่างงั้นหรือ?!
ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำผืนนภาทอสีส้มแดง
บริเวณค่ายที่พักของกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวง
มีม้าขนาดใหญ่ 13 ตัวควบขี่มาพร้อมร่าง 13 ร่างพุ่งเข้าค่ายทหารองครักษ์ไปอย่างไม่หวาดหวั่น
ทั้ง 13 ร่างสวมชุดคลุมปลาบิน เครื่องหมายการค้าขององครักษ์เสื้อแพร ไม่ผิดแน่!
แต่ละคนมีป้ายแสดงฐานะห้อยไว้ที่เอว ยังมีดาบใบแคบยาวปลายตัดเหน็บเอาไว้ใกล้ๆกัน!
มองไปผู้นำที่ควบม้านำหน้ามา ยังเป็นเพียงชายหนุ่มวัยเยาว์เท่านั้น
รอยยิ้มที่แลดูซุกซนคล้ายคนยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถูกเผยให้เห็นบนใบหน้าอ่อนวัยหล่อเหลา
ผู้คนที่มองใบหน้านี้ สามารถบอกได้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้สมควรมีอายุย่างเข้า 19 ปีเท่านั้น
"พวกเจ้าเป็นใคร?" ทหารทั้ง 10 คนที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังหน้าค่ายทหาร รีบก้าวออกมาขวางทางพร้อมกระชับอาวุธเตรียมพร้อมเอาไว้ เมื่อเห็นกลุ่มคนควบขี่อาชามาฝุ่นตลบ
"ล่วงเกินแล้ว!" ชายหนุ่มวัยเยาว์ที่นำหน้าเพียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาไม่แยแสของเขากวาดไปทั่วทหารองครักษ์ เขาไม่ได้สนใจที่จะฟังข้อห้ามหรือหยุดอะไรทั้งสิ้น เพียงเดินผ่านเหล่าทหารองครักษ์หน้าค่ายไปเสียเฉยๆ
"พวกเจ้า…." ทหารองครักษ์คนหนึ่งก้าวไปด้านหน้าหมายสกัดกั้นผู้บุกรุก อย่างไรก็ตามร่างของเขาพลันถูกสหายทหารคนหนึ่งรั้งดึงกลับหลังไว้
"นี่เจ้าคิดทำอะไร เจ้าไม่เห็นหรือไรว่ามีกลุ่มคน คิดบุกรุกฝ่าด่านเข้าค่ายทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงของพวกเรา?" ทหารที่คิดไปสกัดกลุ่มคนขุ่นเคือง
"บัดซบ! เจ้านั่นล่ะ เสียสติไปแล้วหรือไร เจ้ามิเห็นป้ายแสดงตัวที่เอวพวกเขาหรือไร? นั่นคือกลุ่มองครักษ์เสื้อแพร!" ทหารที่ดึงร่างเพื่อนทหารเข้ามาเมื่อคู่สูดลมหายใจหนาวเหน็บก่อนที่จะกล่าววาจาร้องเตือนเพื่อนสหายออกมาด้วยความหวาดกลัว
“อะไรนะ องครักษ์เสื้อแพร! ไม่ใช่ว่าเกณฑ์ต่ำสุดในการคัดเลือกเข้าร่วมกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรจะอยู่ที่ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 หรอกหรือ …กลุ่มคนพวกนี้ เป็นผู้ที่สมัครมาเข้าร่วมกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรจริงๆ?”
