Epoch of Twilight จบแล้วอ่านฟรี - ตอนที่ 579: ผู้มีสองสมอง
ตอนที่ 579: ผู้มีสองสมอง
ในความมืดของอวกาศ ยานที่ขับเคลื่อนแนวโค้งก็ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ท่าอวกาศของโลก
ภายในห้องนั่งเล่นของยาน กลุ่มของสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ได้มารวมตัวกันและมีการพูดคุยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ มีความตึงเครียดในบรรยากาศ
ผิวของพวกเขามีสีเหลืองอมเทา ไม่มีขนและดูหยาบ ร่างกายของพวกเขามี 4 แขนพร้อมกับมี 3 นิ้วยื่นออกมาจากฝ่ามือของพวกเขา และมีก้อนสองก้อนที่งอกขึ้นมาบนหัวของพวกเขาซึ่งดูเหมือนกับโหนกของอูฐ พวกเขามีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 2.5 เมตรและมันทำให้พวกเขาดูเหมือนยักษ์ตัวเล็ก ๆ
พวกเขามาจากพื้นที่ห่างออกไป 200 ปีแสงจากโลก และถูกมนุษย์เรียกว่า Dicerebral Men
ผ่านกระบวนการวิวัฒนาการสมองของพวกเขาแยกออกเป็น 2 สมองและมีปฏิกิริยาสัมพันธ์กัน มือแต่ละชุดถูกควบคุมโดยสมองที่แตกต่างกัน และโครงสร้างทางชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์นี้ทำให้พวกเขามีความสามารถในการทำงานแยกกันโดยธรรมชาติ
ภายในกลุ่ม Dicerebral Men นี้คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลของพวกเขา บางคนมีสติปัญญาที่ฉลาดที่สุดในสาขาวิทยาศาสตร์ของพวกเขา บางคนมีความเชี่ยวชาญในการควบคุมดูแล ในขณะที่คนอื่น ๆ เป็นผู้ตัดสินใจ อาจเรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวกันของชนชั้นสูง แต่ความจริงคือตั้งแต่พวกเขามาถึงพวกเขาเคลื่อนไหวค่อนข้างจำกัด นอกเหนือจากบางบริเวณ
ห้องนั่งเล่นไม่มีการดัดแปลงเพิ่มเติม ทุกอย่างมีรูปแบบธรรมดาเป็นหลัก ตัวอย่างเช่นพื้นและผนังเป็นเพียงโลหะเคลือบกันลื่น นอกจากโคมไฟที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาที่สร้างขึ้นด้วยเทคนิคที่ไม่รู้จัก พร้อมกับหุ่นยนต์ตรวจตราอัจฉริยะ มีร่องรอยของเทคโนโลยีจากอารยธรรมขั้นสูงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตามแม้แต่การค้นพบที่แปลกเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ก็ยังสร้างความประทับใจลึก ๆ ให้กับพวกเขา
"ความแตกต่างมันมากเกินไป เราอาจจะยังไม่สามารถสร้างยานดังกล่าวได้ภายใน 1,000 ปี ! " ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบลูบชั้นเกราะเรียบที่สะท้อนแสงของบริเวณด้านนอกของห้องนั่งเล่นด้วยฝ่ามือของเขาเบา ๆ เขาถอนหายใจขณะที่แขนส่วนที่เหลือของเขายกขึ้นด้วยความตื่นเต้น
ก่อนที่พวกเขาจะมาเขามักจะพกมีดเล็ก ๆ ติดตัวเขาไปด้วยอย่างลับ ๆ มีดนั้นยาวไม่เกินนิ้วมือและทำจากวัสดุที่แข็งที่สุดในอารยธรรมของพวกเขาจนถึงปัจจุบันนี้ มีดพิเศษนั้นยังคงเป็นไปไม่ได้ที่จะผลิตในระดับอุตสาหกรรมและสามารถทำได้แค่ขนาดเล็กภายในห้องทดลองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้เขาจะพยายามกรีดวัสดุนั้นด้วยใบมีดตลอดสองปี คมมีดก็ไม่สามารถทำอะไรกับโลหะเคลือบบนพื้นนั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงผนังที่เรียบมากนั้น แม้หลังจากคมมีดถูกขัดแล้วเขาก็ยังไม่สามารถกรีดบนพื้นผิวนั้นได้
