Dragon Kings Son-In-Law - DK 13 : สถานะ
DK 13 : สถานะ
เมื่อได้ยินคำถามของฮ่าวเหริน ฉ่าวเหยียนจื่อก็ขึงตาใส่เขาแล้วพูดต่อ "ฉันไม่มีความรักเหมือนเด็กพวกนั้นหรอกนะ!"
ฮ่าวเหรินมองเธอกลับ "เธอเองก็เด็กเหมือนกันนั่นแหละ"
"แน่ล่ะ ฉันไม่แก่เท่านายหรอกลุง!" ฉ่าวเหยียนจื่อเน้นคำว่า "ลุง" อย่างตั้งใจ
ฮ่าวเหรินยิ้มและหยุดเถียงกับเธอต่อ เขาหันไปมองฉ่าวกวงที่กำลังวุ่นอยู่กับเอกสารในห้องทำงานแล้วหันไปมองฉ่าวหงหยู่ที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว และสุดท้ายก็หันมามองที่ฉ่าวเหยียนจื่อผู้ดูเหมือนสาวน้อยข้างบ้าน ฮ่าวเหรินรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นของภาพเหล่านี้
สามคนนี้ก็ดูเหมือนครอบครัวธรรมดาที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่ง "แล้วจู่ๆเราก็กลายมาเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้สินะ?"
ฮ่าวเหรินรู้สึกสับสนอย่างประหลาด
"ได้เวลาข้าวเย็นแล้ว!" ฉ่าวหงหยู่ถือจานสองใบสุดท้ายออกมาจากครัวแล้วพูดขึ้นเสียงดัง
ฉ่าวกวงวางงานในมือลง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานตามเสียงเรียก
"ฮ่าวเหริน มากินกับเราสิ" ฉ่าวหงหยู่พูดกับเขาอย่างอ่อนโยน
ฉ่าวเหยียนจื่อจ้องฮ่าวเหรินแบบไม่พอใจหน่อยๆ
"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ต่อให้ฮ่าวเหรินไม่ใช่คู่หมั้นของลูกยังไงเขาก็เป็นแขกเรานะ" ฉ่าวหงหยู่ลูบหัวลูกสาวตัวเองเบาๆพลางดุเธอไปด้วย
สมองฮ่าวเหรินหยุดนิ่งเหมือนถูกแช่แข็งอีกครั้ง เพียงเขาได้ยินคำว่า "คู่หมั้น"
"นั่งลงกินด้วยกันสิ" ฉ่าวกวงนั่งลงบนเก้าอี้ในท่าถนัดพลางพูดกับฮ่าวเหริน
ฮ่าวเหรินรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดๆ แต่ก็ปฏิเสธคำชวนไม่ได้ เขาเลยได้แต่มองหาตำแหน่งดีๆแล้วนั่งลงตาม
โต๊ะอาหารก็ขนาดใหญ่พอสำหรับพวกเขาทั้งสี่คนพอดี
"กำลังยุ่งอยู่ที่มหาวิทยาลัยรึเปล่าจ๊ะ?" ฉ่าวหงหยู่ถามฮ่าวเหรินในขณะที่ส่งตะเกียบไปให้เขา
"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ" ฮ่าวเหรินตอบและรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย เขาเพิ่งเจอกับครอบครัวนี้ไม่นาน แต่ทำไมเขาถึงมานั่งกินข้าวในบ้านของพวกเขาและพูดคุยกันเหมือนเป็นครอบครัวแบบนี้ล่ะ?