"ผู้ใดจะไปรู้เล่า …แต่หากข้าดูมิผิด ชายหนุ่มวัยเยาว์ที่นำหน้ามาเมื่อครู่ สมควรเป็นผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรที่มีนามว่าต้วนหลิงเทียน"
"สถานะของกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรยิ่งใหญ่ปานใดเล่า? ยามนี้ตัวเขาเพียงรับคำสั่งองค์ราชาเพียงผู้เดียว เท่านั้นนับว่าอยู่ใต้หนึ่งอยู่เหนือทั้งอาณาจักร อย่าว่าแต่ข้ากับเจ้าเลย ต่อให้ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงของพวกเรา เจอเขายามนี้ต้องยำเกรงเขาอยู่หลายส่วน "
…
ต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามายังค่ายศูนย์บัญชาการกองทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงอย่างง่ายดาย เขาเดินมุ่งตรงไปยังใจกลางศูนย์บัญชาการโดยไม่คิดแวะพัก ทหารองครักษ์ที่พบเห็นเขาล้วนหลีกทางให้ทั้งสิ้น
ต้วนหลิงเทียนเดินนำหน้าโดยมีชายชรา 2 คนเดินตาม ส่วนด้านหลังอีก 10 คนล้วนเป็นชายวัยกลางคนทั้งสิ้น
จางเฉวียนและจ้าวกังเองก็เป็นชายวัยกลางคนในกลุ่มด้านหลังนี้ด้วย
ต้วนหลิงเทียนได้เดินทางไปยังจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ตั้งแต่เช้า และคัดเลือกผู้คนที่แลดูแล้วถูกชะตา จากผู้คนที่ท่านลุงนี่พามาให้เขาเลือกเข้าร่วมกองกำลังของเขา
สุดท้ายคนจากเจ้าจวนเจ้าพระยาที่เข้าร่วมกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร ก็มีเพิ่มมาอีก 10 คน และหากนับรวมตัวเขาและจางเฉวียนจ้าวกัง กององครักษ์เสื้อแพรก็มีทั้งสิ้น 13 คนพอดี
ร่างหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปยังห้องโถงของศูนย์บัญชาการหลัก ก่อนที่จะกล่าวรายงานออกมาอย่างร้อนรน "ท่านผู้บัญชาการขอรับ องครักษ์เสื้อแพร …พวกองครักษ์เสื้อแพรมาแล้ว! "
"อะไรนะ?!" ผู้บัญชาการกองกำลังทหารองค์รักษ์ประจำเมืองหลวง ชวีลู่ แสดงสีหน้ามืดลงเล็กน้อย "พวกมันมากันกี่คน?"
"นับรวมผู้บัญชาการต้วนแล้ว มีทั้งสิ้น 13 คนขอรับ" ร่างที่วิ่งเข้ามารายงานกล่าวตอบ
"13 คน เช่นนั้นก็กล่าวได้ว่านอกจากมันแล้ว ยังมีอีก 12 คนที่มีระดับบ่มเพาะวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 หรือสูงกว่าสินะ หึ! จวนเจ้าพระยาช่างใจกว้างนัก ดูท่าคนในจวนเจ้าพระยาจะให้ความสำคัญไอเด็กนั่นไม่น้อย…ไม่พ้นเป็นเพราะพระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ยที่เป็นสหายกับบิดาของไอเด็กนั่นจัดหาให้เป็นแน่! เอาล่ะ! เจ้าไปแจ้งนายกองทั้งหมดที่อยู่ในศูนย์บัญชาการให้มารวมตัวกันที่นี่ … ข้าจะให้ไอเด็กบัดซบนั่นรู้ว่า ศูนย์บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงของข้า ไม่ใช่ที่ๆมันคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้ตามใจชอบ! "
"ขอรับ!" ร่างที่เข้ามาก่อนหนี้รับคำสั่งและเร่งรุดออกไปทันใด
“ต้วนหลิงเทียน! โชคดีนักที่เจ้ามาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง แม้เจ้าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งคุ้มกะลาหัว…วันนี้ในเมื่อเจ้าหาญกล้าพาคนมาบุกรุกศูนย์บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงของข้า และยังกล้าทำตัววางก้ามเขื่องโขที่นี่ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าการเดินทางนี้ เป็นเรื่องโอหังเรื่องสุดท้ายที่เจ้าจะได้กระทำในชีวิต! " ประกายตาเย็นเยือกเต็มไปด้วยความอำมหิตส่องออกมาจากดวงตาของชวีลู่
ด้านนอก
เมื่อเข้าใกล้กระโจมใหญ่กลางค่าย ต้วนหลิงเทียนก็หยุดเท้าลง เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ติดตามมาทั้ง 12 คนก็หยุดลงเช่นกัน
ตอนนี้เองกองทหารองครักษ์ก็กรูออกมาจากด้านในกระโจม รวมทั้งแห่มาจากทั่วทุกสารทิศ เสียงย่ำเท้าของพวกมันพาลให้แผ่นดินสะเทือน
ตอนนี้กองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวง ได้ปิดล้อมกลุ่มของต้วนหลิงเทียนเอาไว้คล้ายกับถังที่เหนียวแน่นไร้หนทางหลบหนี
ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ได้เผชิญหน้ากับชวีลู่อีกครั้ง
ชวีลู่ก้าวเดินออกมาข้างหน้า ยามนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแฝงความกระหายเลือดเอาไว้ "ต้วนหลิงเทียน ข้ามิคิดเลยวาเจ้าจะเสนอหน้าแส่มาหาขาถึงที่ด้วยตัวเองเช่นนี้ …หากอยู่ภายนอกด้วยสถานะผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรของเจ้า ข้าอาจจะต้องวิตกเล็กน้อยหากคิดลงมือสังหารเจ้า แต่มายามนี้เจ้าได้บุกรุกเข้ามาในเขตค่ายของกองกำลังทหารองครักษ์ของข้าด้วยตัวเอง องค์ราชาเองก็คงไม่ตำหนิอะไรข้า หากจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย! "
ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าแค่เจอหน้า ชวีลู่ก็ขู่ฆ่าเขาต่อหน้าผู้คนแล้ว
ดูเหมือนการเดินทางมาที่นี่วันนี้ นับเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว!!
