สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - บทที่ 130 เถียนกวงอัปโชค
อรุณรุ่งมาเยือนพร้อมฉายแสงแรกออกมา ปลุกโลกหล้าให้ตื่นจากการนิทราในราตรีกาล …หลังจากที่พักผ่อนในเมืองพิรุณโปรยเต็มอิ่มทั้งคืน เกวียนขนาดใหญ่ที่ลากจูงด้วยม้าแกร่งถึง 5 ตัวก็ควบขับออกจากเมืองพิรุณโปรยมุ่งหน้าไปยังเส้นทางหลัก ที่มีอยู่เพียงเส้นทางเดียว จุดหมาปลายทางคือเมืองหลวง แห่งอาณาจักรนภาล่อง …
พั่บ!
ภายในเกวียนหลิงเทียนที่นับตั๋วเงินปึกใหญ่ในมือก็อดที่จะยิ้มแย้มแจ่มใสออกมาไม่ได้ "ข้าล่ะไม่เคยคิดเลยว่า เงินทองจะหาง่ายถึงเพียงนี้!"
ตอนนี้ยอดเงินที่เขามีมันมากมายทะลุ 10,000,000 เหรียญเงินไปแล้ว!
"ลูกเทียนเจ้าได้เงินนี่มาจากที่ใดรึ?" ลี่หลัวถามออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว นางรู้เพียงว่าฉงเฉวียนไปนำเงินนี่มามอบให้หลิงเทียน ส่วนเรื่องที่ว่าเงินนี้ได้มาเพราะอะไร และได้มาจากไหนนั้นนางไม่รู้อย่างสิ้นเชิง …
"น้าลี่หลัว มันน่าจะมาจากเรื่องที่เขาไปเรียกค่าเสียหายจากตระกูลเถียนของเมืองพิรุณโปรย" ลี่เฟยกล่าวจบก็ปิดปากแล้วหัวเราะออกมา
แม้ว่านางจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ทันทีที่ตื่นขึ้นมานางก็เห็นว่าฉงเฉวียนำเงินนี่มามอบให้หลิงเทียน อีกทั้งเขายังกลับมาจากตระกูลเถียนอีกด้วย นางจึงคาดเดาเรื่องราวต่างๆได้ไม่น้อย
เมื่อลี่หลัวได้รับรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไงและมีบทสรุปแบบไหน นางได้แต่ส่ายหัวและหัวเราะออกมา "มิคาดเถียนกวงนั่น จะโชคร้ายมาเจอหมาป่าอย่างเจ้าเอาซะได้ เรื่องทั้งหมดข้าพอเข้าใจแล้ว …แต่ลูกเทียน เหตุใดฉงเฉวียนจึงแข็งแกร่งขนาดนั้น อีกทั้งยังเรียกเจ้าว่านายท่านกันเล่า?"
เมื่อรับรู้ว่าเพียงฉงเฉวียนคนเดียวสามารถสะกดตระกูลเถียนให้ยินยอมกระทำการโดยง่าย นางย่อมรู้ว่าฉงเฉวียนนี่ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ต้วนหลิงเทียนได้รับฟังคำถามของลี่หลัวก็กล่าวออกมาพร้อมยักไหล่ "ท่านแม่ เขาถูกผู้อื่นจับมาไว้เป็นทาส ข้าไปช่วยเขาเอาไว้เขาจึงยอมรับข้าเป็นนายท่าน"
"เขายังถูกจับไปเป็นทาสได้อีกหรือ หากมีความแข็งแกร่งขนาดนี้?" ลี่หลัวกล่าวออกมาอย่างสงสัย และตอนนี้นางเองก็พอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดฉงเฉวียนจึงสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไปเสียครึ่งหนึ่ง นี่คงเพราะเป็นการปกปิดรอยตีตราทาสที่อยู่บนใบหน้านั่นเอง
"ตอนแรกนั้นเขาถูกพิษร้ายบางอย่าง ระดับของเขาจึงตกลงมาอยู่ที่ระดับ บ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 9 ข้าช่วยแก้พิษให้แก่เขาจนระดับบ่มเพาะของเขาฟื้นฟูกลับมาอยู่ในระดับ วิญญาณแรกก่อตั้งอีกครั้ง" ต้วนหลิงเทียนที่นอนหนุนตักของเค่อเอ๋อค่อยๆกล่าวออกมา ก่อนที่จะอ้าปากงับองุ่นที่นางป้อนให้เขา
"ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง?" ตอนนี้ไม่ใช่แค่ลี่หลัวที่ทำสีหน้าตกตะลึงออกมา … แม้กระทั่งลี่เฟยเองยังรู้สึกตะลึงกับระดับบ่มเพาะที่น่าหวาดหวั่นของฉงเฉวียน…นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าสารถี ที่ขับม้าให้พวกนางจะมีความแข็งแกร่งขนาดนั้น
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง!
