Epoch of Twilight จบแล้วอ่านฟรี - ตอนที่ 571: ภาพลวงตา?
ตอนที่ 571: ภาพลวงตา?
แม้ลู่หยวนจะมองว่าพวกเขาคงจะไม่สนใจความทุกข์ยากสักสองสามวัน แต่เขาไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้พวกเขามีบาดแผลในใจบางอย่าง
ความแข็งแกร่งของเขาเกินขีดระดับพลังของมนุษย์วิวัฒนาการ เขามีศักยภาพที่จะปรับสภาพโลกและทำลายภูเขา ไม่มีใครที่จะสามารถสงบสติอารมณ์ได้หากพวกเขาประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเหล่านี้
ฟองอากาศ (air bubble) ขนาดมหึมาที่มีรัศมีสองสามกิโลเมตรนำมนุษย์ทุกคนและสัตว์กลายพันธุ์นับพันลอยขึ้นไปในอากาศ ฟองอากาศเสียดสีกับอากาศที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างรุนแรง และหลังจากนั้นไม่นานมันก็กลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ที่ลุกโชน ม่านสายฝนที่อยู่ใกล้ ๆ ถูกลูกไฟนั้นแยกออกก่อตัวเป็นหมอกขึ้น ไม่ว่าลูกไฟจะไปที่ใดสีขาวที่ยาวเป็นทางนั้นก็ลอยตามไปในอากาศ เมื่อหมอกจางลงลูกไฟนั้นก็หายไปในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล
ภายในฟองอากาศไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์พวกเขาทั้งหมดเดินโซเซไปบนพื้น ไม่มีใครสามารถยืนอยู่ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเกิดความกลัวสุดขีด ยิ่งกว่านั้นพวกเขาทั้งหมดสูญเสียการควบคุมลำไส้ของพวกเขาทำให้กลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วพื้นที่นั้น
เกิดความเงียบไปทั่ว ไม่มีใครกล้าพูดคุยและทุกคนต่างจ้องมองกันและกัน ทำให้ความกลัวภายในพวกเขาทวีความรุนแรงมากขึ้น ความกลัวที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนที่จะถูกซัดลงไปในน้ำตกที่ลึกสุดหยั่งถึงก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งนี้
สิ่งลึกลับสามารถดึงความกลัวที่อยู่ลึกภายในจิตใจออกมาได้ มนุษย์กลัวสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติมากกว่าพลังที่มองเห็นได้และการคุกคามทางกายภาพ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้คือความรู้สึกลึกลับสามารถกระตุ้นให้เกิดความสัมพันธ์ทางจิตได้อย่างง่ายดายส่งผลให้ความกลัวยิ่งเพิ่มทวีขึ้น
แม้ว่าบริเวณภายนอกฟองอากาศกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง แต่อุณหภูมิภายในของมันก็ยังคงอยู่ในระดับปกติอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากรู้สึกช็อกในตอนแรกหลิงฉงอันพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ใจที่เต้นแรงของเขาสงบลง และค่อย ๆ กดลงไปบนฟองอากาศที่อยู่ข้างใต้เขา
