สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 209 : ความสิ้นหวังของกู้เชวียน!!
บทที่ 209 : ความสิ้นหวังของกู้เชวียน!!
"ข้าเองก็เชื่อว่า พี่น้องทหารหาญทุกท่านคงไม่มีผู้ใดที่หวังให้ท่านแม่ทัพเหอต้องพบกับความยากลำบากใช่หรือไม่?"ต้วนหลิงเทียนกวาดสายตามองทหารรอบๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา
ทันใดนั้นทหารทั้งหมดก็เงียบกริบ ทุกคนล้วนอยู่ในความสงบไม่ส่งเสียงเอะอะอันใดออกมาอีก
"เอาล่ะ ในเมื่อพี่น้องทุกท่านเข้าใจแล้ว ตัวข้าต้วนหลิงเทียนจะขอให้คำมั่นด้วยเกียรติของข้า แก่พี่น้องทหารทุกท่าน … 3 วันหลังจากนี้ พวกเราจะทำลายแนวป้องกันของเมืองชัยชนะ และทะลวงแนวรับของข้าศึกเข้าไปเข่นฆ่าสังหารพวกมันให้หมดสิ้น เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณแก่พี่น้องทหารนับ 10,000 คนที่จากไปอย่างไม่ยินยอม!" ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าววาจาต่อออกมา เสียงของเขาครั้งนี้ดังกังวานไปทั่วค่ายทหาร ท่วงท่าองอาจของเขายืนหยัดราวกับจะเหยียบย่ำชั้นฟ้า
วาจาที่กล่าวคำมั่นครานี้ของต้วนหลิงเทียน ทำให้ประกายตาของทหารนับ 90,000 คนเรืองวูบขึ้นมา
ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดไม่มีใครกล้าดูเบาหรือคิดแคลงใจต่อชายหนุ่มวัยเยาว์ผู้นี้อีกแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ถึงกับมองเห็นช่องโหว่และจุดบอดของกลยุทธ์กู้เชวียน ซ้ำยังล่วงรู้ถึงกลศึกกองทัพศัตรูว่าคิดเดินหมากเช่นไร … ซ้ำยังมีพยานยืนยันความถูกต้องแม่นยำ ในสายตาและปัญญาอันเฉียบคมของเขา อย่างผู้บัญชาการนี่เฝินอีก!
“ข้าหวังว่าพี่น้องทหารทุกท่านจะกลับไปฟื้นฟูพละกำลังและความเข้มแข็ง แปรเปลี่ยนความแค้นให้เป็นพลังให้พร้อม เพราะอีก 3 วันหลังจากนี้พวกเราจะเดินทัพไปทำลายเมืองชัยชนะให้ย่อยยับ ล้างความอัปยศของพวกเรา!” น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาดังกึกก้อง และมันกังวานอยู่ในหูของทหารทุกคนโดยรอบ
ฟึ่บ!ฟึ่บ!ฟึ่บ!ฟึ่บ!ฟึ่บ!ฟึ่บ!ฟึ่บ!
…
ทันใดนั้นทหารกว่า 90,000 คนล้วนลุกขึ้นยืนทีละคนๆ จนครบถ้วน
"ล้างความอัปยศของพวกเรา!"
"ล้างความอัปยศของพวกเรา!"
…
ภายใต้เสียงคำรามของทหารกว่า 90,000 คนมันดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งเมือง ไม่นานทั้งหมดก็ล้วนแยกย้ายกลับไปเตรียมความพร้อม
ตอนนี้คนที่ยังเหลืออยู่รอบๆกระโจม หามีแม้แต่คนเดียวที่คิดดูแคลนชายหนุ่มวัยเยาว์สวมชุดสีม่วงท่าทางองอาจราวเทพสวรรค์ผู้นี้อีกต่อไป …
"หากเขายังอยู่ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาคงยิ่งใหญ่เทียบเท่าท่านเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ได้ไม่ยาก … ไม่สิ แม้กระทั่งก้าวข้ามความยิ่งใหญ่ของท่านเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!" หลังจากที่ได้เห็นว่าทหารประจำชายแดนทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาเชื่อฟังวาจาของต้วนหลิงเทียน แม่ทัพอย่างเหอเหว่ยอันอดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชม ประกายตาของเขาส่องสว่างออกมา
ชายหนุ่มคนนี้ได้รับความเคารพนับถือจากเขาอย่างแท้จริง!
