Dragon Kings Son-In-Law - DK 19 : ทำหน้าที่แทน?
DK 19 : ทำหน้าที่แทน?
บนโต๊ะอาหารระหว่างมื้อเย็น ฉ่าวหงหยู่กำลังถามไถ่ลูกสาวตัวเองเกี่ยวกับความเป็นไปในโรงเรียนของเธอ
ฮ่าวเหรินได้เพียงแต่ฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่เงียบๆ
สองแม่ลูกดูหน้าตาคล้ายกันดี แต่คนหนึ่งอ่อนโยนและเป็นผู้ใหญ่ ส่วนอีกคนหนึ่งน่ารักมีเสน่ห์ ความต่างกันของภาพลักษณ์ตรงนี้แหละที่น่าสนใจ
ฉ่าวกู๋ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกำลังกินอาหารในจานเสียงดังราวกับว่าเขาแทบไม่ได้หายใจเลย
"พ่อของฉ่าวเหยียนจื่อ ฉ่าวกวง ดูเป็นคนฉลาดและมีความเป็นผู้นำสูง ฉ่าวกู๋คนนี้คงเป็นน้องชายของเขา เพราะบุคลิกดูไม่รอบคอบแถมยังโผงผาง ต่างกับพี่ชายจริงๆ ไหนจะรูปร่างหน้าตา เขาไม่ได้ดูดีเท่าฉ่าว กวงเท่าไหร่ แถมหน้าดูดุและผิวเข้มกว่าด้วย" ฮาวเหรินคิดในใจ
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายของตาฮ่าวเหรินที่จ้องอยู่ ฉ่าวกู๋ก็เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องเขากลับ ใบหน้าสีแทนพร้อมหนวดเคราทำฮ่าวเหรินขวัญกระเจิง
หลังมื้อเย็นจบลง บทสนทนาของสองแม่ลูกก็จบลงด้วย ฉ่าวหงหยู่ยืนขึ้นและเก็บเอาจานชามไปล้าง "จื่อ ขึ้นห้องไปติวหนังสือกับเหรินนะ"
ฉ่าวเหยียนจื่อเบะปากเล็กๆของเธอ "เพิ่งกินเสร็จเองนะ หนูยังอยากดูทีวีอยู่เลย…"
"ไม่ได้ ถ้าลูกดูทีวี เหรินก็ต้องกลับดึกน่ะสิ" ฉ่าวหงหยู่ปฏิเสธคำขอลูกสาวอย่างหนักแน่น ไม่เว้นช่องว่างให้เธอโต้ตอบอะไรอีก
ฉ่าวเหยียนจื่อเปลี่ยนมากัดริมฝีปากด้วยความเศร้าแทน ก่อนจะหันมาจ้องฮ่าวเหรินอย่างเคืองๆ ดูเหมือนว่าเธออยากเอาความโกรธมาลงกับเขาเต็มแก่แล้ว
"อย่าโอ้เอ้สิ! ขึ้นห้องไปอ่านหนังสือได้แล้วนะ!" ฉ่าวหงหยู่เร่ง
"โอเคๆ! หนูรู้แล้วน่า!" ฉ่าวเหยียนจื่อตรงไปยังบันไดและเดินขึ้นด้านบนไปก่อน
ฮ่าวเหรินหัวเราะ ก่อนจะหยิบอุปกรณ์การเรียนแล้วตามเด็กน้อยไป ตอนนี้เขาไม่มองว่าฉ่าวเหยียนจื่อเป็นคู่หมั้นของเขาด้วยซ้ำ เพียงแต่มองว่าเธอเป็นเพียงเด็กน้อยจอมยุ่งคนหนึ่งเท่านั้น
แต่จู่ๆ ฉ่าวกู๋ก็เดินตามทั้งสองคนไปด้วย
"นี่จะขึ้นไปข้างบนทำไมเหรอ?" ฉ่าวหงหยู่เรียก
"แหะๆ… ผมแค่อยากดูชั้นบนเฉยๆน่ะ…" ฉ่าวกู๋เกาหัวพลางเดินต่อไปและตอบด้วยความอาย