เยื่อบุของฟองอากาศนั้นค่อนข้างนุ่มและเรียบคล้ายกับยางบาง ๆ มันให้ความรู้สึกราวกับว่ามันสามารถเจาะทะลุได้สบาย ๆ แค่ออกแรงเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงภาพลวงตา เขาพบว่าเมื่อเขากดลงไปมันจะเด้งกลับมาแรงมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามันผิดรูปไปมากกว่าสิบเซนติเมตรไม่ว่าแรงนั้นจะมีประสิทธิภาพแค่ไหนเยื่อบุนั้นก็จะไม่ยืดออกไปอีก
ในฐานะที่เป็นมนุษย์วิวัฒนาการท่ามกลางผู้รอดชีวิตบนโลกที่ไม่มีใครเทียบได้ พลังของเขาเกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดามาอย่างยาวนาน ฝ่ามือของเขาสามารถขยี้หินให้เป็นผงได้อย่างง่ายดายรวมทั้งเจาะทะลุเหล็กสิบเซนติเมตรได้อย่างสบาย แต่เมื่อต้องเผชิญกับฟองอากาศที่ไม่อาจอธิบายได้นี้ความแข็งแกร่งของเขาก็ไร้ความหมาย
อันที่จริงนี่ไม่ใช่แค่ฟองอากาศแบบใด ๆ เลย ที่จริงแล้วมันเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง แกนและอิเล็กตรอนของอะตอมมีสัดส่วนไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของมวลโดยรวม กว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ที่เราทราบมันถูกสร้างขึ้นโดยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและนั่นคือสิ่งที่ผู้คนรู้สึกเมื่อสัมผัสพื้นผิววัสดุ
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของทุกอะตอมมีความถี่แตกต่างกัน สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือการปรับความถี่และโครงสร้างของมันเพื่อให้ทนทานและป้องกันความร้อนได้สูง
สำหรับมนุษย์ธรรมดา พวกเขาจะไม่สามารถแยกความแตกต่างจากสิ่งอื่น ๆ ได้
หลิงฉงอันรู้สึกสิ้นหวังกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้จะต่อสู้ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เลย ความมึนงงภายในร่างกายของเขาทำให้เขาไม่สามารถรวบรวมพลังได้
วันนี้มีสิ่งที่น่ากลัว ตามมาด้วยพายุฝนและน้ำท่วมหนัก พวกเขาต้องจำใจทิ้งถ้ำน้ำแข็งที่พวกเขาเคยอยู่มานานหลายสิบปี พวกเขาเสี่ยงอันตรายตลอดการเดินทางไปยังเนินเขา เมื่อเขารู้สึกว่าพวกเขาสามารถปักหลักชั่วคราวได้สักพัก มันก็ลงเอยด้วยเนินเขาถูกน้ำที่ท่วมละลายไป ปล่อยพวกเขาให้อยู่ในความเมตตาของพลังลึกลับนี้
สำหรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงพวกเขา เขาอาจจะไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้
"หัวหน้า ยานอวกาศ ! มียานหลายลำมาก ! พวกมันอยู่กันเต็มอวกาศเลย" ทันใดนั้นเสี่ยวหูจู่ ๆ ก็ตะโกนขึ้น เสียงของเขามีความกลัวอย่างมาก มันไม่ใช่ยานลำเดียวจากทศวรรษที่แล้ว มันไม่ใช่แค่สอง แต่จริง ๆ แล้วมันมียานหลายหมื่นลำออกมาจากความว่างเปล่าในลักษณะที่คาดไม่ถึง
คนกลุ่มนั้นตื่นตระหนก
ทุกคนรู้สึกว่าความเศร้าใจกำลังบุกรุกเข้ามาในใจของพวกเขาและก็เริ่มร้องไห้
"ในที่สุดเราก็มาถึงจุดจบแล้วใช่ไหม?"
