สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 208 : เพียบพร้อมทั้งภูมิปัญญาและความกล้าหาญ!
บทที่ 208 : เพียบพร้อมทั้งภูมิปัญญาและความกล้าหาญ!
ต้วนหลิงเทียน,เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเองก็ถึงกับต้องตกตะลึงเมื่อเดินออกมาจากกระโจม
เพราะตอนนี้กองทัพจำนวนเหยียบแสนได้คุกเข่าลงพร้อมกู่ร้องตะโกนดังลั่นอย่างพร้อมเพรียง ล้อมรอบกระโจมใหญ่เอาไว้ เสียงร้องนี้ดังสนั่นหวั่นไหว แต่มันเป็นเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเศร้าโศกอย่างถึงขีดสุด เสียงนี้เองก็นับได้ว่าดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งเมืองรุ่งโรจน์ ทำให้ตอนนี้ทั้งเมืองเสมือนตกอยู่ในเมฆหมอกแห่งความเศร้าที่แผ่ซ่านเข้ามาปกคลุมจนจิตใจทุกคนมัวหมอง
เหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองรุ่งโรจน์เองยามได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้านี้ ด้วยอุปาทานหมู่ก็ทำให้ทุกคนพลอยเศร้าสลดไปด้วย สีหน้าชาวเมืองล้วนไร้ซึ่งอารมณ์เบิกบานอย่างที่ควรจะเป็น
"ตอนแรกข้าคิดว่ายามที่กองกำลังมังกรเหินของท่านพระยาเรืองฤทธิ์ยาตรามาเสริมทัพ ข้าก็คิดว่ากองทัพชายแดนของเราจะสามารถเอาชัยเหนือทัพแดนใต้ของอาณาจักรหนานหมันประจำชายแดนได้อย่างง่ายดาย …แต่ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะปราชัยกับมาพร้อมความเสียหายย่อยยับถึงเพียงนี้! "
"เจ้ากล่าวผิดแล้ว เรื่องนี้หาได้เกี่ยวอันใดกับกองกำลังมังกรเหินไม่ ที่กองทัพของพวกเราต้องย่อยยับอัปราและสูญเสียไปมากมายถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นเพราะความโง่งมของกุนซือ ที่วางแผนการรบแต่เพียงผู้เดียว!"
"เฮ่ แล้วเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?"
"ข้ามีลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในกองทัพชายแดนคนหนึ่ง และเขาบอกข้าเองว่า ตัวเขาและสหายตอนนี้กำลังไปเรียกร้องความเป็นธรรมแก่ท่านแม่ทัพใหญ่ และขอให้กุนซือคนนั้นชดใช้ด้วยความตาย!"
"บัดซบ กุนซืออุบาทว์อันใดวางแผนจนกองทัพไปตกตายกว่าหมื่นชีวิต! แล้วนี่ใยยังต้องไปเรียกร้องความเป็นธรรมอันใด วางแผนสะเพร่าโง่งมสร้างความเสียหายเช่นนี้! สมควรจับมาตัดหัวเสียบประจานโดยพลันแล้ว?"
"ฮาย เรื่องนั้นค่อนข้างยาก เพราะว่าภูมิหลังของกุนซือผู้นี้หาได้ธรรมดาไม่ ตัวบัดซบนั่นมันเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีกู้ แห่งอาณาจักรนภาล่องเรา นามของมันคือกู้เชวียน!"
…
ตอนนี้ทั่วทุกหัวระแหงของเมืองรุ่งโรจน์ล้วนมีแต่บทสนทนาทำนองนี้ดังขึ้น
และไม่นานมวลอารมณ์ของประชาชนทั่วทั้งเมืองก็ถูกปลุกเร้าให้เห็นชอบไปในทิศทางเดียวกัน ฆ่าตัวบัดซบ!
