Omni genius - ตอนที่ 77 แผนการของหุ้นส่วน
ตอนที่ 77 แผนการของหุ้นส่วน
ลูกค้าทั้งหมดที่ได้ทานบะหมี่ของฉินฟางต่างก็ชมเชยราวกับได้ขึ้นสวรรค์ โดยเฉพาะน้ำซุปที่อร่อยเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในความคาดหวังของฉินฟาง
เส้นบะหมี่ของฉินฟางนั้นยอดเยี่ยม แต่ไม่อาจบรรยายออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่น้ำซุปนั้นกลับดีกว่ามากมายอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่เพื่อนร่วมห้องทานชามแรกจนเสร็จสิ้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะทานชามที่สองอีก ทำให้ต้องกลับหอไปด้วยบะหมี่ที่อัดแน่นเต็มท้อง
ฉินฟางอยากจะบอกลาเหล่าพี่น้อง แต่เมื่อเห็นว่าในร้านมีลูกค้าอยู่มากมาย ฉินฟางจึงไม่มีเวลาบอกให้พวกเขารั้งอยู่ ถังเฟยเฟยและเซียวมู่เสวี่ยเองก็ยุ่งวุ่นวายเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเพียงเอ่ยถ้อยคำลากับสองสาวก่อนที่จะจากไป
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ล่วงเข้าสู่เวลามืดค่ำ ฉินฟางพาร่างอันเหนื่อยล้ากลับเข้าสู่หอพัก เมื่อเขากลับมาถึง ก็เห็นว่าเพื่อนร่วมห้องนั่งล้อมรอบเซี่ยวหนานพี่รอง ซึ่งกำลังดูหนังในแล็ปท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดขณะกินถั่วไปด้วย พวกเขาช่างมีชีวิตที่สุขสบายเหลือเกิน
อันที่จริงแล้ว เด็กปีหนึ่งยังไม่ได้รับอนุญาติให้นำคอมพิวเตอร์มาที่หอพัก แต่กับคนรวยเช่นเซี่ยวหนาน กฏเหล่านั้นก็เป็นข้อยกเว้นได้ ถ้าผู้จัดการหอพักกล้ายึดแล็ปท็อปของเขาไป เขาก็แค่ซื้อมันมาอีกสิบเครื่องมาใช้ เพราะเขาไม่ได้ขาดแคลนเงินอย่างไรล่ะ
“ฉินฟาง นายเคยคิดที่จะขยายกิจการร้านบะหมี่ของนายบ้างไหม? ฉันคิดว่ามันพอจะทำได้นะ…. ตราบใดที่นายผงกหัว พี่ชายของนายซึ่งก็คือฉัน จะลงทุนให้เอง!!!”
เมื่อฉินฟางอาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังจะฝึกหายใจอีกครั้ง เซี่ยวหนานก็เดินออกมาจากกลุ่มดูหนังแล้วมานั่งข้างฉินฟางก่อนจะถามคำถามออกไป
“ผมคิดว่าผมทำไม่ได้นะ!!! อย่างที่นายเห็น แค่กิจการมันเริ่มดีขึ้น พวกเราสามคนก็ยุ่งจนหัวหมุนแล้ว แล้วถ้าเราขยายกิจการละก็…”
ฉินฟางส่ายศีรษะพร้อมกับรอยยิ้มบิดเบี้ยว กิจการร้านบะหมี่เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะเปิดร้านได้เพียงไม่กี่วัน ชื่อร้านของพวกเขาเองก็เริ่มโด่งดังแล้วด้วย
“นายนี่มันโง่เง่าจริงๆ!!! ฉันจะพูดตรงๆนะ ดังนั้นอย่าโกรธฉันล่ะ….”
ฉินฟางกลับปฏิเสธในทันที ทำให้เซี่ยวหนานถึงกับมองเขาด้วยความไม่พอใจ
“เหตุใดถึงได้มีเถ้าแก่อย่างนายเนี่ย?!! ถ้ากิจการมันยุ่งมาก ทำไมถึงไม่ว่าจ้างผู้คน? ถ้าคนสามคนมันไม่พอ ก็จ้างคนมาเพิ่มอีกสาม! นายควรจะมองการณ์ไกลกว่านี้ อย่าได้ผูกติดตัวเองอยู่กับการเป็นเถ้าแก่ตัวน้อยพ่วงด้วยตำแหน่งพ่อครัว นายต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้นำ และออกคำสั่งให้ลูกน้องทำงานแทน ทั้งหมดที่นายต้องทำก็มีแค่ นั่งจิบชามองดูเงินไหลเข้ากระเป๋านายเท่านั้น”
“แต่….”
