Dragon Kings Son-In-Law - DK 16 : สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นทุกปี (1)
DK 16 : สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นทุกปี (1)
เพียงไม่นานรถบัสก็มาถึง ฮ่าวเหรินขึ้นรถบัสไปนั่งที่นั่งติดกับหน้าต่าง เขาเปิดหน้าต่างขึ้นเพื่อให้ลมประทะใบหน้า ซึ่งมันช่วยให้เขาสามารถขจัดสิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจเขาอยู่ได้
สถานการณ์ตอนนี้คือการที่จู่ๆเขาก็กลายเป็นลูกเขยของราชามังกร ซึ่งคู่หมั้นของเขาก็เป็นคนที่เขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอมากนัก เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน นอกจากนี้เขายังได้รับมอบหมายให้ทำงานใหญ่ในฐานะคนพิเศษ
อย่างไรก็ตามเขาลืมที่จะถามฉ่าวกวงเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขาหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดลูกแก้วมังกร และเขาเพิ่งได้พบกับคนอีกสองคนในครอบครัวฉ่าวเหยียนจื่อ โดยตอนนี้เขาเขาอยู่ในฐานะ “ลูกเขย” ของตระกูลนี้
พ่อของฉ่าวเหยี่ยนจื่อ ดูเป็นคนเยือกเย็น แต่ก็น่าจะเป็นคนดีมากๆ แม่ของฉ่าวเหยียนจื่อเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่งและฉลาด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฮ่าวเหรินพอจะรู้เกี่ยวกับตระกูลนี้จากเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา
“อย่าบอกนะ ว่าฉันจะต้องไปกินข้าวกับพวกเขาทุกๆเย็น” ฮ่าวเหรินรู้สึกฟุ้งซ่าน หลังจากคิดถึงสถานการณ์ต่างๆที่ผ่านมา หลังจากนั้นเขาก็ได้ลงจากรถในอีกสามป้ายรถเมล์
ณ ร้านหนังสือฉิ่นหวา ฮ่าวเหรินได้เดินสำรวจรอบๆร้านหนังสือที่อยู่บริเวณใกล้เคียงโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและเลือกซื้อหนังสือมาบางเล่ม เช่น ข้อสอบเก่าภาษาอังกฤษมัธยมต้น และรวบรวมความรู้ภาษาอังกฤษเกรดแปด
ฮ่าวเหรินเดินออกจากร้านหนังสือด้วยหนังสือหนักๆสองเล่มในมือและมองย้อนกลับไปที่ร้านหนังสือ เห็นคู่มือการศึกษาจำนวนมากมายวางอยู่บนชั้นหนังสือ ฮ่าวเหรินเหงื่อท่วมตัวเขารู้สึกสงสารเด็กมัธยมต้นที่กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันแบบนี้จากการศึกษา
ฮ่าวเหรินได้คิดถึงเรื่องข่าวที่เขาถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง เกี่ยวกับการที่มีรถลีมูซีนมารับเขาเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมาบริเวณหน้าหอพัก ซึ่งเขาคิดว่าเรื่องนี้จะต้องแพร่กระจายไปยังเพื่อนร่วมชั้นของเขาแล้วแน่ๆ ถ้าเขากลับไปตอนนี้ เขาจะไม่สามารถหนีคำถามมากมายได้ เขาพยายามทำตัวปกติเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจจากคนอื่นมากนัก เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจข้ามถนนไปที่ฝั่งตรงข้ามและขึ้นรถเมล์เพื่อที่จะกลับบ้าน
รถบัสชะลอเล็กน้อยและเคลื่อนมาอย่างช้าๆ ฮ่าวเหรินได้เตรียมอุปกรณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษไว้ในแขนของเขา และตอนนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ดด … โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น
“เหริน ทำไมถึงยังไม่กลับมา?!” หลังจากเขาได้รับโทรศัพท์เขาได้ยินเสียงตะคอกของฉ่าวเจี่ยยี่ดังขึ้น
“วันนี้ฉันจะกลับบ้าน มีอะไรรึปล่าว?” ฮ่าวเหรินถามขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้สาเหตุอยู่แล้ว
“เพื่อน วันนี้นายโอเคไหม? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ เราทุกคนรู้สึกตกใจเกี่ยวกับเรื่องของนาย” ฉ่าวเจี่ยยี่ถามผ่านทางโทรศัพท์