ระดับบ่มเพาะดังกล่าวนั่นไม่ได้น้อยไปกว่าผู้อาวุโสหลักของทั้ง 3 ตระกูลใหญ่ในเมืองออโรร่าแม้แต่น้อย นั่นทำให้นางตกตะลึงอย่างถึงที่สุด …
มีเพียงเค่อเอ๋อที่ไม่ได้ประหลาดใจอะไรสักเท่าไรนางยังคงสงบนิ่งไร้ความสนใจใดๆ ไปมากกว่าการปอกองุ่นแล้วป้อนใส่ปากหลิงเทียนทีเละเม็ดๆ อย่างช้าๆ
ในหัวใจของนางไม่มีอะไรที่นายน้อยที่นางรัก ไม่สามารถกระทำได้!
"มิน่าล่ะ ข้าก็ว่าแล้วเชียว หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดเจ้าถึงจัดการเรื่องราวตระกูลฟางแห่งเมืองวายุโปรยได้รวดเร็วนัก" ในที่สุดคำถามที่ค้างคาใจมานานของลี่หลัวก็ได้รับคำตอบเสียที
"ข้ายังไม่อยากจะเชื่อว่าฉงเฉวียนจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง" ลี่เฟยเองก็พึ่งหายจากอาการตกตะลึง
"อะไรกันเสี่ยวเฟย นี่มันก็แค่ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง เหตุใดเจ้าถึงต้องประหลาดใจนักเล่า?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังลี่เฟยก่อนที่จะค่อยๆกล่าวออกมา "เสี่ยวเฟย ตราบใดที่เจ้ายังฝึกฝนบ่มเพาะตามเคล็ดวิชา เอกะดาราสะท้าน ที่ข้ามอบให้อย่างตั้งใจ เจ้าจะตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งนี่ ด้วยเวลาไม่ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ"
และมาตอนนี้เองที่ลี่เฟยพลันได้สติ และนึกขึ้นได้ว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังงานต้นกำเนิดของนางนั้น ยอดเยี่ยมถึงเพียงไหน มันสามารถบ่มเพาะได้ถึงระดับจักรพรรดิ!! … อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจให้นางได้อีกมากมายจากการที่ได้รับโอสถบ่มเพาะทั้งหลายจากต้วนหลิงเทียน..โอสถของเขามีความบริสุทธิ์เหนือล้ำไปจินตนาการไปไกลโข!