"ชวีลู่ เจ้านี่ก็ยังโอหังดั่งวันวานไม่เปลี่ยน …ไม่ใช่วันนั้นเป็นเจ้าที่กล่าวออกมาเองหรือไงที่อวดอ้างว่าจะสังหารข้าอย่างนู้นอย่างนี้ ตอนนี้ข้าเองก็ยังอยู่ดีมีสุขไม่ใช่หรือไร?" มุมปากของต้วนหลิงเทียนยกขึ้น แสยะยิ้มออกมา ก่อนที่จะกล่าววาจาเย้ยหยันอย่างยียวน
"เจ้า!" สีหน้าชวีลู่หมองคล้ำลงโดยพลัน "เหอะ! หากไม่ใช่ผู้อาวุโสหลักของตระกูลต้วนมาด้วยตัวเอง เกรงว่าเจ้าจะต้องเป็นศพไปแล้ว! อย่างไรก็ตามในวันนี้ … ข้าต้องกล่าวบอกเจ้าก่อนเลยว่าข้าประหลาดใจไม่น้อยจริงๆ ขนาดเกณฑ์รับคนของเจ้าสูงถึงเพียงนั้น พระยาเรืองฤทธิ์ยังให้คนมาถึง 12 คน นับว่าใจกว้างอย่างยิ่ง!"
"หืม นี่เจ้ารู้ด้วยเหรอ ว่าพวกเขาเป็นที่พระยาเรืองฤทธิ์มอบให้ข้า?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
"เหอะ! เรื่องที่ข้ารู้ยังมีอีกเยอะ อย่างที่เจ้าคาดคิดไม่ถึง"ชวีลู่กล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาก่อนที่จะจับจ้องไปยังชวีลู่แล้วกล่าววา "ผู้บัญชาการชวี ข้ามาถึงที่นี่วันนี้ เพื่อกล่าวถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วง 5 เดือนที่แล้วเสียหน่อย … คนที่เจ้าส่งไปฆ่าข้ายามเดินทางไปยังชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือถูกข้าสังหารไปแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อชำระบัญชีนี้ระหว่างพวกเรา …อันตัวข้าเองก็ไม่ใช่คนโลภมากอะไร ขอเพียงเจ้าชำระเงินค่าทำขวัญมาสัก 10,000,000 เหรียญเงิน ข้าก็ไม่คิดสืบสาวเอาความใดๆเจ้าอีกต่อไป เรื่องนี้เจ้าว่าไงบ้างเล่า"
ทั้งกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร และทหารองครักษ์ประจำเมืองที่อยู่รอบๆ ล้วนอึ้งไปทันที เมื่อได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน
คนไม่โลภเขาเรียกร้องกัน 10,000,000 เหรียญเงินเลยหรือ ?
ท่านผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรต้วนหลิงเทียน ล้อกันเล่นหรือไร!?
"ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนเจ้าเองจะรู้เรื่องราวแต่แรกแล้ว … " ประกายตาของชวีลู่คมขึ้นเล็กน้อย "นับว่าเจ้ามีความสามารถไม่น้อยเลยทีเดียว ทีสามารถง้างปากคนของข้าได้"
"อะไร ผู้บัญชาการชวี นี่เจ้ายอมรับ สารภาพออกมาเองเลยรึ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
"ข้ายอมรับแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้กันเล่า?" ชวีลู่หัวเราะเยาะออกมา เผยให้เห็นแววตาเย็นชาและจิตสังหารที่เริ่มแผ่ซ่านออกมา มันคิดฆ่าฟันผู้คนแล้ว
"ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้วก็ดี รีบๆหยิบเงินมาชำระค่าทำขวัญข้าได้แล้ว ข้าจะได้พากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรของข้าไปหาสุราเลิศรสดื่มสักคนละไหสองไห " มุมปากของต้วนหลิงเทียนยกขึ้นอย่างมีเลศนัย
"อะไร ถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดเก็บค่าทำขวัญบัดซบนั่นกับข้า!?"ชวีลู่ลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ซ้ำยังหัวเราะอย่างต่อเนื่องราวกับนี่เป็นเรื่องขบขันที่สุดที่มันเคยได้ยิน "ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนเจ้ายังดูสถานการณ์ไม่ออก เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าคิดว่าอาศัยคนของเจ้าไม่กี่คน สามารถต้านทานกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงของข้าได้? ข้าขอกล่าวให้เจ้าเข้าใจง่ายๆเอาไว้ ขอเพียงทุกคนถ่มถุยน้ำลายใส่เจ้าคนละคำ เกรงว่าเจ้าและคนของเจ้าทั้งหมดต้องจมน้ำตายแล้ว!