“เอ่ออ…ไม่มีอะไรจริงๆ เป็นญาติของฉันที่มาคราวก่อน พวกเขาขอให้ฉันไปกินข้าวที่บ้านของพวกเขาหน่ะ” ฮ่าวเหรินตอบแบบส่งๆ
“นายโกหกพวกเราอยู่รึปล่าว? แล้วเรื่องคู่หมั้นล่ะ?” ฉ่าวเจี่ยยี่ถามด้วยเสียงที่ดังมากๆ จากอีกฟากหนึ่งของสาย
หูของฮ่าวเหรินเกือบจะหนวกเพราะเสียงตะโกนของฉ่าวเจี่ยยี่ เขารีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู ถึงแม้ว่าเขาจะตะโกนใส่แต่ฮ่าวเหรินก็รู้ว่าเพื่อนทั้งสามคนในหอพักกำลังเป็นห่วงเขามากๆ และนั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาโทรมาหา “ญาติประเภทไหนกันที่จะนำบอดี้การ์ดมาสองคนเพื่อมาเชิญคนไปกินข้าวด้วยเนี่ย”
“รายละเอียดยิบย่อย ไว้เดี๋ยวฉันค่อยกลับมาเล่าให้ฟังในวันอาทิตย์นะ” ฮ่าวเหรินกล่าว เขาไม่ได้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่ครอบครัวของฉ่าวเหยียนจื่อทำในวันนี้ พวกเขาอยากให้ฮ่าวเหรินเก็บทุกอย่างเป็นความลับแต่ในทางกลับกันวิธีที่พวกเขาทำนั้นดูค่อนข้างจะสะดุดตาจนดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอย่างมาก
“จะมีใครคิดล่ะว่าพวกเขามีตัวตนที่แตกต่างออกไป อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมักจะโกหกเพื่อปิดบังอะไรบางอย่างไว้ อย่างไรก็ตามหากพยายามรักษาความลับมากจนเกินไปอาจจะทำให้มันยิ่งดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” ฮ่าวเหรินรู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อย
“ดีเลย พวกเราจะรอนายกลับมาและเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกเราฟังนะ” ฉ่าวเจี่ยยี่พูดก่อนวางสายไป
นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ฮ่าวเหรินเพิ่งสังเกตุเห็นว่ามีข้อความจาก ฉ่าวเจี่ยยี่และเซี่ยอยู่เจียรวมไปถึงเพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนของเขาที่พยายามส่งมาหาเขาผ่านทางโทรศัพท์
เขาถอนหายใจแล้วลบข้อความทั้งหมดในทีเดียว เขาได้วางศีรษะลงบนขอบหน้าต่างแล้วเผลอหลับไป ตอนที่เขากลับถึงบ้านมันก็ดึกมากแล้ว ยายของเขาประหลาดใจและดีใจที่ได้เห็นหลานชายสุดที่รักมาหา
เมื่อได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของยาย ฮ่าวเหรินกำลังคิดว่าควรจะบอกเกี่ยวกับ “หลานสะใภ้” ดีไหม อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับหลังจากคิดตริตรองอยู่ชั่วครู่
หลังจากใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างสงบกับยายของเขาแล้ว เขาวางแผนจะกลับไปที่มหาวิทยาลัยในเย็นของวันอาทิตย์ เพื่อที่เขาจะหลีกเลี่ยงคำถามและการซุบซิบนินทาของเพื่อนร่วมชั้นและคนที่หอพัก
ขนมกองใหญ่ก็ไม่สามารถทำให้ฉ่าวเจี่ยยี่และเพื่อนๆจากหอพักอื่นเสียสมาธิไปจากการที่ได้ยินว่าฮ่าวเหรินกำลังกลับมาได้
“ไงเพื่อน นายดังแล้วล่ะ! จากการที่นายมีรถลีมูซีนมารับถึงหน้าหอพัก” ฉันได้ยินมาว่าแม้แต่คนที่รวยสุดๆอย่างเฉินเค่อที่มาจากห้องเรียนพิเศษยังไม่เคยมีรถหรูขนาดนี้มารับเหมือนนายเลย หวังเฉียนฟงที่มาจากหอพักตรงกันข้ามแตะที่ไหล่เของฮ่าวเหรินและพูดด้วยความอิจฉาตาร้อน
“พวกเราได้ยินเกี่ยวกับเรื่องคู่หมั้น บอกความจริงพวกเรามา” หยู่หลงจากหอพักอื่นก็ตะโกนขึ้น
“แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆยังพูดถึงนาย เขาพูดกันว่าครอบครัวของนายรวยมาก และหวังเจียผู้หญิงที่เคยสนใจนาย ก็พูดถึงเรื่องของนายด้วย”
“อย่าบอกนะว่านายจ้างคนพวกนั้นมา เพื่อที่จะให้ทุกคนพูดถึงเรื่องอื้อฉาวนี้?”