เห็นได้ชัดว่าเขากังวลที่ต้องปล่อยให้ฉ่าวเหยียนจื่อและฮ่าวเหรินอยู่ด้วยกันลำพัง ดังนั้นเขาจึงตามทั้งสองคนไปเพื่อคอยดูแล อีกอย่างคือเขาอยากเห็นว่าฮ่าวเหรินฉลาดแค่ไหน จะสอนฉ่าวเหยียนจื่อได้จริงๆรึเปล่า
ฉ่าวหงหยู่รู้ดีว่าถ้าฉ่าวกู๋ขึ้นไปด้วยจะทำลายบรรยากาศเอาได้ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากถอนหายใจเบาๆและทำความสะอาดโต๊ะอาหารต่อไป
ฮ่าวเหรินเดินตามฉ่าวเหยียนจื่อและเข้าไปในห้องของเธอ ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อเห็นน้าสามเดินตามมาด้วย แต่เพราะฉ่าวกู๋เป็นผู้ใหญ่ แถมห้องนั้นยังเป็นห้องของฉ่าวเหยียนจื่ออีก ดังนั้น ฮ่าวเหรินจึงไม่มีเหตุผลอะไรจะขอให้เขาออกไปได้
ฉ่าวเหยียนจื่อบุ้ยปากและนั่งลงหน้าโต๊ะอย่างขุ่นเคือง
ฮ่าวเหรินเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาวางลงตรงหน้าเธอ "ทำแบบทดสอบนี้ก่อนนะ"
"ฉันยังมีการบ้านต้องทำอีกเยอะนะ!" ฉ่าวเหยียนจื่อมองฮ่าวเหรินกลับด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร
"อยากให้ผมเรียกแม่คุณขึ้นมาบนนี้มั้ยล่ะ?" แต่ฮ่าวเหรินขี้เกียจเถียงกับเธอต่อ เขาจึงพูดถึงแม่ของเธอเพื่อขู่ตรงๆ
"ฮึ่ม!" ได้ผล ฉ่าวเหยียนจื่อยอมแพ้ในทันที เธอหยิบเอาแบบทดสอบจากเขาไป หยิบปากกา แล้วเริ่มลงมือทำพลางขมวดคิ้วไปด้วย
คำถามในกระดาษเป็นคำถามที่ฮ่าวเหรินเลือกมาให้ด้วยตัวเอง เป็นคำถามง่ายๆและพื้นฐานทั้งหมด ฮ่าวเหรินให้แบบทดสอบเธอไปทำ ก็เพื่อให้เขาได้รู้ว่าเธออยู่ในระดับไหน
ฉ่าวเหยียนจื่อกัดปลายปากกา เธอค่อยๆทำแบบทดสอบไปทีละข้อ ฝ่ายฮ่าวเหรินก็ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเธอ มองฉ่าวเหยียนจื่อทำแบบทดสอบไปเงียบๆ
น้าสามเข้ามาในห้องและมองดูทั้งสองคนโดยไม่พูดอะไร แต่ภาษาอังกฤษล้วนๆนั้นทำเขาปวดหัวหนึบ ฉ่าวกู๋จึงได้แต่นั่งอยู่กับที่ จ้องมองฮ่าวเหรินอยู่อย่างนั้น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดฉ่าวเหยียนจื่อก็ทำแบบทดสอบเสร็จ ฮ่าวเหรินจึงหยิบกระดาษไปตรวจคำตอบ เพียง 2 นาที เขาก็พบกับผลลัพธ์ที่น่าตกใจ นั่นคือ… ภาษาอังกฤษของฉ่าวเหยียนจื่อ… น่าเป็นห่วงสุดๆไปเลย…
เมื่อเห็นกากบาทสีแดงตัวโตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและเรื่อยๆบนกระดาษ ฉ่าวเหยียนจื่อก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว "เฮ้! ฉันตอบผิดเยอะขนาดนั้นเลยรึไง?"
