หน้าแรก Amnovel
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
ค้นหา
ค้นหาขั้นสูง
เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
  • เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
Prev
Next

สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 161 คำเชิญจากจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์

  1. หน้าแรก
  2. สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์
  3. บทที่ 161 คำเชิญจากจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์
Prev
Next

รุ่งอรุณมาเยือน ต้วนหลิงเทียนเองก็ตื่นมาอย่างร่าเริงแจ่มใส วันนี้เขาก็ไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพลอย่างเป็นปกติสุข เหมือนว่าเมื่อวานก็ไม่ได้มีเรื่องราวร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น

แต่ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงความสงบ ก่อนพายุลูกใหญ่จะมา …

แม้จะเป็นตอนนี้เอง…ก็เริ่มบังเกิดคลื่นใต้น้ำบางอย่างที่เริ่มก่อตัวโดยที่เขาไม่รู้บ้างแล้ว…

ตอนเที่ยงต้วนหลิงเทียนเองก็ยังคงมารับประทานอาหารที่โรงอาหารกับพวกเซี่ยวหยูและคนอื่นๆอย่างเป็นปกติ

ทันใดนั้นเอง ก็มีนักศึกษารุ่นพี่ชั้นสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาต้วนหลิงเทียน พร้อมกับส่งเทียบเชิญมาให้ "ต้วนหลิงเทียน องค์ชาย 3 นั้นคิดที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าผู้อัจฉริยะมากพรสวรรค์ของเมืองหลวงในอีก 10 วันหลังจากนี้ องค์ชายได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาไม่น้อยจึงให้ข้านำเทียบเชิญนี้มาส่ง" นักศึกษารุ่นพี่คนนั้นหาได้รอฟังคำตอบกลับของต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด เขากล่าววาจาที่ต้องกล่าวจบเขาก็วางเทียบเชิญและหันหลังจากไปในทันที

องค์ชาย 3

ต้วนหลิงเทียนเปิดเทียบเชิญออกดู เขาก็พบข้อความเชิญชวนที่ดูสุภาพไม่น้อย

ชื่อที่ลงนามเอาไว้คือ “ฉู่หยาง”

ต้วนหลิงเทียนเองก็เคยได้ยินมาก่อนว่า ภายในเมืองหลวงแห่งนี้ตระกูลราชวงศ์ที่ได้รับการเคารพยกย่องและเป็นที่นับหน้าถือตามากที่สุดคือตระกูล ฉู่

"ฮ่าๆ … ต้วนหลิงเทียนองค์ชาย 3 นับว่าเป็นที่รู้จักกันในเรื่องผู้ที่ชอบคบหากับเหล่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ทุกคนที่ได้รับเทียบเชิญไปงานเลี้ยงครานี้คงมิพ้นเหล่ามังกรในหมู่มวลมนุษย์ทั้งสิ้น หากเจ้าได้รับความสนใจจากเขานั่นน่าจะดีไม่น้อย" เซี่ยวฉวินกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ แต่ดูเหมือนจะแฝงความกังวลบางอย่าง

ต้วนหลิงเทียนเก็บเทียบเชิญก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย “แล้วองค์ชาย 3 ผู้นี้ปกติแล้วเป็นคนเช่นไรอย่างนั้นหรือ?”

เทียบเชิญนี้ดูเหมือนจะถูกร่างขึ้นมาด้วยตัวองค์ชาย 3 เอง และที่สำคัญเนื้อหาในเทียบเชิญนั้นก็ไม่ได้มีข้อความที่สื่อถึงการยกตนข่มท่านเอาไว้แม้เพียงน้อยนิด ราวกับว่าองค์ชายผู้นี้เสมือนให้เกียรติทุกคนอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน…

จากประสบการณ์ของหลิงเทียน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล

“องค์ชาย 3 นั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือมากในเมืองหลวงแห่งนี้ เจ้าสามารถได้ยินเสียงคำร่ำลือที่กล่าวถึงตัวเขาได้จากประชาชนแทบทุกคน นั่นเพราะองค์ชาย 3 ผู้นี้มักจะออกมาหาฐานเสียงจากประชาชนและช่วยเหลือชาวเมืองในเรื่องต่างๆไม่น้อย กล่าวได้ว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด เขาเป็นผู้มีสัมพันธ์กับชาวเมืองมากที่สุด” เซี่ยวหยูค่อยๆกล่าวออกมา