“หรออ? เด็กผู้หญิงคนนั้น ชื่ออะไรหรอ?”
“เพื่อน นายดูเงียบๆตอนอยู่มหาวิทยาลัย แต่จริงๆแล้วนายมีสาวๆอยู่ข้างนอกใช่ไหมล่ะ?”
พวกเขาเริ่มที่จะจินตนาการไปไกล ฮ่าวเหรินยังคงพูดอะไรไม่ออกและทำอะไรไม่ถูก
“เอาล่ะ เอาล่ะ หยุดจินตนาการอะไรแปลกๆได้แล้ว มันเป็นเรื่องตลกที่เพื่อนคนหนึ่งแต่งขึ้น ถ้าเรื่อง ประหลาดนี้เป็นเรื่องจริงวันศุกร์หน้าฉันจะกลับบ้านอีก ฉันไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกเราทุกคนออกไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง!” เขาพยายามที่จะปิดปากเพื่อนๆ
ซึ่งพวกเพื่อนๆของเขาจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน พวกเขารีบวิ่งออกจากห้องและลากฮ่าวเหรินออกไปด้วย
แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่กินข้าวไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธคำเชิญอาหารฟรีมื้อนี้จากฮ่าวเหรินได้ ฮ่าวเหรินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจ่ายเงินเพื่อขอโทษเรื่องราววุ่นๆที่เกิดขึ้นเพื่อให้เรื่องทุกอย่างจบลง
หลังจากพวกเพื่อนๆกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ฮ่าวเหรินจ่ายให้พวกเขาอย่างไม่เต็มใจนักเพื่อให้มันผ่านไป สิ่งที่เขาได้ยินเพื่อนๆพูดกันก็คือการที่เขาไปทำอะไรบางอย่างทำให้มีผู้คนสนใจในพฤติกรรมของเขาในช่วงที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่คนในปีที่สองเท่านั้นแต่ยังมีพวกปีอื่นๆและจากภาควิชาอื่นๆอีกด้วยที่สนใจในการกระทำฮ่าวเหริน
ฮ่าวเหรินไม่ได้อยากให้ตัวเองเป็นที่สนใจจากนักเรียนที่มีอิทธิพลและทำให้พวกเขารู้สึกไม่ชอบใจ มันเป็นสิ่งที่อาจทำให้เขาเกิดปัญหาขึ้นได้ เพื่อนสนิททั้งสองคนจากห้องพักเดียวกันและหอพักข้างๆก็เดินกอดคอกันกลับหอไป
พวกเขาวิ่งเข้าไปในห้อง มีรองอธิการบดีลู่จิงและเจ้าหน้าที่ทั่วไปในมหาวิทยาลัยกำลังตรวจสอบหอพักอยู่
ในกลุ่มพวกเขามีบางคนกำลังเรอ บางคนกำลังร้องเพลง แต่เมื่อเห็นรองอธิการบดีกำลังมา พวกเขาก็ต้องระงับพฤติกรรมเหล่านั้นเพราะกลัวว่ารองอธิการบดีจะตำหนิพวกเขาที่ไปดื่มกันมาจากข้างนอก
แต่ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ เมื่อรองอธิการบดีลู่จิงกำลังยิ้มและโบกมือมาที่พวกของฮ่าวเหรินแม้ว่าเขาจะรู้ว่าพวกเราทุกคนเมา
ลู่จิงกับเจ้าหน้าที่ทั่วไปเดินผ่านพวกเขาไป ปล่อยให้พวกเขาแต่ละคนมองไปที่กันและกันโดยไม่ได้พูดอะไร
“ฉันเพิ่งเห็นรองอธิการบดีโบกมือให้พวกเรา” ซู่รี่เหรินถามกับฉ่าวเจี่ยยี่หลังจากได้สติ
คนอื่นๆก็ไม่มีความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกเขาคิดว่ารองอธิการบดีจะตำหนิพวกเขาหลังจากรู้ว่าพวกเขาออกไปดื่มมาจากข้างนอกซะอีก หรือ อย่างน้อยๆก็น่าจะถามว่าพวกเขาไปไหนกันมา ขณะที่พวกเขากำลังตกใจและช่วยกันคิดหาข้ออ้างนั้น รองอธิการบดีเพียงแต่โบกมือให้กับพวกเขาและเดินผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นทุกปี แต่ในปีนี้ยิ่งกว่าปีที่ผ่านๆมา” ซู่รี่เหรินถอนหายใจและพูดขึ้น