เหอเหว่ยอันตอนนี้กำลังยืนอยู่หน้ากระโจมใหญ่ ดวงตาทั้งคู่ของเขายามนี้เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย เขามองทหารของเขาทั้ง 90,000 ชีวิตด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ยามนี้เขาไร้คำจะกล่าว ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาเพื่อปลอบประโลมพี่น้องทั้งหมดได้
"ท่านแม่ทัพ หากท่านกังวลเรื่องที่ ตัวบัดซบกู้เชวียนนั่นเป็นบุตรชายของอัครมหาเสนาบดี ท่านมิจำเป็นต้องลงมืออันใด พวกเราจะเป็นผู้สังหารมันเอง พวกเราไม่กลัว!"
"ใช่แล้วท่านแม่ทัพ พวกเราไม่กลัว!
"ท่านแม่ทัพจะอย่างไรการบาดเจ็บล้มตายอย่างออกรบเป็นเรื่องที่ทหารอย่างเราๆมิเคยหวาดหวั่น… หากพวกเราสามารถเข่นฆ่าทหารศัตรูได้เป็นจำนวน 10,000 กว่าเช่นกัน พวกเราคงไม่คิดติดใจอันใด แต่ครานี้พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของพวกเรา กลับต้องสังเวยชีวิตเพราะแผนการโง่งมไปร่วม 10,000 แต่ฝ่ายศัตรูนั้นยังตกตายมิถึง 1,000 คนด้วยซ้ำ พวกเราไม่อาจยอมรับ! "
"พี่น้องของพวกเรามิอาจตายเปล่าอย่างน่าอนาถเช่นนี้!"
…
ทหารทั้งหมดล้วนตาแดงก่ำโทสะและความคับแค้นใจของพวกมันยามนี้พุ่งสูงทะลวงชั้นฟ้า
"อะไร ทหารฝ่ายพวกเราตกตายนับ 10,000 แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับสูญเสียไปไม่ถึง 1,000 คน?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ขึ้นมา
แม้เขาจะคาดไว้แล้วว่ากลยุทธ์ของกู้เชวียนไม่น่าจะได้เรื่องได้ราว แต่เขาไม่คิดว่ามันจะน่าสังเวชถึงเพียงนี้! …
เขาเข้าใจได้ทันทีว่าหากครานี้ถึงแม้กู้เชวียนนั่นจะไม่ต้องชดใช้ด้วยโทษตาย แต่มันก็ต้องอยู่อย่างละอายไปชั่วชีวิต
เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
นี่เพราะพวกเขาก็รู้มาว่าทหารฝ่ายอาณาจักรตนนั้นสูญเสียไป 10,000 กว่าชีวิต แต่พวกเขาไม่ได้ล่วงรู้ว่าฝ่ายศัตรูจะสูญเสียน้อยนิดเพียงแค่ไม่ถึง 1,000
เมื่อได้ยินรายงานตัวเลขความสูญเสียทหารของฝ่ายตรงข้าม กระทั่งพวกเขาเองก็ไร้คำจะกล่าว
"บัดซบ ทหารพวกเราตกตายนับ 10,000 แต่ฝ่ายศัตรูกลับตายเพียงแค่จำนวนไม่ถึง 1,000! สวะเอ๊ย!!" เซี่ยวฉวินและเซี่ยวหยูเหลือบมองหน้ากันเอง ต่างคนต่างพบสายตาโกรธแค้นของอีกฝ่าย
"ตัวบัดซบกู้เชวียนนี่สมควรตกตาย!" สีหน้าของเซี่ยวฉวินมืดลงโดยพลัน
กว่า 10,000 ชีวิตที่ไม่สมควร ล้วนกลับต้องมาตกตายอย่างไร้ค่าภายใต้แผนการของกู้เชวียน!
นี่เป็นการกระทำที่ทำให้กระทั่งสวรรค์ยังต้องบันดาลโทสะ!