"ฉันรู้…ฉันรู้ ฉันมักจะพูดอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งมนุษย์ต่างดาวจะกลับมา และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ! "
"ไอ้พวกสารเลว แม้ว่าฉันจะตาย ฉันก็จะพาพวกมันไปกับฉันด้วยสองสามคน"
…
บางคนก็ร้องไห้และบางคนก็สาปแช่ง ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เสียงของพวกเขาก็ค่อย ๆ เริ่มอ่อนลง ด้วยพลังที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเกิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา ทุกคนยังคงกลัวและสิ้นหวัง ในที่สุดพวกเขาก็หมดความตั้งใจที่จะสาปแช่ง บรรยากาศกำลังหดหู่และสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
"บางทีเราอาจจะไม่ตายก็ได้ ! " จู่ ๆ คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาทันที
คำพูดนี้ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน บรรดาคนที่กำลังร้องไห้อยู่ก็หยุดและเงยหน้าขึ้น ชายวัยกลางคนที่น่าเวทนาลูบหัวของเขาอย่างภาคภูมิใจแล้วพูดว่า "ถ้าพวกมันต้องการฆ่าเรา แล้วทำไมพวกมันถึงช่วยชีวิตพวกเราล่ะ ? "
ตาของคนกลุ่มนั้นเป็นประกายขึ้นเพราะด้วยคำพูดนี้ หากพวกเขาถูกล่าแล้วต่อจากนั้นก็ฆ่า มันก็จะไร้จุดหมายโดยสิ้นเชิง เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่จองหองและหยิ่งยโสนี้จะไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ หากพวกมันจับพวกเขา พวกเขาอาจมีประโยชน์บางอย่างกับพวกมัน
หลังจากเห็นว่าแม้แต่หลิงฉงอันก็จ้องมองด้วยความสนใจในประเด็นนี้ มนุษย์วิวัฒนาการวัยกลางคนที่น่าเวทนานี้ก็ตื่นเต้นและพูดว่า "คุณเคยไปสวนสัตว์หรือเปล่า ? "
“บ้าเอ้ย! คุณก็แค่พูดพล่ามไปเรื่อย ? ใครในยุคนั้นที่ไม่เคยได้ยินเรื่องสวนสัตว์บ้างล่ะ ? อย่าให้คนอื่นต้องคาดเดา พูดมา ! ”
"จะบอกว่า พวกเราเป็นมนุษย์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์หรือเปล่า ? เราไม่ได้มีกันน้อยหรอกเหรอ ? เมื่อเห็นว่าคนกลุ่มนั้นกำลังโกรธเขา มนุษย์วิวัฒนาการคนนี้ก็รีบกล่าวต่อว่า "มนุษย์เราก็มีสติปัญญาและเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรม แต่คุณไม่คิดหรือว่าพวกมันมีมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับพวกเรา ? ฉันประเมินว่าไม่ว่าเราจะเปรียบเทียบตัวเองกับพวกมันอย่างไร สถานะของเราก็สูงกว่าสัตว์กลายพันธุ์เพียงเล็กน้อย"
ชั่วแวบหนึ่งคนกลุ่มนั้นต่างก็รู้สึกด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนปนเปกัน แต่เดิมพวกเขาเป็นเจ้าของโลก แต่ตอนนี้พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อตำแหน่งของพวกเขากับสัตว์ที่กลายพันธุ์ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการที่ต้องเผชิญกับความตาย ความอัปยศอดสูแบบนี้ก็ไม่ยากที่จะยอมรับ
อารยธรรมของมนุษย์ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง กลไกทางชีวภาพของการสืบพันธุ์และเผ่าพันธุ์ทั้งหมดกำลังจะสูญสิ้น มนุษย์ที่เหลืออยู่ก็ค่อย ๆ เสื่อมลงมานานแล้ว และพวกเขาก็ไม่มีคุณธรรมที่สมบูรณ์อีกต่อไป สำหรับศักดิ์ศรี ความตายที่ดีนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการเอาตัวรอด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่พวกเขาจะเสี่ยงและทำทุกสิ่งทุกอย่าง