"ลูกเทียน พวกเราไม่ต้องกังวลกับฉงเฉวียน และพึ่งพาเขาได้จริงๆหรือ?" เมื่อเทียบกับลี่เฟยแล้ว ลี่หลัวค่อนข้างคิดอะไรละเอียดกว่า และตอนนี้นางก็มีเรื่องกังวลใจ จนใบหน้างดงามฉายแววจริงจังและกังวลออกมาไม่น้อย
เท่าที่นางคิด การมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งอยู่ข้างๆเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับ ดาบ 2 คม
"ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีที่จะควบคุมเขาได้อย่างแน่นอน" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มออกมาบางๆ เขาย่อมรู้ดีว่าแม่ของเขาเป็นกังวลเรื่องอะไร แต่เรื่องที่นางห่วงว่าฉงเฉวียนจะหันมาต่อต้านและทำร้ายเขานั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้…
เพราะว่าตอนนี้ฉงเฉวียนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา โดยการใช้พิษร้ายชนิดหนึ่งกุมชะตาชีวิตของฉงเฉวียนเอาไว้ และพิษนี้ทั้งโลกใบนี้ก็มีแต่เขาที่สามารถรักษามันได้ เพราะพิษชนิดนี้เป็นสูตรพิเศษเฉพาะตัวของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ที่เป็นถึงผู้หลอมโอสถระดับ ราชวงศ์ ในเวลานั้น!
เมื่อกลุ่มของต้วนหลิงเทียนจากไปแล้ว ตัดมาทางด้านบรรยากาศภายในตระกูลเถียนบ้างนั้น นับว่ามันตกอยู่ในภาวะหดหู่ไม่น้อย … นี่เพราะประมุขตระกูลของพวกมันเสียชีวิต!!
"ท่านพ่อ!" ในตอนแรกเมื่อเถียนกวงตื่นขึ้นมาและพบว่า น้องชาย ที่อยู่คู่กายของเขาไม่อยู่แล้ว เขาก็ฟูมฟายออกมาอย่างหนัก มาตอนนี้ยังได้รับข่าวที่บิดาของเขาถูกสังหารลงอีกทำให้เขาเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาจนน้ำตาเป็นสายเลือด มันยากเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการที่จะให้เขาทำใจรับเรื่องสะเทือนขวัญ 2 เรื่องนี้ได้ในเวลาเดียวกัน และมันก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งที่กว่าจะทำใจรับผลกระทบจากเรื่องราวในครั้งนี้ได้ เขาเองก็เข้าใจดีว่าจากการตายของบิดาเขามันจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง…และต่อไปนี้ตระกูลเถียนจะถดถอยลงไปมากมายขนาดไหน!
และหลังจากไม่กี่วันที่เถียนกวงเริ่มหายจากอาการฟูมฟายเศร้าโศก เขาก็ถูกนำตัวไปยังลานลงทัณฑ์ประจำตระกูลเถียน และถูกฟาดโบยถึง 100 ที ท่ามกลางสายตาของคนตระกูลเถียนทั้งหมด
ในขณะที่เขาถูกความเจ็บปวดครอบงำจนแทบสิ้นสติ เขาก็ได้ยินเสียงผู้อาวุโสหลักกล่าวแจ้งความผิด " เถียนกวงได้นำหายนะมาสู่ตระกูลเถียนของเราอย่างใหญ่หลวง ด้วยคำสั่งของผู้อาวุโสทั้ง 2 เขาจะได้รับการลงทัณฑ์สถานเบาเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นครั้งแรก ต่อไปในอนาคตหากผู้ใดกระทำความผิดในลักษณะนี้อีกครั้ง พวกเขาจะถูกลงทัณฑ์ตามกฎที่ถูกระบุขึ้นมาใหม่ นั่นคือประหารชีวิตสถานเดียว … "