ฮ่าวเหรินคิดอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็จำได้ว่าเขามาที่นี่เพื่อถามหาข้อมูลเกี่ยวกับ "ตระกูลมังกร"
"ฉันรู้ว่านายมีคำถามเยอะแยะเกี่ยวกับเรา แต่ฉันเชื่อนะว่าเดี๋ยวนายจะค่อยๆชินกับมันไปเอง" ฉ่าวหงหยู่กล่าวราวกับรู้ว่าฮ่าวเหรินกำลังคิดอะไรอยู่
"จื่อก็เพิ่งจะอยู่ม.2 เอง ว่ากันตามตรง มันคงเร็วไปหน่อยถ้าจะพูดเรื่องแต่งงานกับเด็กอายุแค่นี้น่ะนะ แต่ยังไงเรื่องพวกนี้มันก็พอจะเกิดขึ้นกับเราในช่วงอายุน้อยได้อยู่บ้าง ฉันคงต้องพูดว่าชีวิตจื่ออยู่ในมือนายแล้วจริงๆ"
ฮ่าวเหรินนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเริ่มซีเรียสมากกว่าเดิม
"นายกลืนลูกแก้วมังกรของจื่อไปแล้ว อันที่จริง เราใช้กำลังเอามันออกมาจากร่างกายนายได้นะ แต่มันจะทำให้นายบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว แต่จื่อเป็นคนค่อนข้างใจดีน่ะ เธอเลยไม่อยากให้เราใช้กำลังแก้ปัญหา จากมุมมองของฉัน ฉันเองก็ไม่อยากให้คนอื่นมารับผลความผิดพลาดของจื่อเหมือนกัน"
ฉ่าวหงหยู่เงียบลงครู่หนึ่ง ฮ่าวเหรินอดหันไปมองฉ่าวเหยียนจื่อไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็หันหน้าหลบไปทางอื่นอยู่เช่นกัน
"เพราะฉะนั้น เราเลยตัดสินใจกันว่าจะเก็บลูกแก้วมังกรไว้ในตัวนายและให้นายเริ่มฝึกฝนตัวเอง แต่ยังไงก็ตาม ฉันต้องบอกนายไว้ก่อนนะว่าวิธีนี้ก็ไม่ได้ปลอดภัย 100% เหมือนกัน เพราะถ้านายเลื่อนขั้นไปไม่ถึงระดับที่ควรในเวลาที่เหมาะสมแล้วล่ะก็… พูดอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าร่างกายของนายรับมือกับพลังของลูกแก้วมังกรที่ไหลเวียนในตัวนายไม่ไหว ผลที่ตามมาก็อันตรายไม่ต่างกันเลยล่ะ" ฉ่าวหงหยู่กล่าว
ฮ่าวเหรินยิ่งวิตกหนักขึ้นเมื่อฉ่าวหงหยู่ที่ทั้งสง่าและอ่อนโยนเปลี่ยนมาจริงจังกะทันหันแบบนี้
"ผมอยากบอกอะไรนายเพิ่มไว้นะ" ฉ่าวกวงพูดขึ้น "จริงๆแล้ว ถ้าเราเอาแก่นพลังออกมาจากตัวนายแล้วคืนให้กับจื่อ มันจะไม่ส่งผลเสียอะไรต่อเธอเลย แต่เพื่อให้ผู้อาวุโสคนอื่นเชื่อเรา ผมเลยขอให้ผู้อาวุโสลู่ช่วยโกหกพวกเขาว่าจื่อจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแก่นพลังมังกร หลังจากที่มันเข้าไปอยู่ในตัวนายได้ นี่ก็เพื่อไม่ให้พวกเขาเอาชีวิตนายไปซะก่อนน่ะนะ"
เพียงฟังจบ ฮ่าวเหรินก็รู้สึกว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางอันตรายนับไม่ถ้วน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาก็เฉียดได้ไปสวรรค์หลายครั้งแล้วจริงๆ
ฉ่าวกวงมองฮ่าวเหริน "ตอนนี้นายมีสองทางเลือก หนึ่ง ให้เราใช้กำลังเอามันออกมา แต่มันเสี่ยงมาก สอง ฝึกฝนอะไรก็ตามที่เราให้นายฝึก ทางเลือกนี้ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน แต่ก็น้อยกว่าพอสมควร"
"สิ่งที่ผมอยากรู้คือ…" ฮ่าวเหรินหันไปมองฉ่าวเหยียนจื่อ แล้วพูดต่อ "จื่อจะเป็นยังไงบ้างครับถ้าเสียลูกแก้วมังกรไป?"