"เธอได้คะแนนแค่ 20 เต็ม 100 เองนะ!" ฮ่าวเหรินหยิบแบบทดสอบมาแกว่งต่อหน้าฉ่าวเหยียนจื่อให้เธอเห็นชัดๆ
"นายจงใจแน่ๆ!" เด็กน้อยหน้าซีด ก่อนจะพูดต่ออย่างก้าวร้าว
"โอเค" ฮ่าวเหรินวางแบบทดสอบกลับลงบนโต๊ะ "มาเริ่มเรียนกันจริงจังดีกว่า" เขากล่าว
"เฮอะ!" แต่ฉ่าวเหยียนจื่อก็ยังคงไม่พอใจอยู่อย่างนั้น
"เธอตอบข้อสองผิดนะ 'Finish' เป็น verb ต้องใช้ adverb 'quickly' มาขยาย ตรงนี้บอกว่า เร็วกว่าคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นมันต้องเป็น 'more quickly' ไม่ใช่ 'more quick' " ฮ่าวเหรินชี้ไปยังคำถามข้อ 2 ที่ฉ่าวเหยียนจื่อตอบผิดพร้อมกับอธิบาย
เจ้าของคำตอบหน้าขึ้นสี "ฉันรู้น่า! ฉันแค่ประมาทแล้วก็อ่านผิดเองแหละ!"
ฮ่าวเหรินเมินข้อแก้ตัวของเธอไป ก่อนจะชี้ไปยังข้อที่ 3 "Go to the beach in July and arriving on July fifth. ใช้ 'in' เป็น proposition เมื่อพูดถึงปี เดือน ฤดูกาล และสัปดาห์ แต่เมื่อพูดแบบระบุวันที่ชัดเจน จะใช้ 'on' ถ้าบอกเวลาไปถึงแบบเฉพาะเจาะจง อย่างเช่น 5 โมง จะใช้ 'at' "
"อันนี้ฉันก็รู้! แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำไงเล่า!" ฉ่าวเหยียนจื่ออ้าง
"แล้วก็ข้อ 4 …"
"ข้อ 6…"
"ข้อ 7… ข้อ 8…"
ฮ่าวเหรินอธิบายคำถามไปทีละข้อ แต่ยังไงฉ่าวเหยียนจื่อก็ยังงัดข้อแก้ตัวสารพัดอย่างมาใช้ได้อยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะเธออ่านพลาด ก็ต้องเป็นเพราะคำถามของฮ่าวเหรินกำกวมเอง อะไรจะผิดก็ได้แต่ไม่ใช่ทักษะภาษาของเธอ
ในที่สุด ฉ่าวกู๋ก็ทนนั่งดูอยู่ด้านหลังไม่ไหว เขากระแอมออกมาครั้งสองครั้ง "อ่า… จื่อ หลานต้องตั้งใจเรียนมากกว่านี้อีกหน่อยนะ"
"น้าสาม! คำถามของเขามันยากเกินไปต่างหากล่ะคะ!" ฉ่าวเหยียนจื่อหน้าแดงระเรื่อระหว่างคุยกับน้า
ฮ่าวเหรินพูดอะไรไม่ออก คำถามในแบบทดสอบของเขาเป็นคำถามที่ง่ายที่สุดและพื้นฐานที่สุดแล้วสำหรับภาษาอังกฤษระดับม.ต้น หรือแม้แต่เด็กม.1 ก็คงตอบถูกมากกว่าครึ่งของคำถามทั้งหมดได้เลยด้วยซ้ำ
ฉ่าวกู๋เป็นคนอารมณ์ร้อนก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้โง่ ฉ่าวกู๋มองฉ่าวเหยียนจื่อและรู้ว่าพื้นฐานภาษาของเธอยังไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงวางทิฐิลง "น้าว่าหลานยังต้องติวเพิ่มอีกอยู่ดีนะ"
"น้าสาม…" ฉ่าวเหยียนจื่อบ่นอุบอย่างน่ารัก ใบหน้าเธอแดงระเรื่อด้วยความอาย
"ได้เวลาแล้วล่ะ อีกไม่นานพ่อเธอก็คงถึงบ้าน น้ากลับก่อนนะ พ่อเธอจะได้ไม่ต้องมาจู้จี้น้าอีก" ฉ่าวกู๋ กล่าว
"ฮ่าฮ่า น้าสามกลัวพ่อหนูบ่นน่ะสิ ใช่มั้ยล่ะคะ?" จู่ๆฉ่าวเหยียนจื่อก็เปลี่ยนมาพูดอย่างมีความสุขกะทันหัน เธอรู้สึกราวกับว่าในที่สุดเธอก็มีพันธมิตรแล้ว
ฉ่าวกู๋เองก็เริ่มรู้สึกอายแล้วเหมือนกัน "ยังไงก็เถอะ… น้าจะกลับแล้ว!"