คิ้วของนี่เฝินขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะส่ายหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขากล่าววาจาพึมพำกับตัวเองว่า "เจ้าเด็กคนนี้นี่ … แย่งความเด่นจากข้าไปเสียหมดสิ้นแล้ว"
"แม่ทัพเหอ ยามนี้ท่านควรส่งตัวไร้ประโยชน์ไปให้ไกล… มิฉะนั้นข้าคงไม่มีอารมณ์กล่าวบอกกลยุทธการรบอะไรออกมา"สายตาของต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังเหอเหว่ยอัน ก่อนที่จะกล่าวบอกความต้องการของเขาออกมา
"เรื่องนี้น้องชายต้วนหลิงเทียนอย่าได้กังวล" เหอเหว่ยอันพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะเดินกลับเข้ากระโจมใหญ่ไป "นายน้อยกู้ ข้าจะทำการเตรียมม้าให้ทันที เจ้ารีบกลับไปเสีย"
"แล้วทำไมเจ้าไม่รีบออกไปเตรียมมันซะเดี๋ยวนี้เลยล่ะ?" กู้เชวียนหันมาจ้องมองอย่างเอาเรื่อง ตัวเขาเองก็ไม่คิดอยู่สถานที่นี้อีกต่อไป
เขาต้องการกลับไปยังเมืองเหลืองและใช้ชีวิตในฐานะนายน้อยให้สบายอารมณ์
"ต้วนหลิงเทียน เจ้านี่ก็จริงๆเลยนะ" เซี่ยวฉวินจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ "เจ้าได้เห็นสีหน้าท่าทางของแม่ทัพเหอเหว่ยอัน และกุนซือกองทัพทั้ง 2 คนหรือไม่… นับว่าครานี้พวกมันชื่นชมเจ้าอย่างถึงขีดสุดแล้ว แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกกล่าวพวกเราก่อนหน้านี้บ้างเล่า ว่าได้กล่าวชี้แนะกลยุทธ์อะไรนั่น กับผู้บัญชาการนี่เฝินเอาไว้แล้ว "
"อะไร ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าก็ได้รู้แล้วหรือไง?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพร้อมหัวเราะ
เซี่ยวหยูจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างไร้คำจะกล่าวอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายเขาก็กล่าวคำได้ออกมาเพียงคำเดียวเท่านั้น "ผิดปกติ!"
ไม่นานกู้เชวียนก็มาปรากฏตัวต่อหน้าต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้ามันอย่างไร้อารมณ์
"ฮึ่ม!" ต้วนหลิงเทียนเหลือบตามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะแค่นเสียงสบถเย็นชาออกมา "ต้วนหลิงเทียน อย่าได้คิดว่าข้าจะขอบคุณเจ้า… นอกจากนี้เจ้าควรส่องกระจกดูสารรูปตัวเองเสียบ้าง เป็นแค่นักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือชั้นปีที่ 1 เจ้าคิดจริงๆหรือว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าจักมีปัญญาคิดกลยุทธ์ชิงเมืองชัยชนะมาได้? "