นอกเหนือจากความอึดอัดใจในตอนแรกดูเหมือนว่าทุกคนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความหวาดกลัวจากเงาของความตายค่อย ๆ หายไป และถึงแม้จะไม่ถือว่าได้กลับมามีชีวิตชีวาเมื่อเทียบกับการสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตและได้ลดลงสู่สภาวะสิ้นหวังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก็อาจกล่าวได้ว่าความแตกต่างของอารมณ์เกิดขึ้นมากมาย
กลุ่มคนเริ่มมีการถกเถียงกันอย่างหนักเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของพวกเขา
บางคนมีความกังวลกับการถูกมนุษย์ต่างดาวทำการชำแหละเพื่อการศึกษาและชีวิตของพวกเขาก็จะไม่มีหลักประกัน คนอื่น ๆ ก็ได้หักล้างความคิดนั้นและเสนอข้อคิดเห็นที่ตรงกันข้าม โดยระบุว่าสายพันธุ์ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างมนุษย์มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มนุษย์ต่างดาวจะไม่ทำแบบนั้นอย่างเช่นทำลายตัวอย่างที่ดีเช่นนี้ ด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาว พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคอย่างการผ่าชำแหละ เพราะมันเป็นวิธีการวิจัยแบบดั้งเดิม
หลังจากการถกเถียงกันอย่างยาวนาน พวกเขาก็มาถึงข้อสรุปสุดท้ายว่าไม่จำเป็นต้องกังวลกับการดื่มและกิน ซึ่งคล้ายกับวิถีชีวิตของแพนด้า คนกลุ่มนั้นเคลิบเคลิ้มและมีบางคนที่เริ่มจินตนาการถึงวิถีชีวิตแบบนั้น
หลิงฉงอันไม่ได้เข้าร่วมการสนทนาและฟังการถกเถียงของทุกคน เขาเริ่มรู้สึกสับสนในใจของเขา พวกเขาอาศัยอยู่ในสวนสัตว์ของมนุษย์ต่างดาวและจะได้รับการชื่นชมในงานแสดงตั้งแต่แรกไหม ?
สมมติฐานของเขาดูเหมือนจะไม่ยากเกินกว่าจะยอมรับได้ !
ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการสนทนารวมถึงเสี่ยวหู แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขามีอำนาจ แต่เป็นเพราะเขาถูกดึงดูดไปยังยานอวกาศ 'มนุษย์ต่างดาว' นับหมื่นนอกชั้นบรรยากาศ ยานทุกลำเหล่านี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับภูเขา ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว เขาอดตัวสั่นไม่ได้
ในตอนแรกเขามองด้วยความอยากรู้และรู้สึกยำเกรง แต่ยิ่งเขามองนานเท่าไหร่ความสงสัยก็ยิ่งเพิ่มขึ้นในใจของเขา
ยาน 'มนุษย์ต่างดาว' เหล่านี้บินอยู่ใกล้ ๆ ชั้นบรรยากาศรอบนอกของโลกและมียานหลากหลายขนาด อย่างไรก็ตามบางทีอาจจะแยกแยะได้ว่ามียานอยู่ 2 ประเภทที่แตกต่างกันจากรูปร่างของพวกมัน
หนึ่งนั้นมีรูปทรงสามเหลี่ยมที่มีความแหลมสม่ำเสมอ และอีกแบบหนึ่งเป็นรูปทรงกลมที่มีส่วนที่โป่งออกมาขนาดใหญ่
แบบแรกนั้นมีจำนวนน้อย โดยมีเพียงหนึ่งร้อยลำหรือมากกว่านั้น เหล่านั้นเป็นยานขับเคลื่อนแบบไร้ปฏิกิริยาสะท้อนที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงสองปีของการเคลื่อนย้าย ทุกลำของยานเหล่านี้สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์และพร้อมกับพื้นผิวที่เรียบเหมือนเปลือกไข่ พื้นผิวของยานเหล่านี้ไม่มีรอยหรือจุดตำหนิ
สำหรับแบบหลังพื้นผิวของมันดูหยาบเมื่อมองด้วยตาเปล่า เสี่ยวหูรู้สึกว่าฝีมือของมันไม่เท่าเทียมกับแบบแรก ยิ่งไปกว่านั้นมีเครื่องหมายและคำหลากหลายแบบ
ความสงสัยของเขาเกิดขึ้นจากคำเหล่านั้น !