และในยามที่เขาฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง เถียนกวงก็ใจสลาย เขาท้อแท้และเต็มไปด้วยความเสียใจ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการตัดสินใจชั่ววูบในคืนนั้น จะทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากสวรรค์ให้โอกาสเขาย้อนเรื่องราวกลับไปแก้ไขได้อีกสักครั้ง ต่อให้ในคืนนั้นเขาจะต้องละทิ้งศักดิศรีความภาคภูมิใจทั้งหมด และลงไปเห่าเยี่ยงสุนัข ให้แก่ชายหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงนั้น 10 รอบ เขาก็ยินดีที่จะกระทำมันเพื่อเป็นการอ้อนวอนขอขมาให้ชายหนุ่มชุดสีม่วงนั่นล่ะเว้นความผิดของเขา
ตอนนี้ทั้งชีวิตเขาได้สูญเสียทุกสิ่งสูญสิ้นทุกอย่าง ไม่หลงเหลืออะไรให้เขาภาคภูมิใจอีกต่อไป
"เถียนกวง, ท่านผู้อาวุโสหลักเรียกให้เจ้าไปยังหองโถงหลัก เดี๋ยวนี้" ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากภายนอก และทำให้เถียนกวงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
หลังจากที่เดินทางมาถึงห้องโถงหลัก เถียนกวงได้คุกเข่าลงตรงหน้าผู้อาวุโสหลัก และทำการร้องไห้ฟูมฟายพร้อมกอดขาของผู้อาวุโสหลักเอาไว้ "ท่านผู้อาวุโสหลัก ข้ารู้ความผิดที่ข้าได้ก่อไว้แล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว อย่าได้ลงโทษข้าอีกเลย … อย่าทุบตีข้าอีกเลยได้โปรดเถอะ!"
อาวุโสหลักของตระกูลเถียนนั้นขมวดคิ้วออกมาด้วยความอับอายเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปมองชายทั้ง 3 ร่างที่ยืนอยู่ในห้องแล้วกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกขายหน้า "ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ข้าต้องขออภัยที่ต้องให้พวกท่านเห็นภาพน่าสมเพชเช่นนี้!"
หลังจากนั้นใบหน้าของเขาก็หมองคล้ำลง ก่อนที่จะเตะเถียนกวงกระเด็นออกไป "เถียนกวงข้าไม่ได้เรียกตัวเจ้ามาที่นี่ เพื่อทำโทษอะไรเจ้าทั้งสิ้น นอกจากผู้อาวุโส 2 คนนั้นแล้ว ก็มีแต่เจ้าที่คุ้นเคยกับรูปร่างของชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั่น ตอนนี้เจ้ารีบอธิบายลักษณะของชายหนุ่มในชุดสีม่วงให้แก่ แขกที่น่านับถือทั้ง 3 ท่านนี้ฟังเสีย "
เมื่อเถียนกวงรับรู้ว่าเขาไม่ได้ถูกเรียกตัวมาเพื่อลงโทษ เขาก็รู้สึกดีขึ้น และตอนนี้เองที่เขาเห็นว่าภายในห้องโถง นอกจากผู้อาวุโสหลักแล้ว ยังมีร่างของบุรุษ 3 คนยืนอยู่ด้วย …มีชายชราหนึ่งคน ชายวัยกลางคนหนึ่งคน ส่วนคนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี
"พวกท่าน… พวกท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั่นหรือ?" เถียนกวงกล่าวถามออกมาด้วยท่าทางหวาดกลัว เขากลัวว่าทั้ง 3 คนนี้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั่น เขาคิดว่าชายทั้ง 3 คนนี้มาตามจัดการเรื่องราวที่สร้างปัญหาให้แก่ชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั่น และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงเกรงว่าเขาต้องอับโชคถึงขีดสุดแล้ว!
"มันเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ของพวกข้า และเหตุผลเดียวที่พวกข้าดั้นด้นมาตามหามันถึงที่นี่ เพราะพวกข้าต้องการฆ่ามันให้ตาย!" ชายหนุ่มอายุ 20 ปีเป็นผู้กล่าวตอบออกมา น้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และความอำมหิต
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวออกมา เถียนกวงพลันตื่นเต้นดีใจขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาเศร้าสลดลงอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่บิดาของเขาเสียชีวิต แววตาของเขาหมองหม่นลง "ไม่มีประโยชน์หรอก มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ปกป้องมันอยู่ ขนาดบิดาของข้ายังเสียชีวิตด้วยมือของคนคุ้มกันของมัน … "
"ระดับกำเนิดแก่นแท้?" ชายหนุ่มพลันหัวเราะออกมาอย่างน่าเกลียด “ผู้ที่อยู่ข้างกายข้ายามนี้ คือผู้อาวุโสหลักแห่งตระกูลหยู ท่านเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง อาศัยเพียงแค่การสะบัดมือของท่านผู้อาวุโสหลัก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้อะไรนั่นก็ตกตายลงอย่างไม่อาจต่อต้าน ง่ายดายไม่ต่างอะไรไปจากการบี้มด!”
"ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง?" เถียนกวงตกตะลึงอย่างมาก
อาวุโสหลักของตระกูลเถียนเองที่ฟังอยู่ก็รู้สึกเหมือนกับลำคอถูกบีบ เขากล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ตระกูลหยู? และมีระดับบ่มเพาะวิญญาณแรกก่อตั้ง …นี่พวกท่านทั้งหมด คงไม่ใช่ตระกูลหยูแห่งเมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหินที่ยิ่งใหญ่นั่นหรอกนะ?"
ยามนี้สายตาของเถียนกวงเบิกกว้างออกมา ซ้ำยังส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้งราวกับดาวกลางฟ้าในยามราตรี ในขณะนี้เขามองไปยังชายหนุ่มอายุ 20 ปี ราวกับมองหาฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเขาได้
"ถูกแล้ว พวกเรามาจากตระกูลหยู นี่คือผู้อาวุโสหลักของตระกูลหยู ส่วนคนผู้นี้คือบิดาของข้าเอง และท่านก็เป็นน้องชายของประมุขตระกูลหยู" ชายหนุ่มคนนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมากล่าวด้วยความยโส สีหน้าของมันแลดูภาคภูมิใจอย่างมาก ในขณะที่จับจ้องมายังคนตระกูลเถียนที่ทำท่าทางตกตะลึง
"เช่นนั้นก็เป็นท่านผู้อาวุโสหลักของตระกูลหยู และก็รองประมุข ทั้งยังเป็นนายน้อยของตระกูลหยูนี่เอง ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ที่เถียนหลินผู้นี้ ไม่ได้รับรองพวกท่านให้ดีกว่านี้ … เถียนกวงรีบไปแจ้งที่ครัวให้จัดเตรียมอาหารเร็วเข้า! พวกเราจะรับรองแขกให้ดีที่สุด!" อาวุโสหลักของตระกูลเถียนหันไปสั่งงานเถียนกวงทันที ทางด้านเถียนกวงก็รีบรับคำ
"ถูกแล้วขอรับ!" ในขณะที่เถียนกวงลุกขึ้น ประกายตาของเขาก็ส่องสว่างขึ้นด้วยความคาดหวัง …
"ท่านพ่อ มีคนที่กำลังจะแก้แค้นให้ท่านเร็วๆนี้แล้วขอรับ เหอะผู้คุ้มกันไอบัดซบนั่นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้แล้วจะอย่างไร? ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง จากตระกูลหยูลงมือเองเช่นนี้ ซ้ำยังมี รองประมุขตระกูลหยูมาด้วยตัวเองอีก ไอสารเลวนั่นต้องตกตายอย่างแน่นอน ท่านพ่อ! ท่านจะได้พักผ่อนอย่างสงบในสวรรค์แล้วขอรับ … "