แม้ว่าฉินฟางจะคิดว่าสิ่งที่เซี่ยวหนานกล่าวออกมามีเหตุผล แต่มันก็มีปัญหาอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น การควบคุมต้นทุนในการทำกิจการนี้
เฟยเสวี่ยอันหอมหวนเพิ่งเปิดมาได้4-5วันเท่านั้น และกิจการก็เพิ่งจะไปได้ด้วยดีในวันนี้ เงินลงทุนของทั้งสามก็ยังไม่ได้กลับคืนมา แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างผู้คนล่ะ?
“ฉันรู้ว่านายกำลังกังวลกับอะไร และนั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดกับนายอย่างไรล่ะ ถูกต้องไหม?”
เซี่ยวหนานพูดด้วยรอยยิ้ม
“แม้ว่าฉันจะกินบะหมี่ของนายเป็นครั้งแรก แต่ฉันจะไม่กินเปล่าๆหรอกนะ เมื่อพวกเรากลับมาถึง ฉันไม่มีอะไรจะทำให้นายได้ ดังนั้น ฉันถึงได้ทำสิ่งนี้ให้นายโดยเฉพาะ นี่ไง สำหรับนายเชียวนะ!!!”
ขณะที่เขากำลังกล่าว เซี่ยวหนานก็นำกระดาษแผ่นบางออกมาจากเตียง บนกระดาษใบนั้นมีคำหลายคำรวมเข้าด้วยกัน ทั้งหมดนั้นเป็นตัวเขียน
“หนังสือคู่มือผู้จัดการร้านบะหมี่เฟยเสวี่ยอันหอมหวน และแผนการขยายกิจการในอนาคต”
มองดูหัวข้อในกระดาษเหล่านี้ ฉินฟางจึงวางท่าทางให้ดีขึ้นและดูเนื้อหาในนั้นผ่านๆ แม้ว่าลายมือของเซี่ยวหนานจะดูน่ากลัว แต่ฉินฟางก็ยังอ่านออกและเดาคำที่อยู่ในนั้นได้
เมื่อเซี่ยวหนานได้ทานบะหมี่ชามแรก เขาไม่ได้ลิ้มรสชาติมันอย่างถูกต้อง เนื่องจากว่ามันอร่อยเกินไป ทำให้เขาไม่อาจควบคุมตัวเองและรีบทานมันลงไปอย่างรวดเร็ว จนได้ทานชามที่สอง เขาจึงได้ลิ้มรสชาติอย่างตั้งใจ
ในฐานะที่เป็นลูกคนรวยผู้เคยทานมาแล้วทุกอย่าง แม้ว่าเขาจะไม่ทานบะหมี่มากนัก แต่ในครั้งนี้เขากลับทานได้มากเลยทีเดียว เขาลิ้มรสชาติและรู้ว่าเส้นบะหมี่ของฉินฟางนั้นทำได้ดี คนทำมีทักษะที่ดี ถึงอย่างไร แค่เพราะเขาสามารถลิ้มรสชาติได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นทำได้ อย่างน้อยลูกค้าคนอื่นๆเพียงแค่รู้สึกว่าบะหมี่นั้นมันเด้งหยุ่นเท่านั้น
มีลูกค้าอีกมากที่รู้สึกถึงเครื่องปรุงได้ ด้วยซอสลับที่อยู่ในนั้น ทำให้บะหมี่ที่เด้งหยุ่นและอร่อยอยู่แล้วก็อร่อยมากขึ้นไปอีก ถึงกับยกระดับความอร่อยไปอีกหนึ่งขั้น
ขณะที่เซี่ยวหนานมองดูฉินฟางทำงานหนัก เขาก็เริ่มเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา มันช่างเป็นเรื่องธรรมดา ง่ายดายนัก เซี่ยวหนานจัดหาเงินมาขยายกิจการร้านและเขาเองก็จะเป็นผู้จัดการคนหนึ่งด้วย ฉินฟางที่มีร้านพร้อมกับทักษะของเขา จะได้ส่วนแบ่งในร้านที่ขยายใหม่ ทั้งสองจะร่วมมือกันบริหารร้านบะหมี่ที่ใหญ่ขึ้น
“ฉินฟาง ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากนายมากหรอก ถือซะว่ามันเป็นการทดลองลงทุนร่วมกันของเราก็ได้ นายก็รู้จักฉันนี่ ฉันใช้เงินราวกับราชา แต่ตราบที่ได้รายรับเข้ามาด้วยนะ…. อิอิ!!!”