“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ องค์ราชาของอาณาจักรแห่งนี้ก็สุขภาพไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนยิ่งอายุมากขึ้นเขาจะยิ่งเจ็บป่วยออดๆแอดๆ นั่นหมายความว่าช่วงนี้ถึงเวลาที่จะแข่งขันกันช่วงชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชายทั้งหลาย แน่นอนนั่นหมายถึงองค์ชาย 3 คนนี้ด้วย เรื่องนี้ไม่บอกเจ้าก็รู้ว่าเหล่าองค์ชายทั้งหลายคงพยายามแข่งขันกันในทางลับ ต้วนหลิงเทียนเจ้าเองก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะไปร่วมงานเลี้ยงขององค์ชาย 3 ในอีก 10 วันหลังจากนี้ นั่นเพราะหากเจ้าไปร่วมงานเลี้ยง แน่นอนว่าเจ้าต้องกลายเป็นหนามตำตาขององค์ชายคนอื่นๆ แน่นอน…”

“และเจ้าก็คงรู้ดีว่าองค์ชาย 5 เองก็หวังในบัลลังก์นี้ด้วยอีกทั้งเขายังเป็นผู้ที่มีโอกาสในการสืบทอดบัลลังก์และกลายเป็นองค์ราชาคนต่อไปมากที่สุด เช่นนั้นหากเจ้าเลือกที่จะอยู่ข้างองค์ชาย 3 แล้วล่ะก็ ถึงแม้ว่าองค์ชาย 5 จะรู้ว่าเจ้าเป็นสาวกสายหลักของตระกูลต้วน เขาก็ยังเลือกที่จะจัดการกับเจ้าอย่างแน่นอน นั่นเพราะพรสวรรค์ตามธรรมชาติของเจ้ามันมากล้นเกินไป เขาอาจเลือกที่จะสังหารเจ้าทิ้งเสีย ก่อนที่เจ้าจะได้มีโอกาสเติบโตเป็นภัยต่อเขาในอนาคต” เซี่ยวฉวินกล่าวออกมารวดเดียว

ในมุมมองของเขานั้น ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนควรพยายามหาทางบ่ายเบี่ยงและข้ออ้างที่จะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองนี่ เพราะเรื่องบางอย่างไม่ยุ่งจะเป็นการดีที่สุด

เพราะเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว มันอาจจะนำหายนะมาสู่ตัว

แม้แต่ 3 ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงเองยังไม่อนุญาตให้สาวกบุตรหลานของตระกูลเข้าไปมีส่วนร่วมกับการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองของตระกูลเชื้อพระวงศ์อย่างเด็ดขาด

"องค์ชาย 5?" รอยยิ้มบางๆค่อยๆเกิดขึ้นที่มุมปากของต้วนหลิงเทียน ประกายตาของเขาเรืองวูบขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าแค่เข้าร่วมงานเลี้ยง แต่เขาถึงขั้นคิดที่จะกำจัดข้าทิ้งก่อนที่ข้าจะเติบโตเลยอย่างนั้น จริงหรือ?”

"ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าคงไม่คิดที่จะเข้าร่วมงานเลียงอะไรนี่จริงๆหรอกนะ? เรื่องนี้เจ้าคงต้องคิดให้รอบคอบเสียหน่อย" เซี่ยวฉวินคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะรับฟังข้อเสนอแนะของเขาและไม่เข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ดูจากความตั้งใจที่ฉายชัดออกมาตอนนี้ ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนจะตั้งใจเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้

"ทำไมข้าถึงไม่ควรไปกันเล่า? ไม่ใช่ว่ามันก็แค่ไปกินอาหารมื้อเดียวหรอกรึไง?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาอย่างไม่แยแส

แค่มือเดียว? มุมปากของเซี่ยวฉวินถึงกับกระตุก เขาหันไปส่งสายตากับเซี่ยวหยูให้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจนี้ของหลิงเทียนทันที

น่าเสียดายถึงแม้เซี่ยวหยูจะช่วยพูดอย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจของต้วนหลิงเทียนได้ เขาเพียงยิ้มรับความห่วงใยของเซี่ยวหยูเท่านั้น ไม่ได้กล่าวหรือสนใจอะไรกับมัน