กู้เชวียนที่อยู่ภายในกระโจมใหญ่ตรงกลาง ถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ขาของเขาสั่นสะท้านไร้กำลังที่จะประคองตัวยืน มวลจิตสังหารจำนวนมากคละคลุ้งจนมันหวาดผวา
ยามนี้เขาสัมผัสได้ถึงโทสะและความเกรี้ยวกราดของทหารประจำชายแดนด้านนอกดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเขาเสนอหน้าออกไปตอนนี้ มิแคล้วถูกรุมฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆเป็นแน่!
"ข้าต้องหนีไปจากที่นี่ ข้าต้องหาหนทางไปจากที่นี่… " ตอนนี้สายตาของกู้เชวียนหม่นหมองลงก่อนที่จะหันมองไปทั่วๆ ราวกับกำลังมองหาตัวช่วยให้รอดชีวิต
ชายหนุ่มสองคนที่ติดตามกู้เชวียนมาด้วย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าววาจาเสนอหนทางออกมา "พี่กู้เชวียน … ข้าว่าท่านควรออกไป และขอขมาพวกเขา"
"ขอขมา?" สีหน้าของกู้เชวียนมืดลง สายตาของเขาเรืองวูบออกมาเล็กน้อย "เจ้าขอให้ข้าออกไปขอขมาพวกไพร่เช่นนั้นหรือ?
ภายนอกกระโจม
ไม่ว่าเหอเหว่ยอันจะกล่าววาจาเกลี้ยกล่อมอย่างไร ทว่าเหล่าทหารล้วนยังไม่สลายตัว พวกมันยังคงคุกเข่าอย่างตั้งมั่น
"พวกเราจะคุกเข่าเช่นนี้จนกว่ากู้เชวียนจะตกตาย!"
"ถูกแล้วท่านแม่ทัพ พวกเราจะคุกเข่าเช่นนี้จนกว่ากู้เชวียนนั่นจะตาย!"
…
ทหารทุกคนต่างกล่าวออกมาเป็นเสียงเดียวกัน และความตั้งใจของพวกมันนี้ยากที่จะสั่นคลอนได้โดยง่าย
สุดท้ายกระทั่งเหอเหว่ยอันก็ไม่รู้ว่าจะกล่าววาจาเกลี้ยกล่อมพวกเขาอย่างไร สุดท้ายก็ได้แต่ส่งสายตาจนแต้มไปให้นี่เฝินช่วยหาทางออก
นี่เฝินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะก้าวออกมา
"พี่น้องทั้งหลาย ตัวข้าเป็นแม่ทัพบัญชาการกองกำลังมังกรเหิน นี่เฝิน!" นี่เฝินกล่าวจบก็กวาดสายตามองไปยังทหารทั้ง 90,000 ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก "ตัวข้าและแม่ทัพเหอเองก็เศร้าเสียใจอย่างถึงที่สุดกับการสูญเสียพี่น้องทหารกว่า 10,000 แต่จะอย่างไรพี่น้องของพวกเราก็ตายจากเราไปแล้ว พวกเราคงมิอาจทำกระไรได้อีก แล้วใยพี่น้องทั้งหลายต้องสร้างความลำบากใจให้แก่ท่านแม่ทัพเหอ?"