ต้วนหลิงเทียนนั้นหาได้แยแสและคร้านจะกล่าวคำกับตัวไร้ค่าอย่างกู้เชวียน กลับเป็นเซี่ยวฉวินที่ยืนอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวกล่าวเย้ยหยันออกมา "อย่างน้อยมันก็ดีกว่ากลยุทธ์โง่เขลาเบาปัญญาของตัวไร้ค่าเช่นเจ้า ที่นำพาพี่น้องกว่า 10,000 ชีวิตไปตายเปล่า ข้าอยากรู้นักหากเรื่องนี้ถูกรายงานไปยังองค์ราชาแล้วผลจักเป็นอย่างไร …ถึงแม้ตอนนั้นจะมีอำนาจของบิดาอันเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีคุ้มกะลาหัวจนรอดโทษตาย แต่โทษทัณฑ์ก็คงมีไม่น้อยใช่หรือไม่? "
"เจ้า!" กู้เชวียนโกรธแค้นเวี่ยวฉวิน จนใบหน้าดำคล้ำ
"นายน้อยกู้ เจ้าควรจากไปเดี๋ยวนี้ … " มันใดนั้นน้ำเสียงเย็นชาไม่แยแสของเห่อเหว่ยอันก็ดังขึ้น
กู้เชวียนมองเซี่ยวฉวินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะ ก่อนที่จะเหลือบตาไปมาต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอำมหิต แล้วมันก็จากไป
"ไม่คิดว่ามันจะรอดกลับไปเช่นนี้!" สีหน้าของเซี่ยวฉวินเองก็มิดลงอย่างไม่ยินยอมสักเท่าไร
"เรื่องนั้นอันที่จริง ก็ยังไม่แน่นัก" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆอย่างลี้ลับ ทีท่าของเขาบอกว่าเรื่องมันหาได้ง่ายดายเช่นนั้น
ไม่นานต้วนหลิงเทียนและนี่เฝินก็เดินพิงไหล่กันเข้าไปในกระโจมใหญ่
เหอเหว่ยอันและกุนซือกองทัพทั้ง 2 คนก็เดินตามเข้ามาด้วย
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนั้นอยู่กลางกระโจมใหญ่ถูกห้อมล้อมไปด้วยคนทั้งหมด ราวกับจันทราส่องประกายที่ห้อมล้อมไปด้วยดวงดารา
"น้องชายต้วนหลิงเทียน ตัวข้าต้องขออภัยในทุกเรื่องก่อนหน้านี้ที่ทำผิดต่อเจ้า " เหอเหว่ยอันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาสำนึกเสียใจจากหัวใจ
"แม่ทัพเหอ ข้าบอกท่านแล้วว่าเรื่องนี้อย่าได้ใส่ใจ ที่ท่านมีอคติต่อข้าในยามแรกเป็นเพราะถูกเสี้ยมจากตัวโง่งมนั่น…อีกทั้งอายุของข้าก็ยังน้อยนิดเช่นนี้ ก็ไม่แปลกอะไรที่จะไม่มีใครเชื่อถือ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวคำออกมาพร้อมสายหน้า ท่าทางของเขาราวกับว่า เรื่องเพียงเท่านี้อย่าได้กล่าวถึงแล้ว
"น้องชายต้วนหลิงเทียน กลับสามารถปล่อยวางและมีความคิดเช่นนี้ได้ตั้งแต่เยาว์วัย ซ้ำด้วยพรสวรรค์เลิศล้ำเช่นนี้ เกรงว่าอนาคตของน้องชายต้วนหลิงเทียนจะไร้สิ้นสุดแล้ว" เหอเหว่ยอันกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม
"ท่านแม่ทัพอย่าได้เกรงใจแล้ว … เอาล่ะมาว่าเรื่องสำคัญกันก่อน" สายตาของต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังกระดานจำลองทัพและภูมิประเทศของพื้นที่เมืองชัยชนะทันที
ทันใดนั้นประกายตาของต้วนหลิงเทียนก็เรืองวูบขึ้นมา ก่อนที่จะทำการเดินตัวหมากในรูปแบบต่างรวมถึงชี้จุดสำคัญต่างๆ ในแบบจำลอง เขาค่อยๆกล่าววาจาออกมาราวกับสายน้ำไหล ด้วยท่วงท่าองอาจสง่างามเต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญา!