ตลอดทั้งช่วงบ่ายต้วนหลิงเทียนเพียงนั่งบ่มเพาะพลังอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดิมที่อยู่ด้านข้างลานฝึกซ้อม เขากินโอสถเพิ่มกำเนิดและนั่งบ่มเพาะไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน …ตราบใดก็ตามที่มีเวลาว่างเขาจะใช้มันไปกับการบ่มเพาะ สิ่งที่เขาต้องกระทำอย่างเร่งด่วนตอนนี้คือบ่มเพาะพลัง และพยายามตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ให้รวดเร็วที่สุด!!

นั่นเพราะเมื่อตัวเขาตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้เมื่อไหร่ เขาจะสามารถยกระดับเปลวเพลิงหลอมโอสถ เพื่อให้ตัวเขากลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 8 และทีนี้เขาเองก็จะสามารถหลอมกลั่นโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 8 ให้แก่ฉงเฉวียน นั่นจะทำให้ระดับบ่มเพาะของฉงเฉวียนหวนกลับไปอยู่ในระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ

และเมื่อถึงตอนนั้นเรื่องราวทั้งหมดรวมทั้งปัญหาที่เขากำลังประสบอยู่ จะถูกแก้ไขได้ง่ายดาย จากดาบที่ทรงพลังเล่มนี้ของเขา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะใกล้ค่ำแล้ว

ต้วนหลิงเทียนพลันได้สติขึ้นมาหลังจากที่บ่มเพาะเป็นเวลานาน เขากระโดดลงจากต้นไม้และ ออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลพร้อมกับเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวิน

"หืม นั่นมันรถม้าของจวนเจ้าพระยานี่นา" ด้วยสายตาที่แม่นยำของเซี่ยวฉวินเขาสามารถระบุได้ทันทีว่ารถม้าที่จอดอยู่หน้าสถาบันบ่มเพาะขุนพลและมีทหารขับขี่อาชาเหงื่อโลหิตประกบ 2 ข้างนั้น เป็นรถม้าของจวนเจ้าพระยาอย่างแน่นอน

หนึ่งในนั้นเป็นทหารเกราะเบา ส่วนข้างๆอีกคนนั้นเป็นชายหนุ่มในชุดสุภาพ

ชายหนุ่มคนนี้อายุราวๆ 20 ปี อีกทั้งเขายังแขวนป้ายที่แสดงฐานะนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลไว้ที่เอวอีกด้วย เมื่อเขาสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนเดินออกมาจากสถาบัน เขาก็หันไปกล่าวกับชายวัยกลางคนด้านข้างทันที "ท่านพ่อชายหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงคนนั้น คือต้วนหลิงเทียน"

ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเดินออกจากประตูหน้าของสถาบันบ่มเพาะขุนพลมา เขาก็พบคนสองคนที่ประกบรถม้าอยู่ควบขี่ม้ามาหาเขาก่อนที่จะหยุดลง

ไม่นานนักชายวัยกลางคนที่ควบม้ามาหยุดตรงหน้าเขา หลังจากที่ลงจากหลังม้ามาแล้ว เขาก็เดินเข้ามาพยักหน้าให้กับต้วนหลิงเทียนพร้อมทั้งกล่าวออกมาอย่างสุภาพว่า "ข้าขอถามท่านหน่อยได้หรือไม่ ว่าท่านคือนายน้อยต้วนหลิงเทียนรึเปล่า?"

"แล้วเจ้าคือ?" ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนฉายแววฉงนสนเท่ห์ออกมา เพราะเขาไม่รู้จักชายวัยกลางคนผู้นี้

"ข้ามีนามว่า ผังหวู่ เป็นรองแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของท่านแม่ทัพใหญ่นี่ และนี่คือบุตรชายของข้านามว่า ผังรุ่ย วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อกระทำตามคำสั่งของท่านพระยา เพื่อเรียนเชิญนายน้อยต้วนหลิงเทียนไปยังจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์" ผังหวู่กล่าวออกมาอย่างสุภาพ เขาไม่แม้แต่จะมองหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลนเพราะเป็นเพียงผู้เยาว์แม้แต่น้อย

"แม่ทัพใหญ่นี่ ที่เจ้ากล่าวถึงนี่ใช่พระยานี่เหวี่ยหรือไม่?" คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดเล็กน้อยในขณะที่กล่าวถาม

"ถูกต้อง" ผังหวู่พยักหน้ารับคำ

หัวใจของต้วนหลิงเทียนเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ยผู้นั้นล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว?