"ข้าขอให้คำมั่นแก่พี่น้องทุกคน ว่าหากพวกเจ้าลุกขึ้นยืน ข้าจะขับไล่กู้เชวียนตัวบัดซบให้ไสหัวไปจากเมืองรุ่งโรจน์ของพวกเรา ให้มันแบกความอัปยศกลับเมืองหลวง! นอกจากนี้พวกเราจะเคลื่อนพลในอีก 3 วันหลังจากนี้ เพื่อไปล้างแค้นให้พี่น้อง 10,000 กว่าชีวิตของพวกเรา ตีเมืองของพวกมันปลอบประโลมวิญญาณของพวกเขา! " เสียงของนี่เฝินดังสนั่นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อเห็นว่าเหล่าทหารหาญประจำชายแดนดูเหมือนจะไม่แยแสคำกล่าวของตน นี่เฝินยังคงกล่าวต่อไป "ข้ารู้ว่ายามนี้พวกเจ้ายังคงแคลงใจในวาจาของข้า … แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานพวกเจ้าเองก็น่าจะพอได้เห็นและรับรู้ได้ด้วยสองตาของพวกเจ้า! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดตัวข้าถึงเสมือนนกรู้ ถึงขั้นล่วงรู้อันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงสามารถคาดการณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงที่อันตรายในสนามรบได้ทันท่วงที และตัวข้าสามารถนำพากองกำลังมังกรเหินทั้ง 10,000 คนของข้าเล็ดรอดจากเงื้อมมือของมัจจุราชมาได้ จนกลับมายังฐานที่มั่นแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัยไร้ผู้สูญเสีย "
วาจาที่นี่เฝินกล่าว ทำให้เหล่าทหารทั้งหมดล้วนเบิกตาขึ้นมา พร้อมกับตระหนักรู้บางอย่างได้โดยพลัน
นี่เฝินกล่าวสืบต่อ "จริงๆแล้วหาใช่ตัวข้าสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์หรือภยันตรายใดๆได้ล่วงหน้า แต่เป็นเพราะตัวข้าได้รับคำแนะนำและการวางกำลัง พร้อมทั้งความเสี่ยงของสถานการณ์ได้จาก นักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือคนหนึ่งของสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่คาดการณ์ได้ราวกับหยั่งรู้!… เขากล่าวกำชับข้าไว้ หากพบเจอสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยฉับพลัน และรูปแบบของกองทัพฝ่ายศัตรูที่เริ่มเปลี่ยนไป! เขากำชับให้ข้าเร่งรุดถอนกำลัง ถอนตัวออกจากแนวรบโดนทันควัน! "
“ท่านผู้บัญชาการนี่ คำที่ท่านกล่าวว่านักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือคนหนึ่งของสถาบันบ่มเพาะขุนพล สามารถคาดการณ์และแผนการของกองกำลังฝ่ายศัตรู และล่วงรู้ความเป็นไปล่วงหน้าราวตาเห็นก่อนหน้า เป็นจริงเช่นนั้นหรือ?…แล้วถ้าหากว่าเขาล่วงรู้กลยุทธ์อีกทั้งแผนการเลิศล้ำของศัตรูได้ถึงขนาดนี้ เหตุใดเขาไม่รีบกล่าวมันออกมาเสียก่อน เพื่อให้พวกเราสามารถรอดพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปเล่า?” หนึ่งในกุนซือของกองทัพคนหนึ่งที่ยืนด้านหลังเหอเหว่ยอัน กล่าวออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด ทีท่าของมันแฝงความโกรธเคืองไว้ไม่น้อย
"นี่เป็นเพราะยามนั้นเขาหาได้อยู่ในกระโจม บัญชาการและร่วมวางแผนการรบกับพวกเรา" นี่เฝินกล่าวออกมาพร้อมจ้องมองไปยังกุนซือผู้นั้นด้วยความสงบ
"หรือว่า เป็นไปได้งั้นหรือ?" เหอเหว่ยอันเหมือนจะเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ม่านตาของเขาหดแคบลง
เขายังไม่อาจทำใจเชื่อได้
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาคงไม่อาจหลีกพ้นตราบาปครั้งนี้ได้แล้ว!
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่จากระยะไกล เห็นนี่เฝินกล่าววาจาเช่นนี้พร้อมมองมาทางเขา เขารู้ได้ทันทีว่านี่เฝินเตรียมขายเขาแล้ว!
ต้วนหลิงเทียนทำเพียงส่ายหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม และพาเซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉวินที่กำลังสับสนเดินไปหานี่เฝิน
"พวกเจ้า!"สีหน้าของกุนซือกองทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังเหอเหว่ยอันพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด และแววตาของพวกมันฉายชัดออกมาถึงความยากจะเชื่อ
มิใช่ว่านักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือที่ผู้บัญชาการนี่เฝินกล่าวว่าได้กล่าวเตือนล่วงหน้า เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 หรอกหรือ? แต่นี่พวกเขาเป็นเพียงนึกศึกษาชั้นปีที่ 1 เท่านั้นไม่ใช่หรือไร?
