Dragon Kings Son-In-Law - DK 20 : พีชล้ำค่า ?
DK 20 : พีชล้ำค่า ?
แต่เขาหลบทัน และจับมือเล็กๆนั่นเอาไว้ โดยไม่รู้ตัวว่าฉ่าวเหยียนจื่อเตรียมอีกหมัดไว้ให้เขา กำปั้นอีกข้างของฉ่าวเหยียนจื่อพุ่งตรงเข้าท้องเขาและชกได้เข้าเป้าเต็มๆ
ฉ่าวเหยียนจื่อดึงมือตัวเองกลับมาแล้วจ้องมองฮ่าวเหรินอย่างเกรี้ยวกราด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก… เสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น ฮ่าวเหรินและฉ่าวเหยียนจื่อจึงหันไปมองประตูตามเสียง เป็นฉ่าวกวงเปิดประตูเข้ามา
"ติวเป็นไงบ้าง?" เขาเดินเข้ามาแล้วถามต่อ
"อ่า ดีเลยครับ" ฮ่าวเหรินลูบท้องตัวเองพลางตอบ
ฝ่ายฉ่าวเหยียนจื่อหน้าแดง ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
"จื่อน่ะไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย เราอยากหาติวเตอร์ให้เธอ แต่เธอไม่เห็นด้วยนี่สิ เพราะงั้นเราเลยขอให้นายช่วยสอนเธอแทนหน่อย" ฉ่าวกวงพูดกับฮ่าวเหริน
"ครับ เธอพยายามหนักมากเลยครับ" ฮ่าวเหรินพูดต่อ
คนถูกพูดถึงเหลือบมองฮ่าวเหริน เพราะเธอไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะพูดอะไรดีๆถึงเธอแบบนั้น
"เด็กคนนี้น่ะเล่นเยอะ จริงๆแล้วเธอฉลาดนะ แต่ไม่ค่อยขยันเท่าไหร่" แต่ฉ่าวกวงตอบการโกหกของฮ่าวเหรินอย่างตรงไปตรงมา
"พ่อ…" ฉ่าวเหยียนจื่อเป็นต้องอายอีกครั้ง เธอเรียกคนเป็นพ่อออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ฉ่าวกวงไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองฮ่าวเหรินต่อ "แล้วการฝึกคัมภีร์กักขังวิญญาณกับผู้อาวุโสลู่เป็นยังไงบ้าง?"
"ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นเลยครับ" เขาตอบ
"ค่อยๆฝึกไปแล้วกันนะ" ฉ่าวกวงกล่าว ก่อนจะกวักมือเรียกฮ่าวเหริน "ตามมาสิ"
ฉ่าวกวงเดินนำเขาไปยังบันไดลับเล็กๆ และเดินขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา ฉ่าวเหยียนจื่อที่อยากรู้ก็เดินตามพวกเขามาด้วย
"นี่คือสตูดิโอที่บ้านของแม่ของจื่อ แต่ปกติเธอจะไม่ค่อยใช้มันตอนกลางคืนเท่าไหร่ ถ้านายติวหนังสือให้จื่อเสร็จแล้ว นายจะมาฝึกที่นี่ต่อก็ได้นะ" ฉ่าวกวงกล่าว
ฮ่าวเหรินมองไปรอบๆ สตูดิโอนี้เล็กกว่า 10 ตารางเมตร แต่ถูกตกแต่งอย่างเรียบหรู และไม่รู้สึกว่าห้องนี้แคบเลยสักนิด
ชั้นวางหนังสือทรงสามเหลี่ยมลาดเอียงเป็นขั้นบันไดเพิ่มพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ชั้นบนมีหนังสือมืออาชีพทุกชนิดที่เกี่ยวกับการดีไซน์ และส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาต่างประเทศด้วย