กลยุทธ์เลิศล้ำอย่าง ชักฟื้นจากใต้กระทะ, ลอบตีฉางอัน ที่เป็นกลยุทธ์ที่อยู่ใน 36 กลยุทธ์ของซุนวู รวมทั้งกลยุทธ์ หยิบยืมเกาทัณฑ์ด้วยเรือบรรทุกหุ่นฟางจาก เรื่องราว 3 ก๊ก ที่ต้วนหลิงเทียนเคยอ่านผ่านตามาในโลกเก่า ครั้งยังอยู่ที่ประเทศหัว ถูกกล่าวออกมาอย่างลื่นไหล รวมทั้งปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเขาอย่างแยบยล
ไม่นานทุกคนก็ถูกสะกดไปด้วยกลยุทธ์และแผนการรบเลิศล้ำอัศจรรย์ราวเทพยาดารังสรรค์ของต้วนหลิงเทียน
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน
“เอาล่ะอย่างที่น้องชายต้วนหลิงเทียนกล่าวไป ตรงจุดนี้ หากเราใช้กลยุทธ์ หยิบยืมเกาทัณฑ์ โดยอาศัยร่องน้ำรอบตัวเมืองชัยชนะให้เป็นประโยชน์ ก็จะบังเกิดผลอย่างมาก… ด้วยลูกเกาทัณฑ์ของพวกเรามีมิมากนัก หากเราใช้มันในการจู่โจมแนวรับของพวกมันตั้งแต่แรกแน่นอนว่ามันย่อมไม่เหลือเพียงพอ ยามที่ต้องใช้ในสถานการณ์เข้าปะทะแตกหัก”
“แต่ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเราจะเปลี่ยนไป หากเราใช้วิธีนี้ลดทอนลูกเกาทัณฑ์ของฝ่ายมันมาเพิ่มพูนให้แก่ทางเรา ตามหลักศัตรูอ่อนแอเรากลับเข้มแข็งของน้องชายต้วนหลิงเทียน พวกเราก็จะสร้างความได้เปรียบขึ้นมาได้อย่างยิ่ง! แล้วพวกเราจักใช้ลูกเกาทัณฑ์ของพวกมัน สังหารพวกมันให้สิ้น!"
เหอเหว่ยอันเองก็คลุกคลีอยู่กับสนามรบมาเป็นเวลานานแน่นอนว่าเขาย่อมมีประสบการณ์ไม่น้อย ยามนี้ใจของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นนัก เขากล่าวได้เลยว่าด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวมา หากเขาสามารถปรับใช้ได้ตามสถานการณ์แล้วล่ะก็ พวกเขาสามารถทะลวงแนวรับของข้าศึกที่ป้องกันเมืองชัยชนะไว้ได้อย่างง่ายดาย!
แน่นอนว่ายามนี้กุนซือกองทัพที่ยืนอยู่ด้านข้างแม่ทัพเหอเหว่ยอันเองก็แสดงปฏิกิริยาตอบรับออกมาอย่างคึกคักอักโข พวกเขาหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเคารพเทิดทูน ก่อนที่จะประสานมือก้มหัวคารวะให้แก่ต้วนหลิงเทียน "น้องชายต้วนหลิงเทียนช่างอัจฉริยะภาพนัก!"
นี่เฝินเองก็หันไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง ความประทับใจของเขาเองก็หาได้ด้อยไปกว่ากุนซือทั้ง 2 และแม่ทัพเหอเหว่ยอันแม้แต่น้อย
แม้ว่าตัวเขาเองจะได้สัมผัสกลยุทธ์เลิศล้ำ ปิดฟ้าข้ามทะเล ที่ต้วนหลงเทียนคิดค้นขึ้นมาแล้ว แต่เขาก็ไม่คาดฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนยังสามารถคิดค้นกลยุทธ์อัศจรรย์ราวตาหมากของสวรรค์ออกมาได้อีกมากมายถึงเพียงนี้
นอกจากนี้ทั้ง 3 กลยุทธ์อัศจรรย์นั่นยังถูกต้วนหลิงเทียนเรียงร้อยผสมผสานกันได้อย่างลงตัว!
เซี่ยวหยู,เซี่ยวฉวิน รวมถึงนักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือของสถาบันบ่มเพาะขุนพล ยามนี้ได้แต่จ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาตกตะลึง อย่างยากจะเชื่อ …
ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่า จับต้วนหลิงเทียนมาผ่าศีรษะเปิดดูว่าในสมองของเขาซ่อนสิ่งใดเอาไว้อีกบ้าง!
แม้กระทั่งนึกศึกษาที่ติดตามกู้เชวียนมาทั้ง 2 คนที่ก่อนหน้านี้ที่ยังวางตัวเป็นปรปักษ์กับต้วนหลิงเทียน ก็ยังต้องจับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเคารพ
"เอาล่ะจะอย่างไรกลยุทธ์ที่ข้าวางเอาไว้ตอนนี้ก็เป็นเพียง เหตุการณ์คร่าวๆเท่านั้น…เมื่อพวกเราไปอยู่ที่สนามรบแล้ว ก็ยังต้องปรับใช้มันเพื่อให้ตอบรับสอดประสานกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม!" ต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยแปลกใจกับสายตาตกตะลึงของทุกคนสักเท่าไร
36 กลยุทธ์ของซุนวู นี้เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของประเทศหัวได้คิดค้นกันมาอย่างลึกซึ้ง หากปรับใช้พวกมันได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์แล้วล่ะก็ ย่อมไร้พ่ายในทุกสนามรบ!