สีหน้าของพวกมันกลับกลายเป็นบิดเบี้ยวทันที
"พวกเจ้าจงดูชายหนุ่มที่ยืนข้างกายข้าคนนี้! เขาคืออัจฉริยะที่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก เขาเป็นคนที่กำลังมีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วและเป็นหัวข้อการสนทนาของอาณาจักรนภาล่องอย่างกว้างขวาง ต้วนหลิงเทียน! คนอื่นๆนั้นอาจจะได้รับรู้เรื่องราวความสามารถของเขาในแง่ของอัจฉริยะไร้ผู้ต้านในวิถีแห่งยุทธ์ กระทั่งข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ทว่า ข้าพลันล่วงรู้มาว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้ กระทั่งวิถีแห่งการวางกลยุทธ์และความรอบรู้ในการวางแผนการณ์ในฐานะกุนซือ ก็หาได้อ่อนด้อยแต่อย่างใด ซ้ำยังเลิศล้ำเหนือกว่ากุนซือผู้ใดที่ข้าเคยได้พบพานมาเสียอีก! ก่อนที่ข้าจะออกไปรบเขาได้บอกกล่าวถึงสถานการณ์ที่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ 2 ประการ ตัวข้าเองในยามแรกก็มิเข้าใจว่ามันจะอันตรายอย่างใด แต่เขากำชับข้าหลายต่อหลายครั้ง ซ้ำเขายังกล่าวหนึ่งประโยคต่อข้าว่า ระแวงพันครั้งมิเป็นไร วู่วามครั้งเดียวนับว่าใหญ่หลวง! จนข้าลองกระทำตามคำกล่าวของเขา! ข้าเลือกที่จะล่าถอยทั้งๆที่ยังไม่เห็นอันใดเลวร้าย! … "
"ในยามแรกเมื่อข้าล่าถอยออกมาข้าก็คิดว่าวาจาของต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลเพราะมันไม่มีอันใดเกิดขึ้น แต่ทว่าเหตุการณ์ทั้งหมดกลับกลายเป็นดั่งที่ ต้วนหลิงเทียนกล่าวเอาไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน และนั่นทำให้ข้าเชื่อเขา และสั่งให้กองกำลังมังกรเหินของข้าเลือกที่จะล่าถอยเมื่อเห็นสัญญาณดังกล่าวในครั้งหลัง และนั่นทำให้ข้าและกองกำลังมังกรเหินของข้าสามารถเล็ดรอดออกมาจากเงื้อมมือมัจจุราชได้ทันท่วงทีดั่งเดินอยู่ในเส้นทางที่สวรรค์ลิขิตให้อยู่รอดปลอดภัย”
นี่เฝินกวาดสายตาพร้อมกล่าวสืบต่อ “ …และพวกเจ้าเองก็คงจำได้ว่ายามที่กองกำลังมังกรเหินล่าถอย พวกเขาเองก็พยายามดึงพวกเจ้าออกมาด้วยใช่หรือไม่? นี่หากพวกข้าไม่ล่วงรู้และนำพาบางส่วนล่าถอยได้ทันท่วงที เกรงว่าความเสียหายของกองทัพเราหาใช่มีแค่เพียง 10,000 มันอาจจะเป็น 30,000 , 40,0000 แม้กระทั่ง 50,000 ก็อาจจะเป็นไปได้ และพวกเจ้าคงรู้ดี! ว่าคำกล่าวของข้านั้นไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด!” เสียงกล่าวดังก้องของนี่เฝินครานี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของทหารทั้งกองทัพอย่างสูง
"ท่านผู้บัญชาการนี่ พวกข้าเข้าใจในวาจาที่ท่านกล่าวแล้ว และรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ท่านช่วยชีวิตของพวกเราเอาไว้ แต่ตัวข้าโง่เขลายังมิค่อยเข้าใจเรื่องราวในคำกล่าวของท่านสักเท่าไร นี่เป็นเพราะตั้งแต่ที่นักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือของสถาบันบ่มเพาะขุนพลท่านนี้ พบจุดบอดและล่วงรู้จุดตายของกลยุทธ์ทัพเรา เหตุใดพวกเรายังถึงต้องดำเนินการรบและเคลื่อนทัพตามกลยุทธ์ของตัวบัดซบกู้เชวียนนั่นด้วย ? " แม่ทัพคนหนึ่งของกองกำลังทหารชายแดนที่คุกเข่าอยู่กล่าวถามคำถามที่ปรากฏขึ้นอยู่ในใจของทหารทั้งหมดในตอนนี้ออกมา
คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวออกมาแล้วกล่าววาจา "เรื่องนี้ข้าสามารถบอกกล่าวแก่ท่านได้!"
