สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 204 หาที่ตาย!
"โฮ่ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 3 รึ?" ต้วนหลิงเทียนจับจ้องภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณจำนวนมากมายที่ลอยเด่นหราอยู่เหนือศีรษะชายวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมมุมปากที่แสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนนั้นหาได้กล่าวคำอันใด ทำเพียงจับจ้องต้วนหลิงเทียนมาด้วยแววตาอำมหิตไร้อารมณ์อื่นใด
"เจ้าน่ะเหรอที่จับตาดูข้ามาตั้งแต่เช้า?" น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนยามเอ่ยวาจาครั้งนี้ฟังดูไร้เรื่องราว ดั่งเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่ได้มีอะไรคุกคามเขาได้แม้แต่น้อย
"นามกระเดื่องเลื่องระบือว่าอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล มิใช่ชั่วจริงๆ ถึงขั้นจับสัมผัสได้ว่าข้าเฝ้าจับตามองเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว ทั้งๆที่ตัวข้าเองก็คิดว่าปกปิดร่องรอยและระมัดระวังดีแล้วแท้ๆ" ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาพร้อมแสดงท่าทางประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากเขาคาดไม่ถึงจริงๆว่า ต้วนหลิงเทียนจะจับสัมผัสการคงอยู่ของเขาได้ตั้งแต่แรก
"เจ้าคงไม่ใช่ทหารของกองกำลังมังกรเหินที่แท้จริงสินะ?" ต้วนหลิงเทียนหรี่ตามองชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง ชายวัยกลางคนตรงหน้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 3 ทว่าชุดเกราะของมันนั้นมันเป็นชุดเกราะธรรมดาสำหรับทหารของกองกำลังมังกรเหินเท่านั้น! ไม่ใช่แม้กระทั่งนายสิบด้วยซ้ำ! …
ต้วนหลิงเทียนไม่มีวันยอมรับว่านายทหารที่มีระดับบ่มเพาะสูงถึงขั้นนี้จะเป็นเพียงนายทหารไร้ยศศักดิ์ภายในกองกำลังมังกรเหิน!
"เจ้าฉลาดไม่เบา" ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับคำ "ข้าไม่แม้แต่จะเป็นทหารของกองกำลังมังกรเหินด้วยซ้ำ"
"มีความสามารถถึงขั้นเล็ดรอดแฝงตัวเข้ามาในกองกำลังมังกรเหิน ซ้ำยังไม่เป็นที่ผิดสังเกตหรือเปิดเผยตัวตนให้ผู้ใดล่วงรู้แม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าจะมีฐานะไม่ธรรมดาแล้ว… ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าผู้ใดกันที่ส่งเจ้ามาเช่นนี้?" แววตาฉลาดเฉลียวของต้วนหลิงเทียนทอประกายออกมา เขาจับจ้องชายตรงหน้าราวกับจะล้วงข้อมูลมันจนหมดสิ้น
"คนตายใยต้องรู้เรื่องราวมากมาย" ชายวัยกลางคนไม่สนใจคำถามของต้วนหลิงเทียน เขาก้าวออกมาอีกครั้ง ทวงท่าของเขาฉายชัดถึงความมั่นใจราวกับจะเหยียบย่ำผืนฟ้าไว้ใต้ฝ่าเท้า เงาร่างช้างแมมมอธโบราณจำนวน 400 ตัวที่พึ่งจางหายไปไม่นานก่อร่างปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง…
"เจ้าแน่ใจนักหรือ ว่าข้าต้องตายแน่แล้ว?" ประกายตาของต้วนหลิงเทียนวาวโรจน์ขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มแสยะอย่างมันใจพลันเผยออกมาจากมุมปากของเขา
"หืม?" ชายวัยกลางคนเริ่มบังเกิดความระวังเล็กน้อยเมื่อเห็นทีท่ามั่นใจของต้วนหลิงเทียนที่แสดงออกมา เขาพยายามตรวจสอบสภาพแวดล้อม รวมถึงจับสัมผัสกลิ่นอายของผู้คนรอบๆอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อไม่พบร่องรอยของผู้ใดเขาพลันกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน "เจ้าคิดว่าการเสแสร้งกระทำตัวลึกลับเช่นนี้ มันจักช่วยให้เจ้าหลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้หรือไร? เจ้าอย่าได้กระทำเช่นนี้ให้เสียเวลาอีกต่อไปจะประเสริฐกว่า …วันนี้หามีผู้ใดสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้!"ชายวัยกลางคนเริ่มก้าวเท้ามาข้างหน้า พลังงานต้นกำเนิดของมันปะทุแผ่ซ่านออกมาทั่ว ร่างมันหมายเก็บงานที่ได้รับมอบหมายมาแล้ว
"หื้ม มันจะเป็นแบบนั้นแน่หรือ?" ต้วนหลิงเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย และที่สำคัญเขายังไม่ได้ขยับไปไหนสักก้าว!