สิ่งที่ฮ่าวเหรินรู้ก็คือ ลู่จิงกำลังทักทายเขา ลู่จิงรู้เรื่องการไปเยี่ยมบ้านของฉ่าวแหยียนจื่อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลู่จิงทำแบบนี้เพื่อที่จะกระตุ้นเขา
สาวน้อยคนนี้โดนตามใจและได้รับความรักมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอจึงมีอารมณ์และนิสัยที่แย่มาก
อย่างไรก็ตามฮ่าวเหรินจะไม่บอกเพื่อนของเขา เพราะเขารู้ว่าพวกเพื่อนๆจะคิดยังไงหากพวกเขารู้ว่า รองอธิการบดีเป็นคนควบคุมดูแลฮ่าวเหริน
พวกเขาเดินกลับไปถึงหอพัก บางคนเริ่มที่จะเล่นไพ่ ส่วนบางคนกำลังเดินไปที่คอมพิวเตอร์ เพื่อนต่างหอพักยังไม่อยากกลับไปที่หอพักของตัวเอง พวกเขาจะรอจนกว่าไฟฟ้าจะโดนตัดไปตอนเที่ยงคืน
ฮ่าวเหรินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อีกสามคนกำลังหลับอยู่ เขาเดินไปที่ระเบียงเพื่อฝึกคัมภีร์กักขังวิญญาณ
แสงจันทร์ส่องลงบนหอพัก ฮ่าวเหรินรู้สึกว่ากระแสลมแรงกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา เขาค่อยๆสลัดความคิดที่ทำให้เสียสมาธิออกไป และเข้าสู่ดินแดนที่เขาไม่สามารถใช้ตามองเห็นได้
เขาเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมตอนตี 4 เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเริ่มเรียนในตอนเช้า เขามองเข้าไปในห้องพบว่าเพื่อนๆของเขายังคงหลับอยู่ภายในห้อง เขาจึงกลับเข้าไปในห้องเงียบๆ และเดินขึ้นเตียงเพื่อที่จะนอนหลับ
เขารู้สึกได้ถึงพลังและจิตวิญญาณแม้ว่าเขาเพิ่งเริ่มต้นฝึกคัมภีร์กักขังวิญญาณมาไม่นานนัก เขานึกถึงเคล็ดวิชาในคัมภีร์และทบทวนมันอีกสองสามครั้งเนื่องจากเขายังรู้สึกว่ามีแรงเหลืออยู่
เขาสามารถรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า “ฉี” ได้โดยการฝึกคัมภีร์เพียงไม่กี่วัน ถ้าคัมภีร์เล่มนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปแน่นอนว่าทั้งโลกจะต้องตกตะลึงกับวิถีจี้กงแบบดั้งเดิม จิตนาการของฮ่าวเหรินกำลังพุ่งกระฉูดในระหว่างที่กำลังทบทวนคัมภีร์เพื่อหาคำอธิบายต่างๆในคัมภีร์
สิ่งที่เขาลืมไปหนึ่งอย่างคือภายในร่างกายของเขามีสิ่งที่คนอื่นไม่มี เขามี “ลูกแก้วมังกรอยู่” ซึ่งเมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้วจะต้องฝึกทุกๆวัน เป็นเวลาถึง300ร้อยปีจึงจะเทียบเท่าลูกแก้วมังกรของเขาในตอนนี้
เขาไม่รู้สึกตัวในตอนเช้า ซู่รี่เหรินตะโกนปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นเพราะว่าคาบแรกของวันจันทร์นั้นมีเรียนวิชาคำนวณขั้นสูง อาจารย์วิชานี้เป็นคนเข้มงวดมาก ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะโดดเรียนในคาบนี้ ก่อนหน้านี้มีคนเคยโดดวิชานี้ทำให้ได้เกรดที่ไม่ดีเอาซะเลย
ทั้งสี่คนรีบวิ่งไปที่โรงอาหารก่อนที่จะไปยังชั้นเรียน…….
ติดตามตอนต่อไป……………