"ท้ายที่สุดแล้วยานลำนี้เป็นของอารยธรรมขั้นสูง มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะจินตนาการถึงระดับเทคโนโลยีของพวกเขา หากปราศจากเทคโนโลยีขั้นสูงในวัตถุดิบแล้ว มันจะไม่สามารถทนต่อการกระแทกของแรงดันรังสีได้" นักฟิสิกส์ส่ายหัวและหลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นทันทีว่า "ฉันอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับหลักการที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนแนวโค้งของพวกเขา แม้แต่มองมันแค่แวบเดียวก็อัศจรรย์ใจแล้ว ! "
"มันเป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เปิดเผยเทคโนโลยีทางทหารใด ๆ กับเรา" เจ้าหน้าที่ระดับสูงกล่าวด้วยความสิ้นหวังว่า "ต่อให้เราได้ครอบครองเทคโนโลยีนี้ก็เถอะ มันก็ยังคงไร้ประโยชน์หลังจากการเจรจานี้เราก็จะถูกห้ามพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารเพิ่มเติมใด ๆ และกองยานรบของมนุษย์ก็จะประจำการในระบบดาวของเราอย่างถาวร"
จู่ ๆ บรรยากาศก็รุนแรงมากขึ้น
การพบกันครั้งนี้ไม่ใช่การเจรจาต่อรองมากนัก แต่จะเป็นเหมือนการลงนามในสนธิสัญญายอมแพ้แบบไม่มีเงื่อนไขมากกว่า เนื่องจากพวกเขายอมจำนนต่ออารยธรรมที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าพวกเขา ไม่มีที่ว่างสำหรับการต่อรอง อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ต่อต้านมนุษย์ และมันได้มาถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวกับชีวิตและความตายของอารยธรรมของพวกเขาเอง บรรดาผู้ที่อยู่กับพวกเขาก็จะมีชีวิต ในขณะที่ผู้ที่ต่อต้านพวกเขาก็จะตาย !
5 ปีที่แล้วมียาน 2 ลำจากกองยานรบของมนุษย์มาปรากฏในระบบดาวของพวกเขา
มนุษย์ได้ถอดรหัสภาษาของ Dicerebral Men และเริ่มส่งข้อความไปยังทุกช่องทางที่มีอยู่ เพื่อเตือนให้พวกเขายอมจำนน สิ่งนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างมากในหมู่พวกเขา
วันต่อมาผู้นำคนก่อนของพวกเขาปฏิเสธคำเตือนอย่างหนักแน่นและสงครามครั้งใหญ่ก็เริ่มเกิดขึ้น
เทคโนโลยีของ Dicerebral Men ได้พัฒนาให้พวกเขาเป็นอารยธรรมในดวงดาวและพวกเขาก็ใกล้จะกลายเป็นอารยธรรมระหว่างดวงดาวแล้ว หลังจากได้สั่งสมมาสองสามร้อยปีจำนวนที่พวกเขาโอ้อวดในกองยานรบของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่น่าหัวเราะเลย Dicerebral Men ได้รวบรวมยานหลายร้อยลำในกองทัพยานของพวกเขาเพื่อมุ่งหน้าไปยังทิศทางของกองยานรบของมนุษย์