‘เดี๋ยวนะ เป็นไปไม่ได้…หากคิดเช่นนั้นหมายความว่า การปลอมตัวของข้ามันใช้การไม่ได้น่ะสิ!’

‘แล้วมันเป็นเพราะอะไรกัน?’

ต้วนหลิงเทียนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่จะอย่างไรจวนเจ้าพระยาก็ไม่มีอันตราย เข้าหันไปร่ำลาเซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉวินก่อนที่จะขึ้นรถม้าเดินทางไปยังจวนเจ้าพระยา

"ท่านรองแม่ทัพผังหวู่ ท่านทราบหรือไม่ว่า ท่านพระยานี่เหวี่ยมีเหตุอันใดถึงเรียกหาข้า?" ต้วนหลิงเทียนดึงผ้าม่านของรถม้าขึ้นก่อนที่จะกล่าวถามผังหวู่

น่าเสียดายที่แม้แต่ตัวผังหวู่เองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน เขาจึงไม่อาจกล่าวคลายความสงสัยของต้วนหลิงเทียนได้

ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาถึงจวนเจ้าพระยา การมาเยือนจวนเจ้าพระยาครั้งนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากเดิมอยู่ไม่น้อย นั่นเพราะว่าวันนี้เขามาที่นี่ด้วยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา

และในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าจวนไปจนพบกับพระยานี่เหวี่ยในที่สุด …

"เจ้า… เจ้าเป็นบุตรของน้องหรูเฟิง, ต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่?" ต้วนหลิงเทียสังเกตเห็นว่านี่เหวี่ยดูจะตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อได้พบกับเขา

หัวใจของต้วนหลิงเทียนกระตุกไปเล็กน้อย ตอนนี้เขาบังเกิดความคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่พระยานี่เหวี่ยผู้นี้จะเป็นสหายกับบิดาที่อาจจะตายไปแล้วของเขา?

"ทักทายท่านพระยา" ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้าให้แก่พระยานี่เหวี่ยเล็กน้อย กล่าวได้ว่านี่เป็นวิธีการทำความทักทายรวมทั้งแสดงความเคารพของเขาอย่างห้วนๆ เพื่อตรวจสอบดูว่าคนตรงหน้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ทว่านี่เหวี่ยไม่ได้สนใจท่าทางแสดงความเคารพอะไรของต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย เขารีบเดินไปหาต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะผายมือออกพร้อมดึงต้วนหลิงเทียนเข้ามากอด ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงดังลั่น "ฮ่า ๆๆ หรูเฟิงมีบุตรที่ดี มีบุตรอันประเสริฐแล้ว … "

เสียงหัวเราะและกล่าวคำของนี่เหวี่ยนั้นเต็มไปด้วยความยินดีและโล่งใจ หาได้มีความเสแสร้งแม้แต่เพียงเศษเสี้ยว

หัวใจของต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ดูเหมือนว่าบิดาที่อาจจะตายไปแล้วของเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับพระยานี่เหวี่ยคนนี้

"ท่านพระยา ท่านเป็นสหายของบิดาข้าหรือ?" ต้วนหลิงเทียนยิงคำถามออกมา

"มาๆ นั่งก่อนๆ ข้าจะบอกกล่าวแก่เจ้าเอง " นี่เหวี่ยพาต้วนหลิงเทียนไปนั่งที่โต๊ะรับรองด้านข้างเขา ก่อนที่จะกล่าวเล่าเรื่องราวในอดีตออกมา ยามที่เขาเล่าถึงเรื่องราวที่เป็นสหายกับต้วนหรูเฟิง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของเขาทำราวกับตัวเขาย้อนไปอยู่ในวัยหนุ่ม เขาเล่าเรื่องราวออกมาอย่างสนุกสนาน

ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ว่า ที่แท้พระยานี่เหวี่ยคนนี้เป็นสหายที่ดีที่สุดของบิดาเขาคนหนึ่ง

ตอนแรกนั้นทั้งคู่ได้เข้าศึกษาที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลปีเดียวกัน ทว่าในตอนแรกก็ไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไร แต่ในไม่ช้าหลังจากตบตีกันไม่นานก็กลับกลายเป็นสหายสนิทกันและนานวันก็ยิ่งสนิทสนมกันราวพี่น้อง ช่างเป็นดั่งคำกล่าว ไม่ตบตีไม่รู้จัก อย่างแท้จริง …

"ฮึ่ม หากไม่ใช่เพราะข้าต้องไปทำสงครามในปีนั้น ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าและมารดาต้องออกไปลำบากเพียง 2 คนแม่ลูกอย่างแน่นอน กล่าวถึงเรื่องนี้ทีไรข้าละอายใจนัก เป็นข้าที่ทำให้น้องหรูเฟิงต้องผิดหวัง" นี่เหวี่ยกล่าวออกมาอย่างเสียใจ

"ท่านพระยา เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะท่านแม้แต่น้อย ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลย" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาสัมผัสได้ว่านี่เหวี่ยผู้นี้เป็นห่วงเขาจากใจจริง

"เทียนน้อยเจ้าอย่าได้สุภาพมากกริยากับข้า … ยามพ่อของเจ้ายังอยู่พวกเรานั้นไม่ต่างอะไรกับพี่น้อง ต่อไปเจ้าเพียงเรียกข้าว่า ลุงนี่ ก็พอ" นี่เหวี่ยกล่าวออกมา แววตาของเขาล่องลอยราวกับระลึกความหลังอยู่

"ได้สิ ลุงนี่" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขารู้สึกชื่นชมในความจริงใจของพระยานี่เหวี่ยผู้นี้นัก

บิดาของเขาได้หายตัวไปหลายปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่านี่เหวี่ยคนนี้ยังคงเป็นห่วงเขาสองแม่ลูกอย่างแท้จริง อีกทั้งยังรักและเอ็นดูเขาราวกับบุตรหลาน มันช่างเป็นเรื่องที่น่าประทับใจสำหรับเขาอย่างมาก

"ท่านพ่อ ข้าได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนมางั้นหรือ?" ตอนนี้เองมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาจากห้องโถงใหญ่ น้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ

แน่นอนว่าเขาคือบุตรชายของนี่เหวี่ย นี่เฝิน!

"เทียนน้อย นี่บุตรชายของข้าเอง เขามีนามว่านี่เฝิน จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนเขาเองก็ยังเคยอุ้มเจ้าตอนที่ยังเป็นทารกด้วยนี่นา" นี่เหวี่ยกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ

"ฮ่าๆๆ อย่างที่ข้าคาดเอาไว้ไม่มีผิด ต้องอย่างนี้สิ! บุตรชายของท่านอาหรูเฟิงกับน้าหลัว ต้องมีใบหน้าหล่อเหลาเช่นนี้!! ไอหยา…อีกทั้งเขายังดูคล้ายกับท่านอาหรูเฟิงสมัยยังหนุ่มมากนักรูปงามจริงๆ" นี่เฝินนั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมต้วนหลิงเทียนออกมา เมื่อเห็นหน้าตาของเขา

"พี่ใหญ่นี่ ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว" แม้แต่คนที่ผิวหน้าหนาอย่างต้วนหลิงเทียน เมื่อถูกกล่าวชมต่อหน้าเขายังอดรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาที่ใบหน้าไม่ได้ จำต้องเผยรอยยิ้มเขินอายออกมา

นี่เฝินกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เทียนน้อย เจ้ารู้หรือไม่ ยามที่ท่านพ่อได้ยินข่าวคราวของเจ้าเมื่อวานเขายังแทบไม่เชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าเจ้าเป็นตัวจริงเขารีบให้อาผังไปนำตัวเจ้ามาทันที”

แม้จะเป็นนี่เฝินเองก็อดตกตะลึงและทึ่งกับสิงที่ต้วนหลิงเทียนกระทำไม่ได้ เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความแปลกใจในสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกระทำในสถาบันบ่มเพาะขุนพล นั่นเพราะชายหนุ่มคนนี้ยังมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น แต่เขากลับตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 แล้ว

