สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 215 : หวนคืนกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมชัยชนะ!!
บทที่ 215 : หวนคืนกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมชัยชนะ!!
"หมดชาม!" ต้วนหลิงเทียนเองก็ปล่อยตัวไปตามบรรยากาศเช่นกัน ยามนี้เขาแสดงความอหังการด้วยการยกสุราชามใหญ่ยกซดรวดเดียวหมดจอกด้วยท่วงท่าทระนงองอาจทะลวงฟ้า
ชีวิตที่แล้วของเขาเองก็กล่าวได้ว่าเติบโตมากับกลิ่นดินปืนและทหารกับการรบ เขาถึงสามารถเข้ากันได้กับทหารนับ 100,000 ได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก เขาร่วมดื่มสังสรรค์กับทหารทั้งกองทัพอยู่จนดึกดื่น ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปนอน
เช้าวันรุ่งขึ้นกองทหารกองหนึ่งก็กำลังเดินทัพออกจากเมืองชัยชนะมุ่งหน้าไปยังทิศทางของอาณาจักรนภาล่อง
ทัพนี้ย่อมเป็น กองกำลังมังกรเหิน!
ตอนนี้ในเมื่อเมืองชัยชนะล้วนถูกตีแตกแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของกองทหารประจำชายแดนที่จะจัดการเรื่องราว
ส่วนพวกเขาในฐานะที่เป็นกองกำลังสนับสนุนก็กล่าวได้ว่า พวกเขาได้ทำหน้าที่ลุล่วงแล้ว ถึงเวลาที่พวกเขาต้องเดินทางกลับเมืองหลวงเสียที!
กองกำลังมังกรเหินนั้นทั้งหมดล้วนเป็นทหารม้า และมีจำนวนเพียงแค่ 10,000 คนเท่านั้น ทำให้การเคลื่อนทัพเป็นไปด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็เคลื่อนทัพผ่านหุบเขากางเขนใต้ไป และมุ่งหน้าสู่เมืองรุ่งโรจน์ อันเป็นเมืองประจำชายแดนของอาณาจักรนภาล่อง
ยามนี้ประชาชนของเมืองรุ่งโรจน์ล้วนมาออกันที่ประตูทางเข้าเมืองทิศเหนือ และมองไปยังกองกำลังมังกรเหินที่กำลังเคลื่อนพลมาจากที่ไกลๆอย่างตื่นเต้น
นี่เพราะว่ามีม้าเร็วอันเป็นหน่วยสอดแนมของกองทหารประจำเมืองรุ่งโรจน์ได้นำข่าวการรบที่เมืองชัยชนะมากล่าวรายงานตั้งแต่ยามค่ำคืนของเมื่อวาน และแน่นอนว่าข่าวนี้ย่อมกระจายไปได้รวดเร็วกว่าไฟลามทุ่งเสียอีก ประชาชนทั้งหมดของเมืองรุ่งโรจน์ตื่นเต้นกันจนแทบไม่ได้นอน
"กองกำลังมังกรเหินอันยิ่งใหญ่ได้สำแดงเดชอีกครั้ง พวกเข้านับเป็นกองกำลังไร้ผู้ต้านอย่างแท้จริง!"
"ที่กองกำลังมังกรเหินสามารถแสดงความแข็งแกร่งและจู่โจมได้อย่างเต็มกำลังครานี้ ล้วนต้องขอบคุณกุนซือหนุ่มอัจฉริยะนามต้วนหลิงเทียน ที่ทำให้พวกเขาสามารถปลดปล่อยความสามารถได้อย่างเต็มที่!"
"นี่ช่างน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง … ชายหนุ่มวัยเยาว์อายุเพียง 18 ปี กลับสามารถดำเนินแผนการวางกลยุทธ์เลิศล้ำ ควบคุมสั่งการณ์กองทัพนับ 100,000 ให้เข้ายึดเมืองชัยชนะได้โดยไร้การสูญเสีย!”
