สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 205 : ผิดปกติอย่างถึงขีดสุด!!
บทที่ 205 : ผิดปกติอย่างถึงขีดสุด!!
ในขณะที่เดินทัพเข้าเมืองมานั้น ตลอดทางต้วนหลิงเทียนสามารถเห็นถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังและความยินดีปรีดาของชาวเมืองที่ท่วมท้นออกมาอย่างล้นหลาม…
นี่เป็นความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีต่อกองกำลังมังกรเหิน!
เป็นความศรัทธาที่มีต่อตัวท่านพระยาเรืองฤทธิ์!!
‘ในฐานะเทพสงคราม ดูเหมือนลุงนี่จะมีความหมายต่อจิตใจของประชาชนในอาณาจักรนภาล่องนี่ไม่น้อย ..ซ้ำดูท่า ความสำคัญและความยิ่งใหญ่ของลุงนี่ในสายตาของชาวบ้านตามเมืองติดขอบชายแดน แลจะมีมากกว่าองค์ราชาแห่งอาณาจักรเสียอีก!’ ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดเงียบๆในใจ
ไม่นานหลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนและคนจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล ก็ได้ติดตามทัพกองกำลังมังกรเหิน อันมีทหารมากกว่า 10,000 คนมาถึงค่ายขนาดใหญ่บริเวณทางด้านเหนือของเมืองรุ่งโรจน์
เมื่อมาถึงต้วนหลิงเทียนกับสหายรวมทั้งทหารคนอื่นๆ ก็ถูกจัดแบ่งกระโจมที่พักให้
ต้วนหลิงเทียนและสหาย 3 คนได้ถูกจัดให้อยู่กระโจมเล็กๆ กระโจมหนึ่ง แต่อย่าได้ดูแคลนกระโจมเล็กนี่ แม้มันจะเล็กทว่ายังดูดีและแข็งแกร่งกว่ากระโจมที่พวกเขาตั้งเองนับ 100 เท่า!
สีหน้าของเซี่ยวฉวินฉายออกมาถึงความตื่นเต้น และคึกคักอย่างเห็นได้ชัด "ฮ่าๆ อีกไม่นานแล้ว ข้าจะได้เห็นสนามรบอันดุเดือเสียที ทั้งข้าจะได้เห็นถึงความโหดร้ายของมันด้วยสองตาของข้าหาใช่แค่คำบอกเล่า! เพียงแค่คิด ข้าก็ตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว !… "
แม้ว่าเซี่ยวหยูจะเงียบไม่ได้กล่าววาจาอะไร ที่สีหน้าและแววตาของเขาเองก็ลุกโชนด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกับเซี่ยวฉวิน
ต้วนหลิงเทียนเองก็ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ในใจเขาเองก็คิดเรื่องราวอยู่ไม่น้อย เพราะจะอย่างไรเขาเองก็อยากมาเห็นสนามรบโบราณเช่นนี้! ครุ่นคิดอยู่ไม่นาน หลังจากนั้นเขาก็หยิบเตาหลอมโอสถออกมาตั้งไว้ตรงหน้า
เมื่อสองวันก่อนเขาได้ตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 ได้สำเร็จแล้ว สิ่งที่เขาคิดกำลังจะทำตอนนี้ก็คือปรุงโอสถโลหิตมังกร และกินมันเข้าไป เพื่อให้สำเร็จขั้นตอนการหลอมกลั่นบ่มเพาะร่างกายด้วยพลังงานต้นกำเนิดระดับ 8
เมื่อทำเสร็จแล้วตัวเขาจะได้เริ่มสั่งสมพลังงานต้นกำเนิดเพื่อเตรียมทะลวงผ่านระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9!