"ข้าว่า วันนี้หามีผู้ใดสามารถช่วยเจ้าได้มากกว่า!" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงเคร่งขรึมเจือโทสะพลันดังขึ้นจากด้านหลังของชายวัยกลางคน
พริบตานั้นร่าง 2 ร่างพลันปรากฏอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนราวภูตผี หนึ่งในนั้นตบฟาดฝ่ามือไปบนกลางหลัง พร้อมกระทืบซ้ำไปที่เท้าของมันทำให้ร่างของชายวัยกลางคนต้องแน่นิ่งไปที่พื้น ไม่อาจขยับเขยื้อนหลบหนีได้
เมื่อร่างของชายวัยกลางคนถูกซัดอย่างรุนแรงขนฟาดกับผืนธรณีมันกระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนที่จะฝืนรั้งศีรษะหันกลับมาดูผู้ที่ทำร้ายมันสาหัส และภาพที่มันเห็นด้านหลังก็แทบทำให้ดวงตาเขาถลนออกจากเบ้า
สวรรค์!
นี่เขาเห็นอะไรอยู่กันแน่?!
เงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 1,000 ตัว!
คนที่ทำร้ายเขากลับเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7!
"เรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตระกูลต้วน ไม่ได้ส่งผู้ใดมาคุ้มครองต้วนหลิงเทียนเลย? พวกมันส่งคนระดับนี้มาด้วยซ้ำ!" ความหนาวเหน็บเริ่มกัดกินใจของชายวัยกลางคน ประกายตาของมันฉายชัดออกมาถึงความสิ้นหวัง อย่างถึงขีดสุด
"นายน้อย" 1 ใน 2 คนซัดชายวัยกลางคนจนนอนแน่นิ่งไปที่พื้นก่อนที่จะกระทืบเหยียบมันไว้ แน่นอนย่อมป็นจางเฉวียน
ส่วนอีกคนก็ย่อมเป็นจ้าวกัง
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหู ชายวัยกลางคนที่หน้าทิ่มดินอยู่ ก็พยายามฝืนรั้งศีรษะหันกลับมามองอีกครั้ง มันเพ่งสายตาแหวกฝ่าความมืดออกไป กระทั่งเห็นใบหน้าของผู้กล่าววาจา รวมทั้งร่างของคนที่ปรากฏตัวออกมาได้อย่างชัดเจน มันเห็นจางเฉวียนและจ้าวกังได้ชัดถนัดตา!
"ทะ…ท่านแม่ทัพจาง ท่านแม่ทัพจ้าว!" ม่านตาของชายวัยกลางคนหดแคบลง หลังจากได้เห็นจางเฉวียนและจ้าวกังชัดถนัดตา
จางเฉวียนและจ้าวกังนั้นเป็นถึงแม่ทัพคนสนิท ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารม้าพระยาเรืองฤทธิ์ นี่เหวี่ย! อีกทั้ง 2 คนนี้ยังมีสถานะสูงส่งอย่างมากภายในกองทัพของอาณาจักรนภาล่อง ทหารมากมายหลายคนย่อมจดจำทั้ง 2 คนได้
"อะไร เจ้ารู้จักข้าด้วย?" จางเฉวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะออกแรงเหยียบขาของชายใต้ฝ่าเท้าให้แรงขึ้น
สีหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ประกายตาของมันหม่นแสงลงซ้ำยังเต็มไปด้วยความสับสนร้อนรนไม่เข้าใจ ผู้ใดจักบอกข้าได้บ้างว่ามันเกิดเรื่องบัดซบอันใดขึ้นกันแน่?