เพียงแค่ … เมื่อกองยานรบนับร้อยของพวกเขาปรากฏขึ้น และแล้วพื้นที่รอบ ๆ พวกเขาก็สว่างขึ้น แสงที่เจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์นับพันได้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะกำจัดกองกำลังป้องกันของพวกเขาในลักษณะที่เจิดจ้าเช่นเดียวกัน
ภายใน 10 วัน กองยานรบของมนุษย์ก็ได้ปิดล้อมดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยนั้น ภายใต้แรงกดดันอันใหญ่หลวงของการสูญเสีย ผู้นำที่ยึดมั่นในหลักการของพวกเขาก็ถูกปลดจากการปฏิบัติหน้าที่ และการดำเนินการแรกที่ผู้นำคนใหม่ของพวกเขาได้กระทำคือการประกาศยอมแพ้ต่อมนุษย์ ดังนั้นสงครามจึงยุติลง
…
ยานค่อย ๆ บินไปที่ท่าอวกาศพร้อมกับเจ้าหน้าที่มนุษย์ที่มาด้วย Dicerebral Men ทั้งหมดได้เข้าสู่ท่านั้นแล้วต่อมาก็ถูกย้ายไปยังยานอวกาศแบบเปิดโล่งก่อนที่พวกเขาจะรีบตรงไปยังโลก
เมื่อเทียบกับห้องนั่งเล่นซึ่งหยาบและแข็งที่ใช้ในทางทหารแล้ว ภายในของยานอวกาศแบบเปิดโล่งนั้นโอ่อ่ากว่ามากอย่างปฏิเสธไม่ได้ มันครบครันไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงต่าง ๆ ที่ทำให้พวกเขาต้องตกใจ Dicerebral Men บางคนซึ่งล็อคติดอยู่กับที่นั่งความรู้สึกได้ล่องลอยออกไปจากสถานที่ของพวกเขาเล็กน้อย
"โอ ผู้ยิ่งใหญ่จากอารยธรรมอันเกรียงไกร มีที่ไหนที่เราสามารถดูทิวทัศน์ภายนอกได้บ้างไหม ? " Dicerebral Men คนหนึ่งถามเจ้าหน้าที่มนุษย์ที่มากับพวกเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงพวกเขาได้ผ่านการฝึกภาษามนุษย์มาก่อน นอกจากโครงสร้างในสำเนียงและไวยากรณ์ที่แตกต่างกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เด่นชัดพอที่จะขัดขวางการสื่อสารของพวกเขา
เจ้าหน้าที่คนนั้นทำหน้าเฉยเมยก่อนที่เขาจะพยักหน้าและสั่งการว่า "ปัญญาประดิษฐ์เปิดทัศนียภาพเสมือนจริงแบบพาโนรามา ! "
"รับทราบ"
หลังจากการตอบจากเสียงผู้หญิงที่นุ่มนวลและอ่อนโยน ผนังรอบ ๆ ยานก็กลายเป็นโปร่งใสและบริเวณโดยรอบก็มืดลงทันที ราวกับว่าทุกคนกำลังล่องลอยอยู่ในท้องฟ้า ด้วยเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสภาพแวดล้อมทำให้ทุกคนถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว
"นี่….นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ " นักวิทยาศาสตร์ Dicerebral Men ตรวจสอบในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกของพื้นแข็ง ๆ ใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาคงจะเชื่อว่าเขาอยู่ในอวกาศจริง ๆ
เทคโนโลยีทัศนียภาพเสมือนจริง…Dicerebral Men ก็มีเทคโนโลยีนี้เช่นกัน แต่นี่…นี่มันรู้สึกเหมือนจริงมากและพวกเขาก็ยากที่จะบอกความถูกต้องของมัน มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจ
"ทุกคนมองข้างหลังคุณสิ ! " ถึงตอนนี้ Dicerebral Men คนหนึ่งก็อุทานขึ้น
ทุกคนหันหน้าไปมองทีละคน แค่แวบเดียวที่เหลือบมองพวกเขาก็กลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว
"พระเจ้า!"