“นับตั้งแต่วันนี้ไป ข้าว่านาม ต้วนหลิงเทียนนี้ จะต้องเป็นที่ร่ำลือไปทั่วอาณาจักรนภาล่องของเรา และนามของเขาจะต้องถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์”
"ข้าอดนึกถึงบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีขึ้นมาไม่ได้ ตัวบัดซบนี่ไม่อาจเปรียบเทียบกับต้วนหลิงเทียนได้แม้แต่น้อย ยามนั้นมันควบคุมกองทัพกว่า 110,000 คน ภายใต้กลยุทธ์และแผนการของมัน ไม่เพียงแต่ไม่อาจทะลวงฝ่าปราการป้องกันและประชิดเมืองชัยชนะได้สำเร็จ กระทั่งชีวิตพี่น้องทหารยังต้องตกตายไปอย่างไร้ค่ากว่า 10,000 ชีวิต"
"ตัวบัดซบกู้เชวียนน่ะรึ หึ! ชีวิตมันยังไร้ค่ากว้าขนหน้าแข้งเพียง 1 เส้นของต้วนหลิงเทียนเสียอีก บุตรชายอัครมหาเสนาบดีแล้วจะอย่างไร? มันเป็นตัวอัปยศที่ทำให้อาณาจักรนภาล่องของพวกเราขายขี้หน้าอย่างแท้จริง! "
…
ชาวเมืองรุ่งโรจน์นั้นล้วนจดจำนาม ต้วนหลิงเทียน และ กู้เชวียน ได้เป็นอย่างดี และคงไม่มีวันลืม
นามแรกนั้นทำให้พวกเขาบังเกิดความเคารพเทิดทูนหมดใจ ส่วนนามที่ 2 นั้น…มันน่ารังเกียจหยามหยันและน่าเอาอุจาระไปปาใส่นัก!
กองกำลังมังกรเหินนั้นเดินทัพมาอย่างเป็นระเบียบและพร้อมเพรียง ขบวนทัพของพวกเขานั้นแข็งแกร่งดุดัน และเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างว่องไวสมชื่อมังกรเหิน ทั้งยามนี้สภาวะทัพยังเต็มไปด้วยความฮึกเหิม กล่าวได้ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ก็ไม่ผิด! พวกเขาไม่ได้หยุดพักในเมืองแต่อย่างใด เพียงควบขี่ตัดผ่านเมืองไปอย่างว่องไว ทิ้งเพียงความเข้มแข็งอันน่าประทับใจสลักไว้ในสายตาของชาวเมืองรุ่งโรจน์
ที่ด้านหน้าของกองกำลังมังกรเหิน 10,000 นายนั้น เป็นต้วนหลิงเทียนและนี่เฝินที่ควบขี่อาชานำมาเคียงข้างกัน แน่นอนว่าชายชราที่สงวนวาจา คนนั้นก็ควบขี่อาชาตามติดนี่เฝินมาด้านหลังเช่นกัน…
….
คืนวันผันผ่านไป…ในที่สุด
"พวกเรากลับมาถึงแล้ว!"
"พวกเรากลับมายามนี้ ข้าอยากรู้นักว่าองค์ราชาจะประทานรางวัลอันใดให้แก่พวกเรา"
"ของรางวัลสำหรับพวกเราน่าจะเหมือนๆกัน …แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือ องค์ราชาจะประทานสิ่งใดให้แก่ต้วนหลิงเทียนมากกว่า"
…
นักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลล้วนจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน
อาจกล่าวได้ว่าหัวใจสำคัญของความสำเร็จครั้งนี้คือต้วนหลิงเทียน หากไม่มีเขาแล้วล่ะก็เกรงว่าต่อให้หลับยังคงไม่อาจฝันถึง เรื่องที่จะสามารถตีหักชิงเมืองชัยชนะได้อย่างง่ายดายไร้การสูญเสียเช่นนี้… กล่าวได้ว่าหากไร้ต้วนหลิงเทียนแล้วเกียรติยศครั้งนี้ อาณาจักรนภาล่องคงไม่มีวันได้รับ แน่นอนว่ารางวัลที่องค์ราชาจะประทานให้ต้วนหลิงเทียนนั้น ย่อมต้องมีคุณค่ามหาศาลแน่นอน และเป็นสิ่งที่พวกมันอยากรู้นัก ว่าจะเป็นอะไร!
เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินที่ควบขี่อาชามาเคียงคู่กัน ใบหน้าของพวกมันนั้น ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มจากใจ การเดินทางครานี้นับว่าทำให้เลือดเนื้อของพวกมันเดือดพล่าน และได้ต่อสู้ตามใจปรารถนาอย่างองอาจท่ามกลางสนามรบอย่างแท้จริง!