เพียงพริบตา สายตานับแสนคู่ล้วนจับจ้องมายังต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พร้อมท่วงท่าสงบสบายราวกับเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขา "วันนั้นตัวข้าและสหายทั้ง 2 คนด้านหลังเองก็มีส่วนร่วมในการประชุมวางกลยุทธ์ภายในกระโจมบัญชาการที่จะไปตีหักชิงเมืองชัยชนะของพวกทหารแดนใต้ … แต่ทว่าเป็นกู้เชวียนที่กล่าวว่าพวกเรา นั้นไร้ประโยชน์และไม่คู่ควรเข้ามาร่วมวางแผน! เขาเชื่อมันว่าตัวเขาเองสามารถทำลายแนวรับของกองทหารแดนใต้ได้โดยปราศจากพวกข้า "
"ในเวลานั้นกระทั่งท่านแม่ทัพเหอเองก็ถูกวาจาของกู้เชวียนโน้มน้าวให้หลงเชื่อ กู้เชวียนกล่าวว่าพวกข้านั้นยังเด็กเกินไปและไร้ประสบการณ์ และเป็นเพียงนักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือที่ยังอยู่ในชั้นปีที่ 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพลเท่านั้น นั่นทำให้เขาดูถูกพวกข้า และขับไล่พวกข้าออกไป! และข้าเองที่สามารถสังเกตข้อบกพร่องในกลยุทธ์ของกู้เชวียน แต่เรื่องนี้มันยากเกินกว่าที่จะมีใครเข้าใจได้ และยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจเห็นได้ชัด หากไม่บังเกิดการปะทะและอยู่ภายในสนามรบ …อีกทั้งด้วยสถานะของพวกข้าที่ยังเยาว์วัยเช่นนี้ หากยามนั้นข้ากล่าวคำออกไป…แล้วจะมีผู้ใดจะเชื่อถือกันเล่า" ต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวออกมาอย่างช้าๆ
"ตัวข้าสามารถเป็นพยานได้ในเรื่องนี้!" นี่เฝินยังกล่าวเพิ่มเติมออกมาว่า "ในยามนั้น แม้กระทั่งตัวข้าเองยังไม่ค่อยเชื่อถือคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน แต่เมื่อรูปการและเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเป็นดั่งที่ต้วนลิงเทียนกล่าวราวตาเห็น และด้วยคำ ระแวงพันครั้งมิเป็นไร วู่วามครั้งเดียวนับว่าใหญ่หลวง! ตัวข้าก็ไม่อาจทำให้ชีวิตของกองกำลังข้าตกอยู่ในความเสี่ยง ข้าจึงเลือกกระทำตามคำกล่าวของเขาอย่างเคร่งครัด!
ทุกคำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมายามนี้ มันแทบไม่ต่างอันใดกับราดน้ำมันลงบนกองเพลิง โทสะอารมณ์ของเหล่าทหารหาญเหยียบแสนล้วนปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ภายในใจของพวกมันล้วนตระหนักถึงคำกล่าวก่อนหน้าของนี่เฝิน และเมื่อเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นจริง ยามนี้เหมือนชนวนอารมณ์ของพวกมันถูกจุดด้วยไฟโทสะ! ความเกรี้ยวกราดและคับแค้นใจทั้งหมดพลันระเบิดออกมา!