"โอเค! หนูจะไปส่งนะ!" ฉ่าวเหยียนจื่อกระโดดลงจากเก้าอี้ ดูเหมือนว่าเธอจะสนิทกับน้าสามของเธอมากจริงๆ
"แค่เดินลงไปส่งข้างล่างก็พอแล้ว…" ฉ่าวกู๋พูดระหว่างเดินออกไปจากห้องของเด็กน้อย
เขาไม่ได้แม้แต่จะบอกลาฮ่าวเหรินเลยสักคำ ชัดเจนเลยว่าฉ่าวกู๋ยังไม่ยอมรับเขา
ฮ่าวเหรินอยู่คนเดียวในห้องนอนของฉ่าวเหยียนจื่อ เขาได้ยินเสียงเธอแว่วมาจากชั้นล่างเบาๆว่า "เขาไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะคะ…"
และตามด้วยบทสนทนาอื่น
"จะกลับแล้วเหรอ? ฉ่าวกวงใกล้ถึงแล้วนะ ไม่อยากทักทายเขาหน่อยเหรอ?"
"คราวหน้า…คราวหน้า… ครั้งนี้ผมตั้งใจมาหาจื่อต่างหาก…"
"คุณกลัวเขาจะพูดว่าคุณยังทำงานหนักไม่พอใช่มั้ยล่ะ? เอาเถอะ งั้นก็ขับรถกลับดีๆนะ…"
ฮ่าวเหรินอยากจะแอบฟังมากกว่านี้ แต่ฉ่าวเหยียนจื่อดันเปิดประตูและเดินกลับเข้ามาก่อน
"ชิ นายทำฉันดูแย่ต่อหน้าน้าสาม!" เมื่อเข้ามาแล้ว เจ้าของห้องก็บ่นฮ่าวเหรินทันที
เขามองกลับ "ก็เธอตอบผิดจริงๆนี่!"
"ก็แกล้งทำเป็นถูกหน่อยไม่ได้รึไง?" ฉ่าวเหยียนจื่อมองเขาอย่างโกรธเคือง
ฮ่าวเหรินยิ้มและไม่อยากจะเถียงอะไรกับเธอต่อแล้ว "เธอก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษอะไรขนาดนั้นนะ แต่กลับกลัวเสียหน้าซะงั้น" เขาคิด
"ดูน้าสามของเธอจะเกลียดผมนะ" ฮ่าวเหรินเปลี่ยนเรื่อง
"ไม่ใช่แค่นายหรอก เขาไม่ชอบมนุษย์ต่างหาก" ฉ่าวเหยียนจื่อตอบ
ฮ่าวเหรินไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่ความประทับใจต่อตัวน้าสามของเขาก็ลดลงไป 30%
"เขาแค่คิดว่านายไม่เหมาะกับฉัน แต่ไม่ต้องคิดมากหรอก ถึงเขาจะพูดนู่นพูดนี่ แต่เขาก็ไม่ทำอะไรนายจริงๆหรอก" ฉ่าวเหยียนจื่อตอบตรงๆ
"ตอนนี้ผมก็ยังรู้เรื่องของพวกเธอไม่เยอะเลย อะไรคือคัมภีร์กักขังวิญญาณที่ผู้อาวุโสลู่สอนผมมากันแน่?" เขาถามต่อ
"นั่นเป็นเทคนิคการฝึกขั้นพื้นฐานที่สุด จริงๆมันก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก แค่ทำให้ร่างกายบริสุทธิ์น่ะ" ฉ่าวเหยียนจื่อมองฮ่าวเหริน "ตอนนี้นายก็ฝึกมาหลายวันแล้ว แต่ดูเหมือนร่างกายนายจะไม่ตอบสนองอะไรเลย"
เมื่อเห็นสายตาสบประมาทจากฉ่าวเหยียนจื่อ ฮ่าวเหรินก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคราวนี้เธอเป็นฝ่ายฉะเขากลับบ้างแล้ว
"ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันไว้แล้วเหรอ? ผมสอนเธอ เธอก็สอนผมฝึก ถ้าผมฝึกแล้วไม่เก่งสักที ก็แปลว่าเธอสอนไม่ดีไง" ฮ่าวเหรินตอบทันควัน