เหตุใดตัวอันตรายอย่าง 2 คนนั่นถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?
นอกจากนี้ดูเหมือนพวกเขาจะลอบติดตามและให้ความคุ้มครองต้วนหลิงเทียนเช่นนี้อีก!
ไม่ใช่เด็กต้วนหลิงเทียนผู้นี้เป็นเพียงสายโลหิตหลักของตระกูลต้วนหรือไร? ใยตัวอันตรายยากตอแยอย่าง 2 คนนี่กลับลดตัวลงมาคุ้มครองต้วนหลิงเทียนเช่นนี้เล่า!…
ทหารวัยกลางคนนั้นสำนึกได้ทันที ว่าภารกิจนี้มันเป็นภารกิจฆ่าตัวตายอย่างแท้จริง!
"ตัวบัดซบตัวใดมันส่งเจ้ามาสังหารนายน้อย?" สีหน้าของจางเฉวียนแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต จิตสังหารกระหายเลือดชั่วชีวิตของมันแผ่ซ่านออกมากดทับชายวัยกลางคนจนขาสั่น ส่วนต้วนหลิงเทียนเพียงยืนยิ้มราวกับถูกสายลมโชยพัดผ่านมาเท่านั้น
"ทานแม่ทัพจาง … ขะ … เขามิใช่คนของตระกูลต้วนหรอกหรือ? … เหตุใดท่านทั้งสอง … " ทหารวัยกลางคนสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา มันอยากรู้นักว่าวันนี้เกิดอาเพศอันใดขึ้นกับมันกันแน่…
เมื่อจางเฉวียนและจ้าวกังได้ฟังคำกล่าวถามของทหารวัยกลางคน ทั้งคู่ล้วนหันไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างพร้อมเพรียง ราวกับจะกล่าวถามต้วนหลิงเทียนว่าเรื่องราวนี้เปิดเผยได้หรือไม่
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็สัมผัสได้ว่าทหารวัยกลางคนผู้นี้ใจแข็งใช้ได้ มันไม่คิดเปิดเผยผู้บงการมันมาเป็นแน่ และหากเขาไม่สามารถทำลายปราการป้องกันสุดท้ายภายในใจของมันได้อย่างสมบูรณ์ เกรงว่ามันคงไม่คิดเปิดเผยผู้ที่จ้างวานมาให้ฆ่าเขาเป็นแน่
"แน่นอนว่านายน้อยย่อมเป็นสมาชิกของตระกูลต้วนคนหนึ่ง แต่จะอย่างไรนายน้อยก็นับว่าเป็นหลานชายคนหนึ่งของท่านพระยา …พวกข้าทั้งสองจะอย่างไรก็เป็นแม่ทัพของท่านพระยา แน่นอนว่าต้องถูกส่งมาคุ้มครองนายน้อย" จางเฉวียนค่อยๆกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อย่างไรก็ตามเมื่อคำกล่าวของเขาเข้าหูของชายวัยกลางคนนั้น มันดั่งหมุดร้อนปักทะลวงแก้วหูของมัน!
หลานท่านพระยา?
ตัวมันย่อมรู้ดีว่าพระยาที่จางเฉวียนกล่าวถึงนั้นคือใคร แน่นอนว่าย่อมเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารม้า พระยาเรืองฤทธิ์ นี่เหวี่ย ซึ่งเป็นตัวตนอันเป็นที่เคารพอย่างสูงภายในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้!
ต้วนหลิงเทียนคนนี้กลับเป็นหลานชายของท่านพระยา?