"เดี๋ยว! " กลับเป็นหยูหุ่ย ผู้อาวุโสหลักของตระกูลหยูกล่าวคำหยุดเถียนกวงเอาไว้ และกล่าวออกมาอย่างไม่แยแสว่า “เหตุผลที่ข้ามายังตระกูลเถียนไม่ได้มาเพื่อดื่มกินอันใด เจ้ารีบอธิบายลักษณะของชายหนุ่มชุดสีม่วงนั่นมาเสียตอนนี้”
เถียนกวงเองก็ไม่คิดรีรออะไรเขารีบพยักหน้า และนึกถึงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้น ภาพของชายหนุ่มในชุดสีม่วง เขาบรรยายลักษณะของชายหนุ่มชุดสีม่วงนั่นออกมาอย่างละเอียด ต่อชายจากตระกูลหยูทั้ง 3 คน…
"ไม่ผิดแน่ มันเป็นเขาอย่างแน่นอนขอรับท่านผู้อาวุโสหลัก!" ชายหนุ่มที่กล่าวออกมาอย่างดีใจแน่นอนว่าย่อมเป็น หยูเซี่ยง จากตระกูลหยู
"เอาล่ะเช่นนั้นมันก็เป็นเขา …นั่นย่อมหมายความว่าเขาได้ออกเดินทางไปจากที่นี่ ตั้งแต่ 7 วันที่แล้ว" หยูหุ่ยพยักหน้าครั้งหนึ่ง "เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ"
"ท่านผู้อาวุโส" "ท่านทั้ง 3 เดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ท่านสมควรหิวอยู่ไม่น้อย เหตุใดท่านไม่พักที่ตระกูลเถียนของข้าและอยู่รับประทานอาหารเสียก่อนเล่า? นับว่าเป็นเกียรติของตระกูลเถียนอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับพวกท่านในวันนี้ ข้าหวังว่าท่านจะให้โอกาสข้าต้อนรับพวกท่าน "
หยูหุ่ยนั่นไม่ค่อยเห้นด้วยสักเท่าไร แต่เขาก็หันไปถามหยูหลี่และหยูเซี่ยง "พวกเจ้าคิดอย่างไร?"
"ท่านผู้อาวุโสหลักจะอย่างไรต้วนหลิงเทียนมันก็จากไปตั้งแต่ 7 วันที่แล้ว พวกเราก็ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เราพักผ่อนรับประทานอาหารกันก่อนค่อยออกไปก็ไม่เลวเหมือนกัน" หยูเซี่ยงกล่าวเสนอออกมา
"พวกเรากำลังติดตามมันไปด้วยการเดินทางโดยใช้อาชาเหงื่อโลหิต เราสามารถติดตามพวกมันได้ทันภายใน 2 วันหลังจากนี้ แม้ว่าเราจะเสียเวลากินอาหารมื้อนี้ก็ตาม" หยูหลี่พยักหน้าออกมาเล็กน้อยในขณะที่ประกายตาของเขาแฝงความเย็นชาออกมา
หยูหุ่ยพยักหน้าก่อนหันไปหาเถียนหลิน "เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนผู้อาวุโสหลักตระกูลเถียนแล้ว"
"ไม่รบกวน ไม่ได้รบกวนอันใดแม้แต่น้อย" เถียนหลินตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มมากมายบนใบหน้า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้หลังจากที่ตระกูลเถียนสิ้นประมุขไป รวมทั้งยังถูกปล้นเหรียญเงินไปมากมายถึง 1,000,000 เหรียญ ตระกูลใหญ่อีก 2 ตระกูลในเมืองพิรุณโปรยแห่งนี้ก็เริ่มมีทีท่ากำแหงขึ้นมา แล้วดูเหมือนพวกมันคิดที่จะยึดครองกิจการของตระกูลเถียนทั้งหมด
สำหรับตอนนี้ขอเพียงตระกูลเถียนมีความสัมพันธ์สักเล็กน้อยจากตระกูลที่มาจากเมืองประจำมณฑลแล้วล่ะก็ พวกเขาก็สามารถมั่นใจได้เลยว่าจะปลอดภัยไปช่วงหนึ่ง
"เช่นนั้นข้าน้อยจะไปสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหาร" เถียนกวงกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นในขณะที่วิ่งออกจากห้องโถงไปยังห้องครัว