"เกรงว่าสหายเทียนหูคงต้องอิจฉาพวกเราจนตายแล้ว มิแคล้วต้องโดนมันงอแงใส่จนหูฉีกแน่"
"ฮ่าๆ นั่นย่อมไม่ผิดแน่"
ทั้งสองคนต่างแย้มยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน
หลังจากผ่านการเดินทางมากว่า 2 เดือนในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงเมืองหลวงเสียที
"เทียนน้อย คนของสถาบันบ่มเพาะขุนพลนั้น เจ้าเป็นผู้นำพวกมันกลับไปแล้วกัน ส่วนข้าจะนำกองกำลังมังกรเหิน กลับไปที่ค่ายพัก แล้วก็คงเข้าวังหลวงไปพร้อมกับท่านพ่อ เพื่อเข้าเฝ้าองค์ราชารายงานผลการศึกครั้งนี้ " นี่เฝินกล่าวกับต้วนหลิงเทียน นอกประตูทางเข้าเมืองหลวง
เพราะว่าที่ตั้งค่ายของกองกำลังมังกรเหินนั้นอยู่นอกเมืองหลวงนั่นเอง
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ
"เอาล่ะ นักศึกษาสถาบันบ่มเพาะขุนพล พวกเจ้าติดตามต้วนหลิงเทียนกลับสถาบันบ่มเพาะขุนพลไป!" นี่เฝินกล่าวสั่งเสียงดังก้อง
หลังจากสิ้นคำ ต้วนหลิงเทียนก็ควบขี่อาชานำนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลกลับเข้าเมืองหลวงทันที ขบวนทัพแลดูองอาจเข้มแข็งและยิ่งใหญ่ไม่น้อย
ในตอนที่พวกเขาออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลไปนั้น มีนักศึกษาทั้งสิ้น 312 ชีวิต แต่ยามกลับมานั้นมีเพียง 311 ชีวิตเท่านั้น
แน่นอนว่าคนที่หายตัวไปนั้นย่อมไม่พ้น กู้เชวียน บุตรชายคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีแห่งอาณาจักรนภาล่อง กู้โหย่วถิง ที่เดินทางออกจากเมืองรุ่งโรจน์กลับเมืองหลวงเพียงลำพังเมื่อ 2 เดือนก่อน
ด้วยการที่ต้วนหลิงเทียนนำหน้า ขบวนนักศึกษากลับมายังสถาบันบ่มเพาะขุนพล ทำให้นักศึกษาทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจและสงสัยไม่น้อย
"เหตุใดพวกเขาจึงกลับมารวดเร็วนักเล่า?"
"นั่นน่ะสิ จากที่นี่ไปยังเมืองรุ่งโรจน์ แม้ว่าพวกเขาจะควบขี่อาชาตลอดการเดินทาง อย่างน้อยๆ พวกเขาสมควรใช้เวลาไปกลับถึง 4 เดือน…แต่นี่ยังมิทันถึง 5 เดือนดีแต่พวกเขากลับมาแล้วเช่นนี้? นั่นหมายความว่าพวกเขานั้นอยู่ที่เมืองรุ่งโรจน์ไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ "
"อะไร หรือกองทัพแดนใต้ของอาณาจักรหนานหมันจะใช้การไม่ได้ถึงเพียงนี้?"
…
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเที่ยงย่างบ่าย ทำให้เหล่านักศึกษาหลายคนล้วนเริ่มว่างและมานั่งจับกลุ่มคุยกัน ทั้งหมดต่างสนทนาถึงเรื่องการรบอย่างสนุกสนาน
หลังจากที่กลับมาถึงกลุ่มนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่ควบม้าตามต้วนหลิงเทียนมา ก็แยกย้ายไปหาสหาย เพื่อแบ่งปันเรื่องราวการรบ ไม่นานทั้งหมดก็ได้รับรู้สถานการณ์คร่าวๆ
กองทัพของอาณาจักรนภาล่อง ได้ยึดเมืองชัยชนะของอาณาจักรหนานหมัน โดยไม่สูญเสียทหารแม้แต่คนเดียว
เรื่องนี้ทำให้นักศึกษาที่ไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์รบที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือล้วนสมองอื้ออึงราวกับถูกอัสนีบาตฟาดผ่าลงมา พวกมันแม้แต่นอนยังไม่เคยฝันถึง ว่าจะมีเรื่องราวอภินิหารเช่นนี้
และเมื่อพวกมันทั้งหมด ล้วนรับรู้ว่า ทั้งหมดเป็นเพราะกลยุทธ์ของต้วนหลิงเทียน ทำให้พวกมันตกตะลึง หันไปจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเคารพบูชาทันที
และนี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อนัก ที่จะมีนักศึกษาชั้นปีสูงๆมองนักศึกษาชั้นปีแรกด้วยสายตาเคารพถึงขนาดนี้
ต้วนหลิงเทียนที่เป็นจุดสนใจของคนทั้งหมด ได้กล่าวลาเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวิน ก่อนที่จะแอบกลับบ้าน หลังจากที่เห็นว่ายามนี้นักศึกษาในสถาบันบ่มเพาะขุนพลคนสุดท้ายได้เข้ามาถึงสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว เป็นอันว่าหน้าที่ของเขาก็จบสิ้นลงแล้ว
เมื่อกลับมาถึงหน้าประตูบ้าน ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะเคาะประตูหน้าเบาๆ
‘ข้ากลับถึงบ้านแล้ว!’