"นายน้อย โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด … ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยโง่เขลา ไร้สามารถ มีตาหามีแววไม่ มิอาจเห็นขุนเขาไท่ซานตรงหน้า … " สีหน้าของทหารวัยกลางคนอ่อนแอราวกับปลาขาดน้ำมาหลายวัน หน้ามันซีดไร้เลือดฝาดอย่างแท้จริง มันพยายามกล่าววาจาร้องขอชีวิตจากต้วนหลิงเทียน
มันรู้แจ้งเห็นจริงต่อการกระทำบัดซบของตัวเองแล้ว วันนี้นับว่ามันกระโจนลงหุบเหวแสวงหาที่ตายอย่างแท้จริง!
"ใครส่งเจ้ามา พูด?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
"นายน้อย หากข้าน้อยผู้ต่ำต้อยโง่เขลากล่าวบอกท่านไป ท่านจักละเว้นชีวิตของผู้ต้อยนี้ได้หรือไม่?" ประกายตาของชายวัยกลางคนฉายออกมาถึงแสงแห่งความหวังประกายสุดท้าย
"เจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะตั้งคำถามหรือต่อรองกับข้า" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ตั้งแต่ที่เจ้ารู้จักตัวตนของจางเฉวียนจ้าวกัง ซ้ำเจ้ายังมีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับวิญญาณแรกก่อตั้งเช่นนี้ สถานะทางทหารของเจ้าภายในกองทัพของอาราจักรนภาล่องแน่นอนว่าย่อมไม่ได้ต่ำต้อย … หรือเจ้ายังคิดว่าข้าจะไม่สามารถค้นหาตัวตนหรือพื้นหลังเจ้าได้ โดยการอาศัยความสามารถของท่านลุงนี่เหวี่ยของข้า? "
ทหารวัยกลางคนทำได้เพียงยิ้มออกมาอย่างขื่นขม
หากท่านพระยาลงมือตรวจสอบแล้วล่ะก็ตัวตนของเขาคงถูกค้นพบได้อย่างง่ายดาย
"นายน้อย…ข้าผู้ต่ำต้อยเป็นนายกองคนหนึ่ง ของกองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวง"ชายวัยกลางคนก้มหัวลงพร้อมกล่าวเปิดเผยฐานะตัวเอง
เขามั่นใจว่า เพียงกล่าววาจาเท่านี้ ก็หาใช่เรื่องยากอะไรสำหรับชายหนุ่มตรงหน้าที่จะคาดเดาถึงผู้บงการ
"กองกำลังทหารองครักษ์?" แววตาของต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปในอากาศอย่างเลื่อนลอย "เป็นมันจริงๆ …ชวีลู่!"
"ชวีลู่นั่นมันกล้าที่จะให้ทหารองครักษ์ของมัน แฝงตัวเข้ามาในกองกำลังมังกรเหินเช่นนี้จริงๆ มันไม่รู้หรือไรนี่มันข้อห้ามร้ายแรงของกองทัพ ?" ใบหน้าของจางเฉวียนกลับกลายเป็นดุร้ายน่ากลัวเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ประกายตาของมันเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโชนขึ้น
สีหน้าของจ้าวกังเองก็ไม่น่าดูด้วยเช่นกัน
"ท่านแม่ทัพ ละเว้นข้าด้วย … " ทหารวัยกลางคนรู้สึกถึงเสียงกระซิบแผ่วเบาของความตาย ยามนี้มันหวังเพียงรอดชีวิตกลับไปเท่านั้น
จางเฉวียนและจ้าวกังหันมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
"จัดการให้เรียบร้อย" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส น้ำเสียงของเขาราวกับคนไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น กล่าวจบเขาก็หันหลังเดินไปต้นไม้ก่อนที่จะคลายเข็มขัดปลดทุกข์เบา ก่อนที่จะกลับกระโจมที่พักไปหลังจากปลดทุกข์เสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป จางเฉวียนก็ลงมือดับชีวิตชายวัยกลางคนที่ไร้หนทางต่อต้านด้วยการฟาดทำลายศีรษะจนแตกกระจาย… มันไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองสิ้นลมหายใจเพราะอะไร
หลังจากนั้นจางเฉวียนและจ้าวกังก็จัดการปกปิดร่องรอยทุกอย่างรวมทั้งเผาทำลายซากศพของทหารวัยกลางคน ก่อนที่จะปกปิดตัวตนและกลับไปลอบติดตามต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
"ต้วนหลิงเทียน ใยเจ้าไปนานนักเล่า?" เซี่ยวฉวินกล่าวถามออกมาหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงกระโจม
ต้วนหลิงเทียนหันกลับไปถลึงตามองเซี่ยวฉวินก่อนจะแสร้งกล่าวออกไปด้วยความขุ่นเคือง “ข้าปลดทุกข์หนักไม่ได้หรือไร?”