ส่วนในเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนลงมือสังหารต้วนหลิงซิ่งนั้น เขาหาได้แยแสแม้แต่น้อย เพราะสำหรับเขาแล้วต้วนหลิงซิ่งไม่ได้มีค่าหรือราคาอะไร

"หรูเฟิงน่าจะภาคภูมิใจอย่างยิ่ง หากเขารู้ว่าตัวเองมีบุตรชายเช่นเจ้า" นี่เหวี่ยที่มีสถานะสูงส่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนเขาก็ไม่ต่างอะไรจากผู้อาวุโสที่ใจดีมีเมตตาห่วงใยบุตรหลานแม้แต่น้อย

"ข้าได้ยินเสียงเอะอะดังมาแต่ไกล … นี่เป็นบุตรชายของหรูเฟิงหรือ?" ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับชายชราท่าทางอายุมากแล้วคนหนึ่งเดินเข้ามา

ต้วนหลิงเทียนเมื่อหันไปมอง เขาก็จดจำได้ทันทีว่าชายชราคนนี้คือ เจ้าพระยาเรืองฤทธิ์

เจ้าพระยาเรืองฤทธิ์เองก็ตกตะลึงไม่น้อยยามที่เห็นต้วนหลิงเทียน "เจ้า…."

รอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏที่มุมปากของต้วนหลิงเทียนทันที เพราะเขาเองก็สัมผัสได้ทันทีว่า…ชายชรานั้นจดจำเขาได้ … กล่าวให้ชัดก็คือ ชายชราสามารถจดจำได้ว่า…เขาคือชายหนุ่มนามหลิงเทียนที่หลอมสร้างโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์รักษาพิษให้เขาวันนั้น !

ถึงแม้ว่าพลังงานต้นกำเนิดของชายชราจะถูกระงับเอาไว้ด้วยพิษของพังพอนทมิฬไร้ลักษณ์ แต่จิตสัมผัสและพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาจิของเขาก็ยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน และเมื่ออาศัยมันชายชราเองก็สามารถจดจำกลิ่นอายจิตวิญญาณและระบุตัวตนของเขาได้ทันที ว่าเขาคนนี้ก็คือหลิงเทียนในวันนั้น จากประสาทสัมผัสที่แหลมคมนั่น

"ท่านพ่อเกิดอะไรขึ้น?" สีหน้าของนี่เหวี่ยเต็มไปด้วยความสงสัยทันที เมื่อเห็นท่าทางของบิดาเขา

Prev
Next

ความคิดเห็นสำหรับ "บทที่ 161 คำเชิญจากจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์"

3.7 233 โหวต
คุณชอบเรื่องนี้ไหม?
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
แจ้งเตือนของ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจชอบ

Divine Beast Adventures
Divine Beast Adventures
มีนาคม 12, 2022
Crazy  Leveling  System
Crazy Leveling System
พฤษภาคม 17, 2022
ข้าจะเป็นราชาอมตะ (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ข้าจะเป็นราชาอมตะ
กรกฎาคม 22, 2023
เกิดใหม่กับระบบไร้พ่าย
เกิดใหม่กับระบบไร้พ่าย
มิถุนายน 26, 2022
The favored son of heaven
The favored son of heaven
มกราคม 31, 2024
ไปเก็บสเตตัสที่ต่างโลก Picking Up Attributes From Today
ไปเก็บสเตตัสที่ต่างโลก Picking Up Attributes From Today
มีนาคม 12, 2022
Tags:
#ผจญภัย, กำลังภายใน, ต่อสู่, สงคราม
ประวัติการเข้าชม
You don't have anything in histories
หมวดหมู่นิยาย
  • sci-fi (24)
  • Video Games (11)
  • กำลังภายใน (36)
  • จีนกำลังภายใน (1)
  • ดราม่า (3)
  • ตลก (3)
  • นิยายลิขสิทธิ์ (18)
  • นิยายแต่ง (3)
  • ย้อนยุค อนาคต (7)
  • สยองขวัญ (2)
  • เกมส์ออนไลน์ (5)
  • แฟนตาซี (161)

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Premium Chapter

คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อน

wpDiscuz