ไม่นานฉงเฉวียนก็รุดมาเปิดประตู ต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าบ้านไปอย่างคิดถึง
"นายน้อย!"
"นายน้อย!"
…
เมื่อเดินมาถึงลานบ้านด้านหน้า ชิ่งหรูและสตรีรับใช้อีก 2 คนก็เดินออกมาทำความเคารพต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับพวกนาง ก่อนที่จะรีบเดินไปยังลานบ้านด้านหลังด้วยใจที่โหยหา
ภายในลานบ้านด้านหลังนั้น สตรีทั้ง 2 กำลังนั่งสนทนากับลี่หลัว และด้วยตำแหน่งของพวกนางนั้นทำให้ไม่เห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามา
"ลูกเทียน" มีเพียงลี่หลัวเท่านั้นที่สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียน และเมื่อนางเอ่ยเรียกชื่อออกมา สตรีทั้ง 2 คนพลันชะงักไปราวกับได้ยินเสียงฟ้าร้อง
"ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!" สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
อีกไม่กี่วันก็จะครบ 5 เดือนแล้ว ที่เขาเดินทางจากไป
"เจ้ากลับมาแล้ว! ช่างดีนัก! ช่างดียิ่งนัก!" ใบหน้าของลี่หลัวเองก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา นางระบายลมหายใจออกมาลึกยาว ต่อไปนี้นางโล่งอกได้เสียที
"นายน้อย!"
"ตัวเลวร้าย!"
สาวน้อยทั้งสองราวกับเปลี่ยนร่างเป็นลมพายุหอบใหญ่ พวกนางพุ่งมาด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะโยนร่างบอบบางเข้าหาอ้อมกอดชายหนุ่มที่พวกนางคิดคำนึงถึงทุกเวลา …โหยหาหนักหนาแล้ว
ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดถึงพวกนาง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เขารีบโอบกอดพวกนางเอาไว้ทั้งซ้ายขวาอย่างอบอุ่น
"ข้ากลับมาแล้ว" ต้วนหลิงเทียนโอบกอดสาวน้อยทั้งสองไว้ในอ้อมแขน ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจและสุขใจฉายชัดออกมาที่หว่างคิ้วของเขา
และทันใดนั้นเอง มีประกายแสงสายฟ้า สีขาว และดำ แลบลั่นวูบขึ้นมา ก่อนที่จะปรากฏร่างบนแขนของต้วนหลิงเทียน และทำการโยกหัวน้อยๆทักทายต้วนหลิงเทียน ราวกับพวกมันกำลังต้อนรับการกลับมาของเขา
"ฮ่าๆ! เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ พวกเจ้าคิดถึงข้าด้วยหรือ" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ ก่อนที่จะเล่นกับอสรพิษน้อยทั้ง 2 ตัว
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนโยนเรื่องราวหนักหัวทุกอย่างทิ้งเอาไว้ด้านหลัง และใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายเล่นกับอสรพิษน้อย และกล่าวสนทนากับมารดาและสาวน้อยทั้ง 2…
เมื่อค่ำคืนมาเยือน แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมโอบกอดสตรีทั้ง 2 อยู่บนเตียงด้วยความรักและความโหยหา เขาระดมจูบพรมไปบนร่างของพวกนางทุกส่วนสัด ลูบไล้บีบคลึงไปทั่วร่างของพวกนางด้วยความคิดถึง กลิ่นหอมจากร่างพวกนางที่เขาโหยหานานนับ 5 เดือน อดไม่ได้ที่จะสูดดมพวกมันอย่างสุขใจ ก่อนที่จะทำการร่วมรักกับพวกนางทุกท่วงท่าที่เขารู้ จนพวกนางขึ้นสวรรค์ไปนับครั้งไม่ถ้วน…
ศึกรักดุเดือดร้อนเร่าบนเตียงล่วงเลยไปจนดึกดื่นค่อนคืน… ในที่สุด สาวน้อยทั้ง 2 คนเองก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงหลับใหลคาอ้อมอกของต้วนหลิงเทียนไป ตัวเขาเองก็กอดสตรีสองคนไว้ในอ้อมอกก่อนที่จะหลับตานอนไปอย่างเป็นสุข
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็หลับใหลไปอย่างมีความสุข โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า ยังมีอีกหลายคนที่ยากจะหลับตาลงได้ในค่ำคืนนี้
ในช่วงบ่ายนั้นหลังจากที่พระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ย และลูกชายของเขา นี่เฝิน ได้เข้าวังหลวงไปรายงานเรื่องผลการศึก บริเวณชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือนั้นนับว่าสร้างความตื่นเต้นต่อองค์ราชายิ่งนัก และในที่สุดข่าวที่น่ายินดีอย่างหาที่สุดไม่ได้นี้ ก็ถูกประกาศไปทั่วทั้งเมืองหลวง
กองทัพของอาณาจักรนภาล่อง ได้ถล่มทัพทหารแดนใต้แห่งอาณาจักรหนานหมันจนย่อยยับ ด้วยการบุกโจมตีเพียงครั้งเดียว และใช้เวลาเพียงครึ่งวัน!
และยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ทำผลงานได้เลิศล้ำและยอดเยี่ยมที่สุด หาใช่ผู้บัญชาการนี่เฝินแห่งกองกำลังมังกรเหิน ยิ่งไม่ใช่แม่ทัพเหอเหว่ยอัน รวมถึงทหารคนใดของกองทัพประจำชายแดน
แต่มันคือ ต้วนหลิงเทียน!
ยามนี้นามต้วนหลิงเทียนกวาดผ่านระบือไปทุกหย่อมหญ้า ทั่วทั้งเมืองหลวงนามนี้เป็นนามที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งที่สุดในบทสนทนา ตามเหลาอาหารและโรงเตี๊ยมทั้งหลายต่างกล่าววาจาเรื่องนี้กันไม่หยุด
"ข้าไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้จะหาได้เป็นเพียงอัจฉริยะไร้ผู้ต้านในเชิงยุทธ์ ที่มีศักยภาพท้าทายสวรรค์เพียงอย่างเดียว! กระทั่งในด้านภูมิปัญญาความคิดอ่านและการวางกลยุทธ์ยังเลิศล้ำนัก … เขาสามารถวางกลยุทธ์และแผนการอันเลิศล้ำไร้พ่ายเช่นนี้ออกมาได้!”
“กล่าวได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะในทุกด้านจริงๆ! นี่นับเป็นความโชคดีของอาณาจักรนภาล่องเราที่มีตัวตนอย่าง ต้วนหลิงเทียนถือกำเนิดขึ้น!”
"แน่นอนว่ายามนี้ต้วนหลิงเทียนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะอันโดดเด่นเหนือผู้ใด แต่พวกเจ้าก็อย่าได้ลืมว่ามีอีกบุคคลที่ยากจะลืมได้ และมันมีนามว่ากู้เชวียน นับว่ามันเองก็โดดเด่น ไม่แพ้กัน แต่ตัวอุบาทว์นี่กลับโดดเด่นในด้านบัดซบนัก!'"
"ใช่ มันช่างอุบาทว์และน่าทึ่งได้อย่างบัดซบนัก ควบคุมทหาร 110,000 คน กล่าวได้ว่ามากกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก แต่มันไม่อาจนำพาทหารไปสัมผัสกำแพงเมืองอีกฝ่ายได้เสียด้วยซ้ำ และยังต้องตกตายไปอย่างไร้ค่ากว่า 10,000 ชีวิต … ที่บัดซบที่สุดคือ มันทำทหารฝั่งเราตกตายไปขนาดนั้นกลับมีปัญญาเข่นฆ่าศัตรูได้ไม่ถึง 1,000 คนนรก!"
"บุตรชายของอัครมหาเสนาบดีงั้นเรอะ? เพ้ย!"
…
ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงชั้นนอก หรือเมืองหลวงชั้นใน ตามสถานที่ต่างๆ ก็ล้วนเต็มไปด้วยบทสนทนาลักษณะนี้ บทสนทนาทั้งหมดล้วนกล่าวสรรเสริญเยินยอต้วนหลิงเทียน ส่วนทางด้านกู้เชวียนกลับโดนด่าทอ รุมประณามราวกับไม่ใช่คน!