โอสถโลหิตมังกรนั้นค่อนข้างแตกต่างจากโอสถอื่นๆ เล็กๆน้อย นั่นเพราะเมื่อมันถูกหลอมกลั่นขึ้นมาแล้ว มันจะต้องรีบกินภายในเวลา 5 ชั่วยาม หาไม่แล้วพลังงานที่อัดแน่นภายในโอสถจะค่อยๆ สลายหายไป จนเสื่อมประสิทธิภาพไปในที่สุด ต้วนหลิงเทียนจึงไม่ได้ทำมันสำรองเอาไว้แต่อย่างไร
แม้ต้วนหลิงเทียนจะหยิบเตาหลอมโอสถออกมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะตรงหน้าก็มีเพียงแต่สหาย ทว่าทางด้านเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวิน ที่อยู่ๆก็เห็นว่าต้วนหลิงเทียนหยิบเตาหลอมโอสถออกมาพวกมันพลันชักสีหน้าโง่งมทันที
"นี่… ต้วนหลิงเทียน! เจ้าอย่าได้บอกข้าเชียว! ว่าเจ้าเองก็เป็นผู้หลอมโอสถด้วย! … " เซี่ยวฉวินนั้นทำได้เพียงหอบใจถี่รับพร้อมทั้งเบิกตากว้าง ต้วนหลิงเทียนคงไม่ได้ที่จะทำให้เขาตกใจจนหัวใจวายหรอกนะ?
เซี่ยวหยูเองก็จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยอย่างมากเช่นกัน
ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะหงายฝ่ามือขึ้น
ฟู่มมม!
ทันใดนั้น ประกายเพลิงสีขาวพลันกระพริบวูบวาบกลางฝ่ามือของต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะบังเกิดเป็นเปลวเพลิงสีขาวราวน้ำนมลุกโชนขึ้นมาอย่างโชติช่วง
"เปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 9!"ม่านตาของเซี่ยวฉวินหดแคบลง ในที่สุดเขาก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
พี่ชายของเขา เซี่ยวเหอเองก็เป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9 ด้วยเช่นเดียวกัน ตัวเขาย่อมคุ้นเคยกับเปลวเพลิงนี้ดี
มุมปากของเซี่ยวหยูพลันกระตุก
ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นผู้หลอมโอสถตั้งแต่เมื่อไหร่?
โดยปกติแล้วกล่าวได้ว่า อัจฉริยะในเชิงยุทธ์อย่างต้วนหลิงเทียน ย่อมทุ่มเททั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้มันในการสั่งสมพลังและฝึกฝนสรรพวิชาเพื่อความก้าวหน้าในเชิงยุทธ์ รวมถึงเพิ่มพูนระดับบ่มเพาะของเขา อัจฉริยะเช่นนี้ย่อมไม่คิดเสียเวลา รวมทั้งยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปศึกษาศาสตร์การหลอมโอสถ ศาสตร์การหลอมศาสตรา หรือศึกษาเพื่อกลายเป็นผู้จารึกอาคม…เพราะหากใครไปศึกษาศาสตร์เหล่านี้เพิ่มเติม แน่นอนว่าย่อมต้องเสียเวลา รวมทั้งพลังวิญญาณ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจไปถึงจุดสูงสุดของแต่ละด้านได้
แต่ก่อนในความคิดของเขานั้น ต้วนหลิงเทียนคือคนที่ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างแน่วแน่ ไม่ได้ไปสนใจศาสตร์การหลอมโอสถ,ศาสตรา หรือการจารึกอาคมแต่อย่างใด…ทว่าตอนนี้เมื่อเปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 9 ถูกจุดขึ้นมาทำให้เขาตกตะลึงอย่างมาก!
ต้วนหลิงเทียนที่กล่าวได้ว่ามีระดับบ่มเพาะสูงส่งจนแทบจะต่อต้านสวรรค์เช่นนี้ กลับแบ่งเวลาไปศึกษาศาสตร์การหลอม จนกลายมาเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9?
เซี่ยวหยูยามนี้ยิ่งคิดยิ่งอื้ออึงแล้ว
ตัวประหลาด!
มันผิดปกติเกินไปแล้ว!