"เป็นไอ้ สารเลวกู้เชวียนอีกแล้ว!"
"ตัวมันโง่เขลาเบาปัญญาไร้สามารถ แต่กลับอิจฉาความสามารถและภูมิปัญญาอันเลิศล้ำของน้องชายต้วนหลิงเทียน!”
“ทั้งหมดเพราะตัวบัดซบมันอิจฉาความกล้าหาญและภูมิปัญญาของน้องชายต้วนหลิงเทียนที่เหนือกว่ามันจนไม่อาจเทียบเท่าได้!"
…
ตอนนี้เหล่าทหารหาญของกองกำลังประจำชายแดนล้วนกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจและโกรธแค้นแสนสาหัส
ตึง!
ทันใดนั้นทั้งหมดก็เงียบคำลงเมื่อได้เห็นแม่ทัพเหอเหว่ยอันยกมือขึ้น พร้อมทั้งคุกเข่าลง
เหอเหว่ยอันคุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนทั้งหมด พร้อมกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำตานองหน้า "พี่น้องทั้งหลาย เรื่องราวยากแก้ไขครั้งนี้ ล้วนเป็นเพราะข้า! เพราะข้าโง่งมหลงผิดคิดสะเพร่าเชื่อวาจาตัวบัดซบ! ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของข้า เหอเว่ยอันทั้งสิ้น!"
"ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเพราะท่านถูกชักจูงจากอิทธิพลของผู้อื่น …อีกอย่างตัวข้านั้นยังเยาว์นักจะอย่างไรคำกล่าวของข้าก็ยากที่จะมีผู้ใดเชื่อถือ" ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวคำออกมาเสียงดังฟังชัด
"ใช่แล้วท่านแม่ทัพ น้องชายต้วนหลิงเทียนกล่าวถูกต้องแล้ว เรื่องนี้มิใช่ความผิดของท่าน!"
"ท่านแม่ทัพ ท่านลุกขึ้นเถิด ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ความผิดของท่าน!"
…
เหล่าทหารกล่าววาจาออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ดวงตาของเหอเหว่ยอันฉายออกมาถึงความสำนึกตื้นตันด้วยบุญคุณ ซ้ำยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดยามมองไปที่ ต้วนหลิงเทียนขณะกล่าววาจา
"ต้วนหลิงเทียน!" ภายในกระโจมใหญ่ ตอนนี้กู้เชวียนกัดฟันดังกรอดๆสองมือกำหมัดแน่นจนข้อขาว
ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาเช่นนี้ เพราะต้องการซัดความผิดบาปทั้งมวลให้ลงที่หัวเขาหรอกหรือ?
แม้มันยากจะยอมรับแต่ความผิดครั้งนี้เขาไม่อาจไม่ยอมรับ!
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง กู้เชวียนที่อยู่ในกระโจมย่อมได้ยิน และนั่นทำให้ประกายตาของกู้เชวียนเรืองวูบขึ้น
"เอาล่ะ ตัวข้าเองย่อมเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของพวกท่านทหารหาญทั้งหลายดี แต่ข้ายังหวังว่าพี่ชายทหารหาญทั้งหลายจะสามารถสงบสติอารมณ์และใจเย็นลงก่อนสักนิด พวกท่านควรคิดถึงท่านแม่ทัพเหอสักนิด เพราะจะอย่างไรกู้เชวียนผู้นี้ก็ยังเป็นบุตรชายคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีกู้ ซึ่งกล่าวได้ว่ามีความสูงส่งไม่น้อย …หากเขาตกตายลงตอนนี้ สำหรับพวกท่านทหารประจำชายแดนของเมืองรุ่งโรจน์นี้อาจจะรู้สึกดีและสาแก่ใจ แต่สำหรับท่านแม่ทัพเหอนั้น แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบนี้ได้! "