"โอ้ ขนาดนั้นเลย ผู้บัญชาการชวีดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจไม่น้อยเลยนะ" ต้วนหลิงเทียนยังแสดงท่าทีไม่ยี่หระ แม้กระทั่งยามนี้ท่าทางของเขายังแสดงความเย้ยหยันออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เหอะ! ต้วนหลิงเทียน เจ้าอย่าได้ประเมินค่าตัวเองให้สูงเกินไปนัก แค่เพียงเจ้าได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรก็โอหังถึงเพียงนี้ … ข้าขอบอกต่อเจ้าให้ชัด ต่อหน้าข้าเจ้าก็ไม่นับเป็นตัวอะไร!” ชวีลู่ชี้หน้ากล่าวเสียงดังก้องออกมาอย่างน้ำลายแตกฟอง น้ำเสียงของเขายามนี้แลดูวางก้ามนัก
สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไม่ว่าจะ เป็นช่วงชีวิตนี้หรือก่อนหน้า สิ่งที่ตัวเขาเกลียดที่สุดคือการทีมีคนมาชี้หน้ากล่าววาจาสามหาวใส่เขา!
ครั้งหนึ่งสมัยที่ยังเป็นทหารรับจ้าง เคยมีหน่วยนาวีซีลระดับหัวกะทิที่ผ่านการฝึกพิเศษจากประเทศ M มากล่าววาจาวางท่าชี้หน้าหยามหยันเขากลางร้านเหล้า หลิงเทียนจึงจัดการเปิดกะโหลกให้สมองมันรับลมเล่นเสียตอนนั้น!
"ฆ่ามัน!" ทันใดนั้นเองจิตสังหารของต้วนหลิงเทียนก็ปะทุออกมาทะลวงชั้นฟ้า ก่อนที่น้ำเสียงเย็นชาไม่แยแสจะดังขึ้น
"ฆ่าข้า?" ชวีลูเริ่มหัวเราะ พร้อมแสดงใบหน้าดูถูกเย้ยหยันออกมา
อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มของมันพลันต้องชะงักค้าง … เพราะยามนี้ภาพที่มันมองเห็นคือ ร่างกายหนึ่งที่ไร้ศีรษะ …
ตุบ ขลุกๆ
น้ำพุโลหิตฉีดพวยพุ่งสวยงามเป็นละอองฝอย กองกำลังทหารองครักษ์ยังไม่มีผู้ใดสามารถขยับตัวตอบสนองได้ทัน พวกมันรู้ตัวอีกทีหัวของผู้บัญชาการพวกมันก็กลิ้งหลุนๆ สองตาเบิกกว้างเสียแล้ว
พริบตาต่อมาพวกเขาก็เบนสายตาไปมอง ด้านข้างของต้วนหลิงเทียน ยามนี้มีชายชราคนหนึ่งกำลังถือดาบที่มีโลหิตเปรอะเปื้อนไหลหยดลงพื้นดังติ๋งๆ…
กองกำลังทหารองครักษ์ทุกคนมองไปยังชายชราด้วยสายตาหวาดกลัว สองตาและใบหน้าของพวกมันฉายชัดออกมาถึงความยากจะเชื่อ
ตอนแรกนั้นพวกมันเห็นเพียงชายชราเริ่มขยับร่างเท่านั้น และทุกอย่างก็เกิดขึ้นรวดเร็วมาก พวกมันไม่รู้ว่าชายชราตวัดดาบด้วยท่วงท่าอันใด หรือมีความแข็งแกร่งเท่าไร เพราะเงาร่างช้างแมมมอธโบราณเพียงกระพริบออกมาวูบเดียวเท่านั้น สุดท้ายพวกมันก็เห็น หัวผู้บัญชาการถูกแยกออกจากตัวเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งที่พวกเขามั่นใจอย่างยิ่งก็คือ ระดับบ่มเพาะของชายชราผู้นี้สมควรไม่ด้อยไปกว่าระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 … กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งชายชราไม่มีทางด้อยกว่าผู้บัญชาการของพวกเขา! นี่เป็นเพราะชายชราคนนี้สามารถสังหารผู้บัญชาการของพวกเขาด้วยการจู่โจมเพียงดาบเดียว!