"นี่หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้เสียเวลาในการร่ำเรียนศาสตร์ด้านการหลอมโอสถ นี่ไม่ได้หมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาจะสูงล้ำยิ่งไปกว่าในปัจจุบันนี้หรอกหรือ เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะตัดผ่านระดับกำเนิดแก่แท้ตั้งแต่อายุ 17 ปี? " เซี่ยวหยูยิ่งคิดมากเท่าไร ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นเท่านั้น
เซี่ยวฉวินเองตอนนี้ก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างถึงขีดสุด นั่นเพราะเขาเองก็คิดเรื่องเดียวกันกับเซี่ยวหยู
ไม่ว่าใครก็ตามหากมาสนใจศาสตร์ด้านการหลอมโอสถ แน่นอนว่าระยะเวลาบ่มเพาะพลังมันย่อมลดน้อยลง หากเทียบกับคนธรรมดาที่ทำการบ่มเพาะพลังอย่างเดียวแล้ว กล่าวได้ว่าอาจจะช้ากว่ากันถึงเท่าตัว เพราะต้องเสียพลังวิญญาณรวมถึงเวลาในการทำความเข้าใจวิชาไปทั้ง 2 อย่าง กล่าวได้ว่าคนผู้นั้นต้องแบ่งเวลาบ่มเพาะทั้ง 2 ทางออกเป็นอย่างละครึ่ง!
เช่นเดียวกันกับพี่ชายของเขาเซี่ยวเหอ ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของพี่ชายเขานั้นจะเท่าเทียมกันกับเขา อีกทั้งพี่ชายของเขายังมีอายุมากกว่าเขาเป็นปี แต่ระดับบ่มเพาะของเซี่ยวเหอเอง ก็ยังนับว่าน้อยกว่าเขา นี่เพราะพี่ชายของเขามุ่งมันและหันไปศึกษาด้านศาสตร์แห่งการหลอมโอสถอย่างจริงจัง ทำให้ระดับบ่มเพาะของพี่ชายเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
"พวกเจ้า 2 คนเป็นอะไรไป เรื่องแค่นี้นี่มันน่าตกใจถึงขนาดนั้นเลยหรือ?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะ ก่อนที่เขาจะหยิบวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้หลอมโอสถโลหิตมังกรออกมา และใส่ในเตาหลอมทีละชิ้น
"เรื่องแค่นี้ นี่มันน่าตกใจถึงขนาดนั้นเลยหรือ?"มุมปากของเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินถึงกับกระตุก พวกมันทวนคำกล่าวของต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกมันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนนี่จะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
"ผิดปกตินัก" ทั้ง 2 คนกล่าวคำออกมาพร้อมกัน ทั้งยังเต็มไปด้วยความยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน
ต้วนหลิงเทียนก็งงจนไม่รู้จะพูดอะไร
แน่นอนเพราะว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้ว่ายามนี้เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินคิดอะไร หากเขารู้ล่ะก็ป่านนี้เขาหัวเราะลั่นไปแล้ว …
ตั้งแต่ที่เขาหลอมรวมความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด 2 ชาติภพนั่น ตัวเขาก็ได้สืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในช่วงชีวิตของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดนั้น เขาเป็นถึงผู้หลอมโอสถขั้นราชวงศ์ ทั้งเป็นผู้หลอมศาสตราขั้นราชวงศ์ด้วยเช่นกัน! แม้กระทั่งศาสตร์ในการจารึกของเขาเอง ก็เรียกได้ว่าแทบจะอยู่จุดสูงสุดไม่มีใครที่มีอายุเท่าเทียมกับเขาแล้วจะสามารถเหนือล้ำกว่าเขาไปได้
และคำว่าสืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างมานั่นย่อมหมายความว่า ต้วนหลิงเทียนได้รับองค์ความรู้รวมทั้งความเข้าใจ มีความสามารถดุจเดียวกับจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด
แต่แน่นอนว่าหากเขาอยากใช้ความสามารถของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดที่เหนือชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวเขาเองก็ต้องยกระดับบ่มเพาะ และระดับพลังวิญญาณให้มากถึงระดับหนึ่งเสียก่อน …
ตัวอย่างเช่นเปลวเพลิงหลอมโอสถและเปลวเพลิงหลอมศาสตรา
เปลวเพลิงระดับ 8 จะต้องก้าวมาอยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 1 เสียก่อนจึงจะสามารถยกระดับได้
เปลวเพลิงระดับ 7 จะต้องก้าวมาอยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 เสียก่อนจึงจะสามารถยกระดับได้
เปลวเพลิงระดับ 6 จะต้องก้าวมาอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 เสียก่อนจึงจะสามารถยกระดับได้
เปลวเพลิงระดับ 5 จะต้องก้าวมาอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 เสียก่อนจึงจะสามารถยกระดับได้
…
ขั้นต่อไปก็จะเป็นรูปแบบเดียวกันนี้
ตราบใดที่ระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนบรรลุขั้นพลังดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจะอาศัยความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ในการยกระดับเปลวเพลิงได้ในทันที ไม่ต้องเสียเวลาคลำหาหนทางอะไรต่อไป
กล่าวได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว!