อีกฝั่งของห้อง มีโต๊ะเรียบๆตัวหนึ่งซึ่งมีอุปกรณ์วาดรูปต่างๆวางอยู่ เก้าอี้ที่โต๊ะมีสีเขียวราวกับหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ สร้างบรรยากาศของความเป็นจิตรกรให้ห้องใต้หลังคาเล็กๆนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อมองผ่านหน้าต่างบานเล็กออกไปจะเห็นสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยพืชผักสีสด มองแล้วน่ารื่นรมย์
"พ่อคะ พ่อกับแม่ชอบเขามากกว่าหนูอีก ทีหนูยังเข้ามาในห้องนี้ไม่ได้เลย แล้วทำไมเขาถึงเข้ามาฝึกในห้องนี้ได้ล่ะคะ?" ฉ่าวเหยียนจื่อพูดอย่างไม่พอใจ
"งั้นลูกมาทำการบ้านในห้องนี้แล้วให้เขาไปฝึกในห้องลูกแทนดีมั้ย?" ฉ่าวกวงถาม
"ไม่มีทาง!" ฉ่าวเหยียนจื่อรีบสั่นหัวอย่างหนักหน่วงราวกับเป็นหน้ากลองที่กำลังสั่นสะเทือน
"ใช่แล้ว งั้นก็ไปทำการบ้านได้แล้วนะ" ฉ่าวกวงพูดต่อ
ฉ่าวเหยียนจื่อจึงเดินออกไปตามคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ
ฉ่าวกวงมองฮ่าวเหริน "ในคัมภีร์กักขังวิญญาณจะมีอยู่ 3 ระดับ ระดับแรกคือการติดต่อกับสวรรค์และโลก สัมผัสถึงพลังในธรรมชาติ และทำร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ไปพร้อมๆกัน ระดับที่สองคือการนำพลังเข้าสู่ร่างกาย ขั้นตอนนี้จะช้าหน่อย แต่มันจะช่วยเรื่องความแข็งแกร่งในตัวนายได้มาก ส่วนระดับที่สามจะเป็นการปล่อยพลังออกมาจากร่างกาย นายจะได้ฝึกเทคนิคอื่นๆต่อ ก็ต่อเมื่อนายผ่านระดับที่สามนี้ไปแล้ว"
ฮ่าวเหรินมองฉ่าวกวง ฟังเขา และจดจำสิ่งที่เขาบอกไปพร้อมๆกัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าฉ่าวกวงอยากแนะนำการฝึกให้ฮ่าวเหรินด้วยตัวเขาเอง
"ระดับแรก ต้องติดต่อกับสวรรค์และโลก จริงๆมันก็พอมีเทคนิคอยู่…" ฉ่าวกวงหันหน้าเข้าหาฮ่าวเหรินและอธิบายอย่างละเอียด
ถ้าเหล่าผู้อาวุโสมาเห็น "ราชามังกร" กำลังอธิบายเรื่องพื้นฐานให้ฮ่าวเหรินอยู่ตอนนี้ พวกเขาคงช็อคไปตามๆกันแน่ แต่ฮ่าวเหรินในตอนนี้ลืมนึกถึงสถานะของฉ่าวกวงไปเสียสนิท ฮ่าวเหรินรู้สึกซาบซึ้งใจเพราะคิดเพียงว่าฉ่าวกวงต้องสละเวลาจากตารางงานกันยุ่งเหยิงของเขามาสอนเรื่องพวกนี้ให้
การสอนของฉ่าวกวงนั้นเข้าใจง่ายมาก ฮ่าวเหรินก็ได้เรียนรู้อะไรจากเขาไปเยอะพอสมควร เรื่องที่เขาไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็กระจ่างหมดแล้ว มั่นใจได้เลยว่า ถ้าเขาพยายามทำความเข้าใจด้วยตัวเอง มันจะต้องยากมากแน่ๆ
ฮ่าวเหรินยังเข้าใจอีกว่าความอันตรายที่ฉ่าวเหยียนจื่อต้องเผชิญมาตลอด 3 ปีมันมากแค่ไหน และภายใน 3 ปีหลังจากนี้ เขาก็จะต้องรับความเสี่ยงนั่นด้วยเช่นกัน
การกลืนลูกแก้วมังกรลงไปเป็นการกระทำที่อันตรายมาก ถ้าฮ่าวเหรินไม่ฝึกเทคนิคของตระกูลมังกรเพื่อควบคุมพลังของพลังมังกรแล้วล่ะก็ ไม่ช้าก็เร็วร่างกายเขาคงจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆเพราะพลังของมันแน่นอน
จากสถานะของฉ่าวกวง ลูกแก้วมังกรมีสัญชาตญาณในการดูดซับพลังงานทางจิตวิญญาณบนสวรรค์และโลก ดังนั้นจึงเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลก คนของตระกูลมังกรจะเกิดมาพร้อมกับลูกแก้วที่เป็นแก่นพลัง และด้วยเหตุนี้ ตระกูลมังกรจึงกลายเป็นตระกูลที่มีความพิเศษเฉพาะตัวและมีพลังอำนาจนั่นเอง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เป็นเวลา 3 ทุ่มครึ่งแล้ว
"คุณลุงครับ ผมต้องกลับแล้ว หอพักผมปิด 4 ทุ่มน่ะครับ" ฮ่าวเหรินมองเข็มนาฬิกาเดินและพูดอย่างเร่งรีบ
"โอเค ผมยังมีเนื้อหาอีกครึ่งยังไม่ได้อธิบาย แต่ว่าเอาไว้เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะ" ฉ่าวกวงกล่าวพลางเดินนำฮ่าวเหรินออกมาจากห้องใต้บันได
"อืมม งั้นผมกลับเลยนะครับ" ฮ่าวเหรินพยายามพูดอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่ทำได้ ว่ากันตามตรง ฮ่าวเหรินค่อนข้างประทับใจที่ฉ่าวกวงใช้เวลาสอนเขาอยู่นานโข โดยเฉพาะวันนี้ ที่ฉ่าวกวงเพิ่งจะทำงานล่วงเวลามาหมาดๆ
"เดี๋ยวผมขับไปส่ง" ฉ่าวกวงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้
ตอนแรกฮ่าวเหรินก็อยากปฏิเสธ แต่เขาเลือกพยักหน้ารับเพราะคิดว่าฉ่าวกวงคงมีเรื่องอยากจะคุยด้วย ฉ่าวหงหยู่กับฮ่าวเหรินเป็นแม่ยาย-ลูกเขยที่เข้ากันได้ดี ดังนั้น ความสัมพันธ์แบบพ่อตา-ลูกเขยก็น่าจะมีเรื่องให้คุยกันหลายเรื่องเลย จริงมั้ย?
ฉ่าวกวงพาฮ่าวเหรินออกมาข้างนอกก่อนจะตรงไปที่โรงรถ ซึ่งมี Chevrolet สีดำจอดอยู่
ฮ่าวเหรินก้าวขึ้นรถไปเงียบๆ เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น เขาก็รอให้ฉ่าวกวงเป็นคนเริ่มพูดก่อน
แต่ฉ่าวกวงกลับขับรถออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้ฮ่าวเหรินนั่งไปโดยมีคำถามอยู่เต็มหัว แต่เขาก็ไม่กล้าถามออกมาเพราะสีหน้าเย็นชาของฉ่าวกวงอยู่ดี
ฉ่าวกวงขับรถมาถึงหน้าประตูทางเข้าหอในประมาณ 15 นาทีถัดมา เมื่อเห็นเขาดูคุ้นเคยกับเส้นทางมาที่มหาวิทยาลัยแล้ว ฮ่าวเหรินก็นึกขึ้นได้ว่าหมิงลี่กรุ๊ปเป็นผู้ให้ทุนรายใหญ่ของมหาวิทยาลัยครามบูรพา นั่นแปลว่าพวกเขาบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยสร้างสนามกีฬา ห้องสมุด และล่าสุดก็ตึก Media Academy งั้นสิ?
"พรุ่งนี้มาเวลาเดิม แล้วก็ติวให้จื่อหลังมื้อเย็นเหมือนเดิมนะ" ฉ่าวกวงพูดหลังจากจอดรถลงหน้าประตูหอแล้ว
"โอเคครับ ขอบคุณครับคุณลุง" ฮ่าวเหรินตอบรับแล้วลงจากรถ
ฉ่าวกวงพยักหน้า ก่อนจะขับรถกลับไป
ตลอดการเดินทางตั้งแต่ออกจากบ้านจนมาถึงหอ ลูกเขยกับพ่อตาคู่นี้ก็คุยกันเพียงแค่ 2 ประโยคเท่านั้น
ฮ่าวเหรินเดินเข้าหอพักและขึ้นไปยังชั้น 3 ฉ่าวเจียยี่และคนอื่นๆก็ตรงเข้ามาห้อมล้อมเขา "พ่อหนุ่มน้อย! คราวนี้มีรถมาส่งนายด้วยเหรอ? นี่เดทกับผู้หญิงรวยๆอยู่ใช่เปล่า?"