"ข้าเชื่อมั่นว่า หากน้องชายต้วนหลิงเทียนเป็นกุนซือกองทัพคอยควบคุมสถานการณ์และออกคำสั่งกลยุทธ์ในสนามรบแล้วล่ะก็ พวกเราจักต้องได้ชัยชนะอย่างแน่นอน!" รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเหอเหว่ยอัน สายตาของเขาทอประกายวูบวาบด้วยความตื่นเต้นไม่น้อย เพราะในที่สุดเขาก็จะได้ชำระแค้นให้แก่พี่น้องทั้ง 10,000 คนได้เสียที!
"เอาล่ะ เช่นนี้หลังจาก 3 วันผ่านไป กองกำลังมังกรเหินของเข้าจะรับหน้าที่เป็นทัพอัศจรรย์จู่โจมรอบเร้น ส่วนกองทัพประจำชายแดนของแม่ทัพเหอจะรับผิดชอบการโจมแนวรบปะทะด้านหน้าโดยตรง" นี่เฝินพยักหน้าออกมาพร้อมกล่าววาจาที่ได้ตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว
หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันออกไปเตรียมตัว
อีก 3 วันพวกเขาจะทำการจู่โจมตีเมืองชัยชนะ ล้างความอัปยศของพวกเขา!
เมื่อกลับมาถึงกระโจมที่พัก เซี่ยวฉวินก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาประหลาด ก่อนจะกล่าวออกมา "ต้วนหลิงเทียน ในหัวเจ้านี่มันมีอันใดอยู่กันแน่? ชักฟืนใต้กระทะ ลอบตีอัศจรรย์ และ หยิบยืมลูกเกาทัณฑ์ด้วยเรือฟาง งั้นหรือ? กลยุทธ์เช่นนี้ข้ามิเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน เจ้าคิดค้นมันขึ้นมาได้เช่นไรกัน? แล้วยามที่ตัวบัดซบกู้เชวียนนั่นจากไป คำที่เจ้ากล่าวว่า เรื่องนี้ มันก็ยังไม่แน่นัก นั่นอีก มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ออกมา "เซี่ยวฉวินเจ้าถามข้ามามากมายเช่นนี้ ข้าจะไปตอบเจ้าไหวอย่างไรเล่า เอาเป็นว่าเจ้ารอดูไปเถิดเดี๋ยวถึงเวลาเจ้าก็รู้เอง ข้าขี้เกียจนั่งตอบคำถามยาวเป็นหางว่าวของเจ้าแล้ว”
เซี่ยวฉวินได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
เซี่ยวหยูนั้นราวนกรู้ ว่ายังไงต้วนหลิงเทียนก็ต้องกล่าวตอบมาเช่นนี้ มเขาจึงไม่กล่าวถามอะไรออกมาสักคำ
อย่างไรก็ตามสายตาที่เขาจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างลึกซึ้ง
การที่สามารถเป็นสหายกับต้วนหลิงเทียนได้ เรื่องนี้มันอาจเป็นเรื่องที่กล่าวได้ว่ามีคุณค่าและเกียรติสูงที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว …
บริเวณเส้นทางนอกเมืองรุ่งโรจน์ อันเปลี่ยวร้าง
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจกำลังควบขี่อาชาห้อตะบึงด้วยความเร่งรีบ แส้ในมือหวดฟาดไปที่ตะโพกอาชาไม่หยุดหย่อน เพื่อกระตุ้นให้มันวิ่งตะบึงไปอย่างไม่ลดละ
มันควบขี่ด้วยความเร็วเต็มที่อย่างไม่คิดผ่อนปรน
หลังจากที่วิ่งออกมาห่างไกลเมืองรุ่งโรจน์หลายสิบลี้ ชายหนุ่มก็สังเกตได้ว่าอยู่ดีๆ ความเร็วของอาชามันลดต่ำลงเรื่อยๆ และในที่สุดมันก็หยุดและล้มลง ทำให้ชายหนุ่มต้องกระโดดลงจากหลังของมันอย่างฉุกละหุก ซ้ำเมื่อมองไปก็สังเกตเห็นว่าอาชาตัวนี้นอนล้มลงไปทั้งน้ำลายฟูมปาก
เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันถูกพิษจนตกตาย!
สีหน้าชายหนุ่มค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นซีดลงเรื่อยๆ มันรับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลแล้ว
ทันใดนั้นเอง
"ย่ะ!"
"ย่ะ!"
…
อาชาตัวใหญ่ทรงพลังจำนวน 10 ตัว ควบมาห้อมล้อมมันเอาไว้เป็นวงกลมโดยพลัน
บนยอดอาชาทั้ง 10 มีร่างของชายวัยกลางคน 10 คนทีท่าองอาจดุดันในชุดลำลอง และตอนนี้พวกมันทั้งหมดกำลังมองมายังชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชาไม่แยแส ซ้ำร้ายประกายตาของพวกมันยังเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันกระหายเลือดเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
"พวกเจ้า…ข้าจำเจ้าได้ เจ้าเป็นแม่ทัพจากกองกำลังทหารประจำชายแดน …เจ้ากับเจ้าเองก็เป็นแม่ทัพเช่นกัน!" ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นตากับผู้มาใหม่ทั้ง 10 ไม่น้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็จดจำได้ว่าพวกมันเป็นใคร
คนเหล่านี้เมื่อวานยังรับฟังคำสั่งของเขาอย่างสุภาพในสนามรบ ตอนที่เขาออกคำสั่งดำเนินยุทธวิธีตีเมืองชัยชนะ! …
"นายน้อยกู้ เมื่อท่านลงนรกไปแล้ว อย่าได้ลืมฝากคำขอขมาต่อพญายมไปบอกกล่าวพี่น้องทั้ง 10,000 คนของพวกเราในสวรรค์" หนึ่งในแม่ทัพที่กู้เชวียนชี้ระบุตัวกล่าวออกมาพร้อมน้ำเสียงเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยความไม่แยแส ราวกับมันกำลังมองคนที่จะตกตาย
"พวกเจ้า…พวกเจ้ากล้ากระทำเช่นนี้ได้อย่างไร ตัวข้าเป็นบุตรชายของอัครมหาเสนาบดี พวกเจ้ายังกล้าแตะต้องข้ารึ?" ชายหนุ่มคนนี้แน่นอนว่าเป็นกู้เชวียนไม่ผิดแน่ เขาไม่คิดเลยว่าในขณะที่เดินทางออกจาเมืองรุ่งโรจน์จะต้องมาพานพบกับแม่ทัพของกองกำลังประจำชายแดนที่เต็มไปด้วยความต้องการสังหารเขาเช่นนี้ สีหน้าท่าทางของเขายามนี้บิดเบี้ยวอย่างถึงขีดสุด
"บุตรชายของอัครมหาเสนาบดีงั้นหรือ?" แม่ทัพคนอื่นๆหัวเราะเยาะออกมาทันที “หากเจ้าไม่ได้เป็นบุตรชายของอัครมหาเสนาบดี เจ้ายังคิดฝันอีกหรือว่าจักเดินออกจากค่ายทหารได้อย่างปลอดภัย? หากไม่ใช่เพราะพวกเรากังวลว่าท่านแม่ทัพเหอจะต้องรับผิดชอบต่อการตายของเจ้า เจ้าคิดว่าพวกเราจะทำเช่นไร เพื่อระบายความแค้นที่ต้องสูญเสียพี่น้องนับ 10,000คนเช่นนี้!” เมื่อแม่ทัพกล่าววาจาจบคำ ร่างของเขาก็สั่นระริกไปด้วยความแค้น
"เจ้า … เจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้… เจ้าไม่อาจทำเช่นนั้น ขอเพียงไว้ชีวิตข้า พวกเจ้าต้องการอันใดข้าล้วนมอบให้พวกเจ้าได้ทั้งสิ้น … ทรัพย์สมบัติ,ที่ดิน หรือสตรีเลอโฉม ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ กระทั่งยศถาบรรดาศักดิ์! ข้าล้วนมอบให้พวกเจ้าได้ทั้งสิ้น!" กู้เชวียนเริ่มบังเกิดความกลัวขึ้นมา
ตลอดชีวิตของเขา ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เขาบังเกิดความกลัวและสิ้นหวังจับขั้วหัวใจถึงขนาดนี้