เช่นเดียวกันกับพลังวิญญาณของเขา หากมันยกระดับขึ้นเมื่อใด เขาก็สามารถจารึกอาคมที่สูงขึ้นได้ทันที
ก็เป็นดั่งเช่นตอนนี้ที่ระดับพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้นอยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณแรกก่อตั้ง เพราะเหตุนี้เขาถึงสามารถจารึกอาคม ก่อนกระดูก ที่สามารถทำลายผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งได้อย่างง่ายดาย
และหากเขาหาวัตถุดิบที่จำเป็นได้ล่ะก็ กระทั่งการสังหารผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวธรรมชาติ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!
ตราบใดที่ระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนถึงระดับที่ต้องการ รวมถึงระดับพลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นถึงจุดที่ต้องการ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปศึกษาศาสตร์ของการหลอมโอสถ ,หลอมสร้างศาสตรา หรือกระทั่งการจารึกอาคม องค์ความรู้ทั้งหมดในหัวของเขาคือประสบการณ์และความทรงจำของผู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้จนถึงจุดสุดยอด!
หากจะให้เปรียบเทียบง่ายๆดั่งโลกก่อน ก็เสมือนว่า ศาสตร์แขนงต่างๆเปรียบได้กับซอฟต์แวร์ ส่วนตัวของต้วนหลิงเทียนนั้นคือ ฮาร์ดแวร์
ตอนนี้ซอฟต์แวร์ของเขามีระดับสูงส่งสุดยอดในทุกๆระดับ แต่ฮาร์ดแวร์หรือตัวเขายังอยู่ในช่วงพัฒนาเท่านั้น ตราบใดที่ฮาร์ดแวร์ พัฒนาได้ถึงจุดที่ต้องการ ก็จะสามารถรองรับซอฟต์แวร์ตัวนั้นๆได้ และสามารถใช้งานฟังก์ชั่นที่ดีกว่าเดิมได้!
ฟู่บบบบบ!
ต้วนหลิงเทียนลดมือลง ก่อนที่จะอัดเปลวเพลิงหลอมโอสถให้เข้าไปในเตาหลอมโอสถ เปลวเพลิงที่หลอมกลั่นควบแน่นมาจากพลังงานต้นกำเนิดเริ่มทำหน้าที่หลอมกลั่นวัตถุดิบ
เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินที่อยู่ด้านข้างเองก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งนั่งจับตาดูการหลอมกลั่นโอสถของต้วนหลิงเทียนอย่างไม่กระพริบตาและส่งเสียงใดๆ
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ต้วนหลิงเทียนก็หยิบโลหิตของอสรพิษตัวน้อยลงในเตาหลอมโอสถ นับได้ว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมกลั่นโอสถโลหิตมังกร!!
ครืนนนน วึ้งงงงงง!