"ผมเพิ่งติวเสร็จ พ่อเธอขับรถมาส่งผมต่างหาก" ฮ่าวเหรินตอบตรงๆ
"ทำไมผมไม่เจอสาวน้อยรวยๆบ้างน้า? ที่ไม่ใช่แค่สวยแต่รวยด้วยน่ะ…" ซู่ลี่เหรินตะโกนออกมาด้วยความเศร้า
"ถ้าเราบอกเจ้าพวกนี้ว่าเราไม่ได้แค่ติวหนังสือให้สาวน้อยบ้านรวยเท่านั้น แต่เป็นคู่หมั้นของเธอด้วย ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะตกใจกันขนาดไหน…" ฮ่าวเหรินคิดในใจ
หลังจากแยกตัวออกมาจากกลุ่มรูมเมทได้แล้ว ฮ่าวเหรินก็ปีนขึ้นไปบนเตียงของตัวเองเพื่ออ่านหนังสือต่อ
"ช่วงนี้ฮ่าวเหรินดูมีนางฟ้าหลายคนรายล้อมเลยนะ ตอนแรกก็ไปติวหนังสือให้สาวน้อยน่ารัก จากนั้นก็ฉู่ฮั่นเรียกให้ไปหาที่ออฟฟิศ หรือแม้แต่หัวหน้าห้องเซี่ยหยู่เจียช่วงนี้ก็ยังดูใส่ใจเขามากเป็นพิเศษเลย…"
เมื่อเห็นฮ่าวเหรินดูไม่ใส่ใจนัก ฉ่าวเจียยี่ ซู่ลี่เหรินและช่าวหลงฮวางก็เริ่มจับเข่าคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นสเน่ห์แนวนี้ของฮ่าวเหรินมาก่อน
ฮ่าวเหรินถือหนังสือเอาไว้ในมือ ทำเป็นกำลังอ่าน แต่จริงๆแล้วกำลังพยายามปรับอารมณ์และระดับจิตใจให้คงที่อยู่ เขาทำตามคำแนะนำของฉ่าวกวง โดยเริ่มจากควบคุมพลังอ่อนๆให้ไหลจากจุดป่ายฮุ่ยไปยังจุดเสินถิง ก่อนจะผ่านไปยังขมับ จุดเอ่อร์เหมิน จุดจิงหมิง ร่องริมฝีปากบน จุดหย่าเหมิน จุดเฟิงฉือ จุดเหรินหยิง จุดถานจง จุดจฺวี้เชวี่ย จุดชี่ห่าย จุดจางเหมิน และสุดท้ายก็ผ่านไปยัง จุดหย่งเฉฺวียนที่ใต้ฝ่าเท้าเขาและกลับมายังจุดกึ่งกลางร่างกายอีกครั้ง (จุดทั้งหมดเป็นจุดฝังเข็มในการแพทย์แผนจีน)
แก่นพลังมังกรที่จุดตันเถียนในร่างกายของฮ่าวเหริน (จุดตันเถียนอยู่บริเวณท้องน้อย เป็นจุดกักเก็บพลังในนิยายกำลังภายในของจีน) ก็เกิดสั่นขึ้นมาเบาๆเมื่อพลังเริ่มไหลเวียนในตัวเขา
มีเสียง "ก๊อก" ฮ่าวเหรินรู้สึกเหมือนมีใครมาเคาะที่หน้าผาก ร่างกายเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าดูเหมือนจะถูกเปิดออกแล้ว
จากนั้น ฮ่าวเหรินก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณแห่งโลกและสวรรค์ได้ไหลเข้ามาอยู่ในตัวเขา มันหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแผ่ซ่านผ่านจุดฝังเข็มกว่าร้อยจุดไปทั่วร่าง
แล้วจู่ๆตัวเขาก็เบาโหวง พลังวิญญาณแห่งโลกและสวรรค์ที่ยากจะสัมผัส ตอนนี้มันกำลังเติมเต็มตัวเขา ตัวเขาที่ทำหน้าที่เป็นตะกร้าโปร่งใส เขาไม่ได้กักเก็บพลังพวกนั้นไว้ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางมันเช่นกัน
ความรู้สึกที่ชัดเจนนี่มันทำให้ฮ่าวเหรินรู้สดชื่นยิ่งกว่ากินลูกอมเปปเปอร์มินต์ 100 เม็ดเสียอีก
ฮ่าวเหรินกำลังพยายามสนุกไปกับความรู้สึกสดชื่นสุดๆของตัวเองตอนนี้ให้มากขึ้น เขาไม่คิดเลยว่า การเลื่อนขั้นมาแตะระดับแรกของคัมภีร์กักขังวิญญาณจะง่ายขนาดนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป……..