"ไร้สาระ! มันเพราะฉันไม่เคยสอนนายมาก่อนต่างหาก!" ฉ่าวเหยียนจื่อถลึงตากลับ
"งั้นตอนนี้ก็เริ่มเลยสิ" ฮ่าวเหรินนั่งลงแล้วมองเธอ
"เทคนิคการฝึกของตระกูลมังกรจะแบ่งออกเป็น อืมม… 8 ระดับ คือ เฉียน, กุน, ซุน, ดุย, เค็น, เซวิน, ลี่, คาน แล้ว… ระดับสูงสุดคือ เฉียน เรียกอีกอย่างว่า ระดับสวรรค์ แต่ก็นะ นายยังไม่ถึงระดับพื้นฐานเลย ถ้าร่างกายนายแข็งแกร่งขึ้นและอยู่ในระดับที่มั่นคงแล้ว พ่อฉันไม่ก็ผู้อาวุโสลู่จะสอนเทคนิคการฝึกของจริงให้นายเอง และเมื่อนายเลื่อนขั้นไปถึงระดับ คาน นายก็จะถือว่าเป็นผู้ถูกสอนอย่างเป็นทางการแล้ว"
เมื่อฟังฉ่าวเหยียนจื่ออธิบายคร่าวๆแล้ว ฮ่าวเหรินเดาว่าเทคนิคของเธอเองก็คงไม่ได้โดดเด่นอะไรมากเช่นกัน ซึ่งเขาคิดถูก ฉ่าวเหยียนจื่อไม่ได้สนใจการฝึกเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่ฝึกนั่นนี่ ไม่ได้จริงจังลึกซึ้ง ทั้งยังมีความมั่นใจในตัวเองสูงแต่จะวิตกเมื่อต้องพิสูจน์ตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอร่วงจากฟ้าลงมาใส่ฮ่าว เหริน และนั่นแปลว่าการที่พ่อแม่เธอจับเธอแต่งงานกับเขาถือเป็นการลงโทษเธออย่างหนึ่งได้รึเปล่า?
"ถ้าผมฝึกไปแล้วจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับผมรึเปล่า?" ฮ่าวเหรินยังคงกังวลกับเรื่องนี้อยู่ แต่ตอนนี้เขาเลิกลังเลอย่างเมื่อหลายวันก่อน และยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันได้แล้ว
"แน่นอน อันตรายอยู่แล้ว! ถ้าบาดเจ็บเบาๆหน่อย นายก็อาจจะแขนหักหรือขาหัก หรือไม่ก็ถึงตายได้เลย!" ฉ่าวเหยียนจื่อพูดอย่างจริงจัง
ฮ่าวเหรินรู้สึกว้าวุ่นใจทันที "อ่า…"
"แต่ตอนนี้มันก็ดีนี่ ไม่ใช่เหรอ? นายก็มารับหน้าที่แทนฉันแล้ว แล้วมันก็คงง่ายขึ้นมากสำหรับฉันด้วย" ฉ่าวเหยียนจื่อหัวเราะคิกคักและพยายามยั่วโมโหฮ่าวเหรินอย่างตั้งใจ
"เธอคงตั้งใจทำแบบนี้อยู่แล้ว… ยังไงก็เถอะ ถึงการฝึกจะอันตราย แต่เธอก็คงพยายามหาข้อแก้ตัวมาได้อยู่แล้ว เธอแค่กำลังปลอบใจตัวเองว่าเธอจะสามารถหลุดพ้นจากความอ่อนหัดนี่ไปได้…" ฮ่าวเหรินคิดในใจ
"แน่นอน ผมจะทำแทนเธอเอง ยังไงเธอก็ต้องแต่งงานกับผมอยู่แล้วนี่" ฮ่าวเหรินยกนิ้วโป้งทั้งสองมือขึ้นมาแตะเข้าด้วยกัน "เมื่อถึงเวลา…"
"ไปตายซะ!" ฉ่าวเหยียนจื่อทำหน้าขึงขัง ฟันขาวกัดริมฝีปากแน่น พร้อมกับปล่อยหมัดเข้าหน้าฮ่าวเหรินไปด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป………..