ความสามารถจากการวิวัฒนาการของเขานั้นเป็นจำพวกซึ่งยากที่จะวัดระดับได้ เขาไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้มากนัก แต่การมองเห็นของเขาเป็นไปตามทฤษฎี แม้ว่าการมองเห็นของทุกคนที่นี่ถูกรวมเข้าด้วยกันมันก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับของเขาเอง
ดวงตาของเขาสามารถดูดซับรังสีของแสงที่อ่อนที่สุดได้และการมองเห็นของเขาก็เปรียบได้กับระบบตรวจจับแสงที่ทันสมัยที่สุดของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาเขาสามารถมองเห็นยานของ Glassian เหล่านั้นที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบล้านกิโลเมตรผ่านเมฆฝุ่นหนาในชั้นโอโซน
แม้จะมีการพัฒนาไม่มากนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่การค้นหายานที่อยู่ใกล้ ๆ โลกเป็นงานที่ง่ายมาก
"โรงงานผลิตยานบรรทุกสินค้าโรงที่หนึ่ง!"
"สินค้า AS123440 ! "
…
"โรงงานผลิตยานบรรทุกสินค้าโรงที่ 5 ! "
"สินค้า CW808000!"
เมื่อดูคำเหล่านี้ทำให้เขาสับสนมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสเขียนในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมานี้และก็ไม่ได้อ่านอะไรเช่นกัน เขาจำตัวอักษรเหล่านั้นได้ในทันที โดยทั้งหมดนั้นเป็นภาษาจีน อังกฤษ และคณิตศาสตร์เป็นหลัก ทุกตัวสุดท้ายของพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของภาษาของมนุษย์
"เป็นไปไม่ได้"
"เป็นไปได้ยังไง ? "
"มันต้องเป็นภาพลวงตา!"
เขาพึมพำกับตัวเองเหมือนคนบ้า คำที่อยู่ต่อหน้าสายตาเขา มันเกินกว่าความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง เหลือเชื่อจริง ๆ !
สถานการณ์แบบนี้เป็นเหมือนคนยากจนที่กำลังรออาหาร จู่ ๆ ก็พบว่าครอบครัวของเขาร่ำรวยมาก และพ่อของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ ทำให้เขามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงนับไม่ถ้วน ในขณะที่แม่ของเขามีบ่อน้ำมัน 500 บ่อ ส่งผลให้เงินสดของเขาสามารถบินรอบโลกได้นับสิบเที่ยว
เขาขยี้ตา จากนั้นตบแก้มทั้งสองข้างของเขาอย่างแรง จนกระทั่งใบหน้าของเขาบวม เขารู้สึกว่าเขาน่าจะตื่นอยู่ ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก
ปฏิกิริยาที่แปลก ๆ ของเขาในที่สุดก็ดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ
“พี่หู เป็นอะไรไป ? คุณกลัวมนุษย์ต่างดาวรึ ? ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันเกรงว่าในอนาคตเราจะมีชีวิตที่ดี” มนุษย์วิวัฒนาการคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความโกรธแค้นพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ
"ใช่ ! ใช่ ! จากการสนทนาของเรา เราลงความเห็นกันว่าเราจะไม่ตายในเร็วๆ นี้"
เสี่ยวหูดึงความรู้สึกของเขากลับมา เขามองไปที่กลุ่มคนและถามอย่างจริงจังในขณะที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น "นี่เรากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ? "
"พี่หู ฝันอะไรกัน ? คุณยังนอนหลับอยู่หรือไง ? " ผู้หญิงของเขาต่อว่าเขา
"พี่หู นี่คือความสุขหลังจากฟังข่าวดี มันไม่ใช่ความฝันหรอก"
หลิงฉงอันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากน้ำเสียงของเขาและถามทันทีว่า "คุณพบอะไรรึ ? "
สีหน้าของเสี่ยวหูมีลักษณะแปลก ๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้ เขากลืนน้ำลาย เผยอปาก และภายใต้การกระตุ้นของคนกลุ่มนั้นเขาก็พูดว่า "ถ้าฉันบอกคุณว่ายานเหล่านี้ที่รายล้อมอยู่ในอวกาศเป็นของมนุษย์ คุณจะเชื่อฉันไหม ? "