เซี่ยวหนานกำลังพูดออกมาด้วยความจริงใจและสัตย์ซื่อ เพราะถ้ายิ่งหลอกลวงเรื่องความร่ำรวย ชื่อเสียงก็มีแต่จะแย่ลง อีกทั้งเซี่ยวหนานก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น เขานับเป็นลูกคนรวยเจ้าสำราญจริงๆ
ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่ภายในวันหนึ่งจะต้องประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจของตระกูล การใช้เวลาระยะสั้นๆในรั้วมหาวิทยาลัยอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาสามารถปลดปล่อยและสนุกได้เท่าที่ต้องการ ดังนั้นการลงทุนในครั้งนี้ก็เป็นแค่การทดลอง อีกทั้งเป็นการทดลองสำหรับเซี่ยวหนานเพื่อเตรียมการไปสู่อนาคตที่จะมาถึงอีกด้วย
ฉินฟางหลับตาลงอย่างเงียบงันและเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ของแผนการนี้
ส่วนประกอบของซอสลับที่ได้รับมาจากเหลาฉู่ แต่ด้วย[ศิลปะการปรุงอาหาร]ขั้นกลางของเขา ไม่มีใครสามารถทำซอสได้ดีกว่าฉินฟางแล้ว นอกจากว่าบิดาของเหลาฉู่จะลุกขึ้นมาจากโลงได้
ถ้าฉินฟางขยายกิจการด้วยการลงทุนของเซี่ยวหนาน ฉินฟางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการจ้างพ่อครัว พนักงานเสิร์ฟ และรวมไปถึงชุดยูนิฟอร์มอีกด้วย ฉินฟางเพียงแค่ทำซอสที่ดีก็พอ เพราะซอสทำให้บะหมี่นั้นอร่อย และเมื่อไม่มีบะหมี่ร้านใดสามารถทำได้เทียบเท่ากับที่เขาทำขึ้นมาละก็ ยังพอยอมรับได้อยู่
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ฉินฟางสามารถหนีจากการทำบะหมี่ทั้งวันได้ ถ้าเขามีทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว หลังจากนั้นเขาก็จะมีเวลาในการฝึกทักษะให้ดียิ่งขึ้น!!!
ท้ายที่สุดแล้ว ฉินฟางก็เป็นเพียงนักศึกษาเท่านั้น ขณะนี้คลาสเรียนก็ยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ เขาจึงยังพอมีเวลาอยู่บ้าง แต่หลังจากนี้ล่ะ เมื่อเริ่มเรียนอย่างจริงจังแล้ว เขาคงไม่เหลือเวลามาทำสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน
“พี่รอง ผมเห็นด้วยกับแผนของพี่ แต่ว่าร้านบะหมี่ไม่ได้เป็นแค่ของผมคนเดียว ยังมีอีกสองสาวที่เป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน รอผมปรึกษาแผนนี้กับพวกเธอก่อนนะ!!!”
หลังจากคิดตึกตรองชั่วครู่ ฉินฟางก็ยอมรับแผนการนี้ ถังเฟยเฟยและเซียวมู่เสวี่ยต้องการเปิดร้านเพื่อผลประโยชน์ของฉินฟางเท่านั้น และนั่นกือสิ่งที่ฉินฟางรู้อยู่แก่ใจดี
ตอนนี้เมื่อนับรวมเซี่ยวหนานด้วย ก็นับเป็นเรื่องดี
“นายไปจัดการเถอะ ถ้าพวกนายได้ข้อสรุปแล้วก็ค่อยมาบอกฉัน ไม่ว่าพวกนายจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม!!!”
เซี่ยวหนานยิ้ม และกลับไปยังกลุ่มนั่งดูหนังอีกครั้ง
การฝึกหายใจของฉินฟางถูกเลื่อนออกไป แทนที่ด้วยการที่เขาโทรหาถังเฟยเฟยและเซียวมู่เสวี่ยเพื่อนัดพบกันข้างนอก นี่เป็นเรื่องราวที่ต้องพูดคุยกันแบบต่อหน้า เพราะเรื่องบางเรื่องไม่อาจทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดได้ด้วยการคุยโทรศัพท์เท่านั้น
“ว้าว เฟยเฟย จะออกไปข้างนอกตอนดึกๆหรือ? เธอกำลังไปหาหนุ่มรวยใช่ไหม?”
หลังจากทีได้รับสายจากฉินฟาง ถังเฟยเฟยก็ไม่รีรอที่จะลุกจากเตียงแล้วไปเปลี่ยนชุด ถึงกับแต่งหน้าอ่อนๆไปด้วยซ้ำ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องของเธอเริ่มนินทา
“พวกเธอ ขี้นินทาทั้งหลาย…. ฮึ! ฉันไม่บอกหรอกย่ะ!!!”
ถังเฟยเฟยเท้าเอวและมองบรรดาขี้นินทาด้วยสายตาไม่พอใจ หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางร่าเริงแจ่มใส แต่เมื่อเธอลงไปชั้นล่าง ถังเฟยเฟยก็บังเอิญพบกับเซียวมู่เสวี่ย พลันทำให้จิตใจของถังเฟยเฟยห่อเหี่ยวลงในทันที ในใจเธอนั้นกำลังด่าทอฉินฟาง ตาทึ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งยังไม่โรแมนติกเอาเสียเลย….