โอสถสีทองเรืองรองส่องประกายเม็ดหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากช่องของเตาหลอมโอสถก่อนที่จะตกไปอยู่ในมือของต้วนหลิงเทียนอย่างพอดิบพอดี
แน่นอนว่ามันย่อมเป็นโอสถโลหิตมังกร
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้ารีบกลืนมันลงไปทันที
ทันใดนั้นระดับพลังงานต้นกำเนิดในร่างกายของเขาพลันเพิ่มพูนขึ้นมาจนเต็มเปี่ยม ก่อนที่การบ่มเพาะร่างกายของเขาจะเกิดขึ้นด้วยความเร็วสูง เพียงเสี้ยวพริบตาเท่านั้น ขั้นตอนการหลอมกลั่นเสริมสร้างร่างกายด้วยพลังงานต้นกำเนิด ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 ก็เสร็จสิ้น
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนสามารถเริ่มสั่งสมพลังงานต้นกำเนิดเพื่อทะลวงผ่านระดับต้นกำเนิดขั้นที่ 9 ได้ในทันที … และเมื่อเขาทะลวงผ่านไปจนอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 เมื่อไหร่ เขาก็จะหลอมโอสถโลหิตมังกรอีกครั้ง เพื่อบ่มเพาะร่างกายด้วยพลังงานต้นกำเนิดระดับ 9 และเมื่อเขาทำมันเสร็จสิ้นก็กล่าวได้ว่า เขาได้สำเร็จวิชาบ่มเพาะ 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบงูเหลือมคลั่ง ได้อย่างสมบูรณ์
และเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะได้สั่งสมพลังงานต้นกำเนิดเพื่อทะลวงผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ ที่แท้จริงเสียที! ไม่ใช่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้จอมปลอมเช่นนี้!!
เมื่อต้วนหลิงเทียนเก็บเตาหลอมโอสถเข้าแหวนมิติ เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินที่อยู่ด้านข้าง พลันกลับมามีสติแจ่มชัดอีกครั้ง เซี่ยวฉวินอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา "ต้วนหลิงเทียน เมื่อครู่เจ้าหลอมปรุงและใช้โอสถเลิศล้ำอันใดกันแน่ มันถึงมีสีทองเรืองรองเปล่งประกายเช่นนั้น ดูเหมือนมันจะมิใช่โอสถธรรมดาๆ ใช่หรือไม่ "
"แน่นอนมันไม่ใช่โอสถธรรมดา มันเป็นโอสถที่จำเป็นกับรูปแบบวิชาบ่มเพาะของข้าเท่านั้น หากผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นกินมันลงไป ข้าเกรงว่าตันเถียนพวกมันคงต้องแตกระเบิดออกเพราะพลังงานที่มากเกินไป!" ต้วนหลิงเทียนหันไปจ้องมองเซี่ยวฉวินด้วยสายตาลึกซึ้ง "ว่ายังไงล่ะเซี่ยวฉวิน? เจ้าสนใจลองกินโอสถนี้ดูหรือไม่?"
"บัดซบ! ลืมมันไปซะ ข้าไม่อยากตาย!" แน่นอนว่าเซี่ยวฉวินย่อมเชื่อว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเป็นเรื่องจริง เขาจึงรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างพลวัน
"ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ากลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9 ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือ?" ตอนนี้เองเสียงของเซี่ยวหยูพลันดังขึ้น ซ้ำเขายังจับจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างเขม็ง
เซี่ยวฉวินเองก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยเช่นกัน
"เอ ข้าก็ไม่มั่นใจนะว่าเมื่อไหร่ แต่มันก็สักพักแล้วล่ะ" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาบางๆ เขาไม่คิดกล่าวระบุเวลาที่แน่นอน
จะเป็นไปได้ยังไง ที่จะให้เขาบอกพวกมันว่าเขาเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9 ตั้งแต่ 2 ปีก่อน?