ด้วยเหตุนี้ความต่างกันของทั้ง 2 คนเห็นได้ชัดเจนอย่างมาก
ภายในจวนอัครเสนาบดีกลับเงียบเชียบผิดจากในตัวเมืองมากนัก มันเงียบเสียจนราวกับนึกว่าคนที่อยู่อาศัยตกตายไปหมดสิ้นแล้ว
ภายในหองโถงกว้าง มีชายวัยกลางคนแต่งตัวด้วยชุดราวกับนักปราชญ์ยืนอยู่อย่างสง่างาม
"ท่านอัครมหาเสนบดี!" ไมนานชายชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่วงท่าสง่างามเจือความรีบเร่งเล็กน้อย
แววตาของชายชราคนนี้นับว่าส่องประกายคล้ายหมู่ดาว ท่วงท่าย่างก้าวอย่างมั่นคง เห็นได้ชัดว่าระดับบ่มเพาะคงสูงส่งไม่น้อย
"เรื่องราวเป็นเช่นไรบ้าง?" ชายวัยกลางคนกล่าวถามออกมาด้วยเสียงต่ำ แม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่ได้ออกอาการสักเท่าไร แต่เห็นได้ชัดว่าในแววตาของเขาแฝงความเป็นห่วงและกระวนกระวายเอาไว้ไม่น้อย
"เรียนท่านอัครมหาเสนาบดี ตัวข้าได้ไปถามข่าวมาจากพวกมัน… พวกมันล้วนกล่าวว่านายน้อยได้ออกเดินทางจากเมืองรุ่งโรจน์เพื่อกลับมายังเมืองหลวงด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่ 2 เดือนก่อน!" ชายชราค่อยๆกล่าววาจาออกมาอย่างช้าๆ
"อะไรนะ?!" ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งขรึม ม่านตาของเขาหดแคบลง "มันเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น?"
"เรียนท่านอัครมหาเสนาบดี ทหารกว่า 90,000 คนได้ทำการปิดล้อมและกล่าวตะโกนให้แม่ทัพเหอเหว่ยอันสังหารนายน้อย … ต่อมาเพื่อความปลอดภัยของนายน้อย แม่ทัพเหอเหว่ยอันจึงให้นายน้อยเดินทางกลับมาก่อน" ชายชรากล่าว
"ลูกเชวียน… เหตุใดเจ้าถึงปลีกตัวไปอยู่คนเดียวเช่นนี้?" ม่านตาของชายวัยกลางคนหดแคบลง ยามนี้แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเสียใจและหดหู่ …
ในฐานะอัครมหาเสนาบดีของอาณาจักรนภาล่อง แน่นอนว่ากู้โหย่วถิงผู้นี้ย่อมมีความคิดอ่านไม่น้อย กล่าวได้ง่ายๆว่าคนธรรมดาโดยทั่วไปไม่อาจเทียบชั้นกับมันได้ในแง่ของปัญญา
มันฟังดูก็รู้ว่าบุตรชายของมันถูกสังหาร!
อย่างไรก็ตามตัวมันทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืนความเจ็บปวดครั้งนี้เอาไว้ เพราะเรื่องนี้ไม่อาจไปเอาเรื่องราว ไถ่ถามหาความผิดได้จากกองทหารประจำชายแดนได้อีกต่อไป …
"แล้วข่าวที่เล่าลือกันตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" กู้โหย่วถิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาของเขาทอประกายเต็มไปด้วยปัญญา เขาพยายามเก็บความเศร้าโศกเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
ชายชราลังเลใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามของกู้โหย่วถิง
"เจ้ากล่าวมาเถอะ อย่าได้กังวล!" กู้โหย่วถิงจ้องมองชายชราด้วยสายตาเรืองวูบราวกับแสงอัสนี ชายชราไม่อาจต้านทานแววตาเช่นนี้ได้
"ขอรับ" ชายชราพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะกล่าววาจาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด รวมทั้งบทสนทนาที่อื้ออึงภายในเมืองหลวงออกไปแก่กู้โหยวถิง
หลังจากที่ชายชรากล่าวจบ มุมปากของกู้โหย่วถิงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น
"ต้วนหลิงเทียนผู้นี้นับว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างแท้จริง" กู้โหย่วถิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ประกายตาของเขาเรืองวูบออกมา เต็มไปด้วยจิตสังหาร "แต่จะอย่างไรก็ตาม จากที่ข้ารู้มา ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ มันมีเรื่องราวความขัดแย้งกับลูกเชวียนของข้านานแล้วใช่หรือไม่?"