"ฮึ่ม!" ต้วนหลิงเทียนสบถออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา หลังจากนั้นเขาก็หันหลังไป พร้อมกับนำกองกำลัง 12 คนในชุดเครื่องแบบปลาบิน พร้อมดาบยาวปลายตัดที่สะพายอยู่ตรงเอว เดิออกจากกระโจมอย่างสง่าผ่าเผย ด้วยท่วงท่าเด็ดเดี่ยวองอาจ
ทุกที่ๆพวกเขาเดินผ่านเหล่าทหารองครักษ์ล้วนเปิดทางให้ได้เดินอย่างสะดวก ตอนนี้ผู้บัญชาการของพวกมันตกตายลงแล้ว พวกมันไม่โง่พอที่จะแสวงหาความตาย
ดูเหมือนผู้คนที่ผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรนำมานี้ไม่เพียง แต่มีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 เท่านั้น แต่กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 ก็ยังมี
ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งคนที่ 9 นั้น กล่าวได้ว่าหากมองแคความแข็งแกร่งอย่างเดียวก็สมควรได้เป็นผู้บัญชาการ หรือแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามพวกเขากลับเลือกที่จะติดตามผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรวัยเยาว์นี้!
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกระโดดขึ้นหลังม้า และควบขี่ออกจากค่ายบัญชาการของกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงแล้ว เขาก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา …
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างเท่ห์ และน่าสมใจมากมายนัก ดูสายตาตกตะลึงและยำเกรงของพวกมันสิ!
วันนี้นับว่า เขาละเล่นได้สนุกสนานอย่างแท้จริง!
หากมีใครล่วงรู้ความคิดที่อยู่ในหัวต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ไม่รู้สีหน้าท่าทางของพวกมันจะน่าดูชมขนาดไหน…
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรทั้ง 12 คนกลับบ้านลาน ที่เป็นที่ทำการของกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร
ไม่นานข่าวเรื่องราวอันน่าตกตะลึงที่เกิดขึ้นกลางค่ายกองกำลังทหารองครักษ์ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรต้วนหลิงเทียน ได้นำองครักษ์เสื้อแพร 12 คน บุกฝ่าเข้าไปหา ผู้บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวง ก่อนที่จะตัดศีรษะผู้บัญชาการอย่างชวีลู่ท่ามกลางกองกำลังทหารองครักษ์นับร้อย
ข่าวนี้นับว่าสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนจำนวนมาก รวมถึงผู้คนที่คิดว่าคงไม่มีใครบ้าพอที่จะเข้าร่วมกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรเพราะเกณฑ์คัดเลือกสมาชิกสูงเกินไป และแม้กระทั่งกล่าววาจาเยาะเย้ยว่าไม่แคล้วผู้บัญชาการต้วนคงต้องเป็นผู้บัญชาการที่ไร้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนแรกเป็นแน่!
"อะไรนะ เกณฑ์การรับสมัครคัดเลือกที่สูงถึงขนาดรับแต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ขึ้นไปเช่นนั้น กลับมีผู้คนเข้าร่วมกองกำลังถึง 12 คน?"
"ถูกแล้ว 12 คนไม่ผิดเพี้ยน ซ้ำทุกคนยังอยู่ในระดับ 7 วิญญาณแรกก่อตั้งเป็นอย่างต่ำอีกด้วย…กล่าวได้ว่ากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรนี้ เน้นที่คุณภาพหาใช่ที่ปริมานโดยแท้!"
"ข้าได้ยินมาว่า ผู้ที่ลงมือสังหารผู้บัญชาการชวีลู่นั้น ลงมือหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวสั่งเพียงแค่หนึ่งคำเท่านั้น เขาลงมือโดยไร้ซึ่งความลังเล… ทั้งเขายังสังหารผู้บัญชาการชวีลู่ได้ด้วยการลงมือเพียง 1 กระบวนท่า!"
“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน จากที่ข้าประมาณความแข็งแกร่งของผู้ที่ลงมือนั้นเกรงว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 เป็นแน่”
"เพ้ย เรื่องนี้ผู้ใดก็รู้ หากเขาไม่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 แล้วเข้าจะจู่โจมสังหารผู้บัญชาการชวีลู่ที่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 เพียงกระบวนท่าเดียวได้อย่างไร?"