ตาของต้วนหลิงเทียนหรี่ลง ในขณะที่นอนเอนหลังลงไป เพลิงโทสะเริ่มคุกรุ่นในอกของเขา
ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าผู้บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์ อย่างชวีลู่คงไม่คิดรามือปล่อยเขาไปอย่างง่ายดาย แต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะไร้ยางอาย ถึงขนาดกล้าส่งคนมาลอบสังหารเขาในระหว่างการเดินทางไปยังสนามรบที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเช่นนี้!
"ชวีลู่ … " ความคิดฆ่าฟันผู้คนเริ่มบังเกิดขึ้นในใจของต้วนหลิงเทียน
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ดวงตะวันเพียงปรากฏมาให้เห็นลิบๆทางทิศตะวันออกเท่านั้น
"ทั้งหมดตื่นมาเก็บข้าวของ อีก1 เค่อออกเดินทาง!" เสียงดังฟังชัดของแม่ทัพนี่เฝินดังขึ้น ทำลายความเงียบยามอรุณรุ่ง เหล่านักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่หลับใหลอย่างมีความสุขหรือจมอยู่กับมายาฝันพลันต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นพวกมันก็เริ่มลุกออกจากกระโจม เก็บข้าวของ
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเดินออกจากกระโจม เขาก็สังเกตเห็นว่าเหล่าทหารของกองกำลังมังกรเหินทั้ง 10,000 คนนั้นล้วนจัดเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยหมดสิ้นแล้ว กระโจมที่ยังเหลืออยู่มีเพียงของนักศึกษาจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลเท่านั้น
"กองกำลังมังกรเหิน นี่สมแล้วที่ถูกนับเป็นกองกำลังที่มีอำนาจสูงส่งในกองทัพของอาณาจักรนภาล่อง!" ต้วนหลิงเทียนยกย่องกองกำลังนี้อยู่ในใจของเขา
ไม่นานหลังจากนั้นนักศึกษาจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลก็ทำการเก็บกระโจมละข้าวของเสร็จสิ้น พร้อมออกเดินทาง
เมื่อแม่ทัพนี่เฝินเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วก็ออกคำสั่งเคลื่อนทัพ กองทหารจำนวน 10,000 ล้วนควบขี่อาชามุ่งทะยานออกไปอย่างแกร่งกล้า ข้ามภูผามหานทีอย่างสะเทือนเลือนลั่น
ไม่ว่ากองทัพเดินทางถึงที่ใด หากในเส้นทางมีกองคาราวานค้าขายหรือ ขบวนพ่อค้า ทั้งหมดล้วนหลบเปิดทางให้ทั้งสิ้น หาได้กล้าเผชิญหน้ากับความองอาจของทัพทหารนี้แม้แต่น้อย
2 เดือนผ่านไป ในที่สุดต้วนหลิงเทียนและสหายรวมถึงกองกำลังมังกรเหินนับ 10,000 ก็เดินทางเข้าสู่ช่วงสุดท้าย เป้าหมายปลายทางอยู่ไม่ไกลแล้ว
เมืองที่ตั้งตระหง่านอย่างแข็งแกร่งทางสุดขอบตะวันตกเฉียงเหนือนี้มีนามว่าเมือง รุ่งโรจน์