"มันอัศจรรย์มาก ! :
มันเป็นท่าของทางทหารขนาดมหึมาที่มีรูปร่างเหมือนรังผึ้ง พร้อมกับกองยานรบนับหมื่นภายใต้ที่ยึดโลหะขนาดยักษ์ พวกมันดูเหมือนแถวทหารแต่ละแถวที่กำลังรอคำสั่ง พวกมันจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเป็นแถว ๆ
เมื่อพวกเขาคิดว่ายานลำใดลำหนึ่งเหล่านี้สามารถทำลายอารยธรรมทั้งหมดของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ร่างกายของพวกเขาก็ชาไปหมด ราวกับว่ากระแสไฟฟ้ากำลังไหลผ่านพวกเขา มันทำให้บางคนรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังคลานอยู่บนพื้น พลังของอารยธรรมขั้นสูงนี้พร้อมด้วยเทคโนโลยีของพวกเขา ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นอย่างหนัก
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาอุทานออกมาโครงสร้างขนาดมหึมาอีกโครงสร้างหนึ่งก็เข้ามาในสายตาของพวกเขา ตอนแรกทุกคนคิดว่ามันเป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์ที่กำลังใกล้เข้ามาในไม่ช้า แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ ๆ จนกระทั่งทุกคนได้เห็นพื้นผิวสะท้อนแสงสีเงินที่เรียบเนียนและรูปทรงที่กลมดิกผิดปกติซึ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้ของมันเท่านั้นเองพวกเขาก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวล
"โอ ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคารพ คุณช่วยบอกเราผู้ต่ำต้อยได้ไหมว่าสิ่งนั้นคืออะไร?" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Dicerebral Men ถามด้วยเสียงสั่น ๆ
เจ้าหน้าที่หนุ่มเผยรอยยิ้มเล็กน้อยที่แสดงถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองและกล่าวว่า "นี่เป็นป้อมปราการเคลื่อนที่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 500 กิโลเมตร มวลของมันเทียบเท่ากับ 20 เท่าของดาวบ้านของคุณ และเมื่อเติมด้วยเชื้อเพลิงปฏิสสาร มันก็จะสามารถเดินทางได้ถึง 6,000 ปีด้วยความเร็ว 50 เท่าของความเร็วแสง"
50 เท่าของความเร็วแสงคูณด้วย 6,000 ปีก็จะเป็น 300,000 ปีแสง
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาสูดหายใจอย่างเย็นเยือกโดยไม่รู้ตัว ตัวของพวกเขาสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เป็นที่ทราบกันว่าขนาดโดยรวมของทางช้างเผือกนั้นแค่ราว ๆ 100,000 ปีแสงเท่านั้น แต่ป้อมปราการเคลื่อนที่ขนาดมหึมาที่มีรูปร่างเหมือนดาวบริวารนี้สามารถบินออกไปจากมันได้แน่นอน !
เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นพูดแค่ประโยคเดียวก่อนที่เขาจะเงียบ แม้ว่าประโยคที่เขาเพิ่งพูดออกมานั้นในทางเทคนิคจะไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ก็ถือว่าเป็นการพูดเกินจริงจากบางมุมมอง ภายในของป้อมปราการเคลื่อนที่นั้นมีขนาดใหญ่มาก แต่ทว่าแม้จะยังไม่รวมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด มันก็สามารถใช้เป็นที่เก็บเชื้อเพลิงปฏิสสารได้แค่หนึ่งในสามของพื้นที่เท่านั้น แม้กับสถานะปัจจุบันของมนุษย์ พวกเขาก็ยังต้องการปฏิสสารทั้งหมดที่ผลิตจากทรงกลมไดสันภายใน 100 ปีเพื่อเติมมันให้เต็ม
สำหรับการเก็บปฏิสสารในปัจจุบันของป้อมปราการเคลื่อนที่นี้ สามารถใช้สนับสนุนการบินของมันได้เพียงราว ๆ 5,000 ปีแสงเท่านั้น