"ต้วนหลิงเทียน เจ้านี่มัน…เป็นมนุษย์ที่ผิดปกติมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมาจริงๆ!" เวี่ยวฉวินมองไปยังต้วนหลิงเทียนพร้อมด้วยสองตาเบิกกว้าง "ในตอนที่ พี่ชายข้ากลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9 ตั้งแต่อายุ 20 ข้าเองก็คิดว่าเขาค่อนข้างผิดปกติมากพอแล้ว …แต่ข้าไม่คิดฝันจริงๆว่าเจ้าจะเป็นผู้หลอมโอสถได้ตั้งแต่ 18 ปี อีกทั้งยังสามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ได้เช่นนี้อีก เจ้านี่กล่าวได้ว่าเป็นตัวประหลาดผิดปกติถึงขีดสุด ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาอย่างแท้จริง ! "
ตัวประหลาด ผิดปกติถึงขีดสุด? มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุกขึ้นมา เริ่มขุ่นเคืองไม่น้อยเมื่อโดนว่า
เซี่ยวหยูเองก็เห็นไม่ต่างจากเซี่ยวฉวินพลันพัยกหน้าเสริมออกมาเช่นกัน
ทว่าทันใดนั้นเองสีหน้าของเซี่ยวฉวินพลันแปรเปลี่ยนราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ "ไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีผู้หลอมโอสถระดับ 9 ด้วยวัยเพียง 18 ปีกปรากฏตัวขึ้นที่ สมาคมผู้หลอมโอสถ ซ้ำยังเอาชนะพี่ชายข้าได้ในการเดิมพัน จนทำให้จิตวิญญาณแห่งความกระตือรือร้นของพี่ชายข้าถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง … "
หัวใจของต้วนหลิงเทียนสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าเวี่ยวฉวินจับจ้องมาทางเขา
เป็นไปได้หรือไม่ ที่เซี่ยวฉวินจะเดาได้แล้ว?
"… ข้าสงสัยนัก ว่าผู้หลอมโอสถอัจฉริยะคนนั้นกับเจ้า ผู้ใดจะเหนือชั้นกว่ากัน…แต่จะอย่างไร พวกเจ้าล้วนเป็นตัวประหลาดไม่ธรรมดาทั้งคู่" เซี่ยวฉวินกล่าวออกมาในอึดใจเดียว
ต้วนหลิงเทียนองก็เข้าใจทันที จากคำที่เซี่ยวฉวินกล่าวมา ตัวมันยังไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนๆเดียวกับผู้หลอมโอสถคนนั้น
"ผู้หลอมโอสถอัจฉริยะนั่น ไม่ใช่ว่าเป็นต้วนหลิงเทียนหรอกหรือ?" เซี่ยวหยูที่จับจ้องต้วนหลิงเทียนอยู่กล่าวโพล่งขึ้นมา จนแทบทำให้หัวใจของต้วนหลิงเทียนพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ
เซี่ยวหยูนั้นเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณที่แหลมคมอย่างมาก และตอนนี้สัญชาตญาณของเขามันร้องบอกเขาว่า ผู้หลอมโอสถอัจฉริยะวัย 18 ปีที่ปรากฏตัวขึ้นที่สมาคมผู้หลอมโอสถวันนั้น เป็นต้วนหลิงเทียน
"ข้ามั่นใจว่าไม่ใช่" เซี่ยวฉวินส่ายหัว
"แล้วเจ้าแน่ใจได้ยังไงเล่า? เจ้าเองก็ยังไม่เคยเห็นเขาไม่ใช่หรือไร" เซี่ยวหยูกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
"แน่นอนว่าข้าเองไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่อย่าได้ลืมไปว่า พี่ชายข้าพบเจอเขามาจังๆ … ข้าเองก็กล่าวถามพี่ชายแล้วว่าเขาเป็นอย่างไร แต่พี่ชายก็บอกว่าหน้าตาและรูปร่างของเขานั้นแลธรรมดาๆ ไม่มีอันใดโดดเด่น แล้วเจ้าคิดว่าคนที่พี่ชายข้ากล่าวอธิบายมาเช่นนี้จะเป็นต้วนหลิงเทียนได้หรือ? " เมื่อเซี่ยวฉวินกล่าวจบก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่น …
ในแง่ของรูปร่างหน้าตาของเขานั้น ไม่อาจใช้คำว่าธรรมดาๆ ไม่มีอันใดโดดเด่นมากลาวได้ เพราะหน้าตาของเขานั้นหล่อเหลาและดูดีอย่างมาก ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ธรรมดา’ แม้แต่น้อยหากผู้มองยังตาไม่บอด…