เมืองรุ่งโรจน์นี้นับว่าตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลมอย่างมาก ไม่ต่างอะไรกับหน้าด่านของอาณาจักรนภาล่องแม้แต่น้อย
ส่วนระยะทางห่างออกไปราวๆ 90 ลี้ทางด้านหน้าของเมือง รุ่งโรจน์นั้น คือเมืองติดกับชายแดนดานใต้ของอาณาจักรหนันหมัน นามว่าเมืองชัยชนะ… และด้วยความเป็นเมืองหน้าด่านสุดขอบชายแดนที่ประจันหน้ากันเช่นนี้ แน่นอนว่าสถานการณ์ย่อมไม่สู้ดีสักเท่าไร
ตราบใดที่ 1 ใน 2 อาณาจักรสามารถสั่งสมกำลังพล และมีความเข้มแข็งมากพอ ทั้งคู่ล้วนบังเกิดความคิด ส่งกำลังพลรุกประชิดตีชิงแย่งเมืองติดขอบชายแดนของอีกฝ่าย ก่อนที่จะปล้นสะดมแย่งชิงทุกอย่างมา
ตลอดระยะเวลา 10,000 กว่าปีที่ผ่านมาเรื่องราวล้วนเป็นเช่นนี้
ทว่าเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมาเมืองชัยชนะได้กระตุ้นความตื่นตัวให้แก่เมืองรุ่งโรจน์ พวกมันทำการยั่วยุและหลอกล่อ และเตรียมพร้อมยกทัพมาตีชิงเมืองรุ่งโรจน์ ทำให้เมืองรุ่งโรจน์อยู่ในสภาวะกดดันและถูกบีบคั้นอย่าหนัก จึงต้องทำการเรียกร้องขอกำลังสนับสนุนจากเมืองหลวง
"เมืองรุ่งโรจน์นี้หาได้ใหญ่โตอะไร มองแล้วคงเทียบเท่าเมืองออโรร่าเท่านั้น" ต้วนหลิงเทียนทอดสายตามองออกไปไกลๆ ในขณะที่จับจ้องไปยังผังเมืองรุ่งโรจน์นั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“จะอย่างไรหากไม่ใช่เมืองประจำมณฑล หรือเมืองหลวงแล้ว เมืองอื่นๆ ล้วนคล้ายคลึงหาได้แตกต่างกันสักเท่าไร”
ไม่นานทัพทหารทั้ง 10,000 ของกองกำลังมังกรเหินก็บรรลุถึงเมืองรุ่งโรจน์ เมื่อถึงบริเวณหน้าประตูเมือง ฝีเท้าของม้าก็ชะลอตัวลง ก่อนที่จะเข้าเมืองอย่างองอาจ
แม้ว่าขนาดของเมืองรุ่งโรจน์จะไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองโลหิตเหล็กหรือเมืองออโรร่าสักเท่าไร แต่เมืองนี้ก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน ทางตอนใต้ของเมืองเต็มไปด้วยร้านค้าและห้างร้านต่างๆราวกับแพทอติดกัน ผู้คนมากมายล้วนอาศัยและเดินจับจ่ายซื้อของทางฝั่งนี้ ส่วนฝั่งตอนเหนือของเมืองนั้น จะเป็นค่ายทหาร กระโจมต่างๆของกองทัพ รวมทั้งบริเวณกำแพงเมืองจะมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ
"โอ้ นี่เป็นกองกำลังมังกรเหิน !"
"กองกำลังมังกรเหินมาถึงแล้วเช่นนี้! ที่นี้ไอพวกทัพใต้บัดซบของเมืองชัยชนะอัปรีย์นั่น มันต้องย่อยยับเป็นแน่!"
"ขอท่านพระยาจงเจริญ!"
…
ทุกหนแห่งที่กองกำลังมังกรเหินยาตราผ่าน ชาวเมืองล้วนโห่ร้องอย่างยินดี ถ้อยคำสรรเสริญล้วนถูกกล่าวออกมา ประชาชนของเมืองทุกคนล้วนนับถือและเทิดทูนกองกำลังที่จะมาช่วยเหลือพวกมันนี้อย่างถึงที่สุด