เมื่อได้ยินฮ่าวเหรินเรียกเธอว่า "จื่อ" ฉ่าวเหยียนจื่อเจ้าของชื่อก็บุ้ยปากทันที เพียงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"ตอนนี้ก็ยังไม่มีอันตรายอะไรหรอกนะ แต่ 3 ปีหลังจากนี้ตอนจื่ออายุครบ 18 ปี ถ้านายยังเข้าไม่ถึงพลังทั้งหมดของลูกแก้วมังกรและส่งถ่ายครึ่งหนึ่งของแก่นสารมังกร กลับมาให้เธอได้ จื่อก็คงอยู่ต่อได้อีกไม่เกินสองปี" ฉ่าวกวงกล่าว
ทั้งโต๊ะอาหารเงียบสนิท
"พูดอีกอย่างคือ ถ้าเราทำตามทางเลือกที่สอง ทุกคนก็จะต้องรับความเสี่ยงกันหมด แต่จื่อจะไม่ต้องรับความเสี่ยงเลยถ้าเลือกทางเลือกแรก มันแค่อันตรายมากกับผมเท่านั้น ใช่มั้ยครับ?" ฮ่าวเหรินถามขึ้นแหวกความเงียบ
"ถูกต้อง" ฉ่าวกวงพยักหน้า
แล้วทั้งโต๊ะก็เงียบลงอีกครั้ง
"แล้วเรื่องการหมั้นนั่นล่ะครับ?" ฮ่าวเหรินถามต่อ
"นั่นเป็นเงื่อนไขของทางเลือกที่สอง ถ้าทุกคนเลือกทางนี้ พวกเธอก็แค่ต้องทำพิธีที่จำเป็น นั่นก็คือแต่งงานกันแค่นั้นแหละ" ฉ่าวกวงตอบช้าๆ
"แต่งงานกัน?" เมื่อฮ่าวเหรินคิดเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ทันที เขาหันไปมองหน้าฉ่าวเหยียนจื่อ ซึ่งตอนนี้แดงเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว
"มีทางเลือกอื่นอีกมั้ยครับ?" ฮ่าวเหรินถามต่อหลังจากคิดไปครู่หนึ่ง
"ตอนนี้ยังไม่มีน่ะ" ฉ่าวกวงตอบตรงๆ
และความเงียบก็เข้าปกคลุมโต๊ะอาหารอีกครั้ง
"เด็กน้อยฉ่าวเหยียนจื่อคนนี้ยอมแขวนชีวิตไว้กับเรา งั้นยังมีอะไรต้องลังเลอีกล่ะ?" ฮ่าวเหรินคิดในใจ
"อย่าฆ่าเขานะคะ แต่หนูก็ไม่อยากแต่งงานกันเขาเหมือนกัน" จู่ๆฉ่าวเหยียนจื่อก็พูดขึ้น
"แต่ทั้งสองทางเลือกมันทำพร้อมกันไม่ได้นะลูก" ฉ่าวหงหยู่เตือนลูกสาว
"จะยังไงก็ช่าง หนูไม่แต่งกับเขาแน่ๆ" ฉ่าวเหยียนจื่อเบ้ปากพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ
"งั้นก็ฆ่าเขาเลย" ฉ่าวหงหยู่กล่าว
"เอ๋… เราไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้นี่" ฉ่าวเหยียนจื่อกัดริมฝีปากด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อย่างไรก็ตามมันเป็นเพราะเธอผิดพลาดเอง และฮ่าวเหรินก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยด้วย
"ในเมื่อพวกเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว งั้นเราก็เอาทางเลือกที่สองนี่แหละ" ฉ่าวกวงตบโต๊ะครั้งหนึ่งแล้วพูดต่อ "กินข้าวกันเถอะ!"
"พ่อคะ…" เหยียนจื่อยังคงอยากคัดค้าน แต่ถูกสีหน้าของฉ่าวกวงหยุดเอาไว้ก่อน
"จื่อ ลูกต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำด้วยนะ…" ฉ่าวหงหยู่ปลอบใจลูกสาว "แม่ลองหาข้อมูลเรื่องฮ่าวเหรินดูแล้ว เขาก็เป็นเด็กดีที่เอาใจใส่และเคารพผู้ใหญ่นะ พ่อของลูกกับแม่เองก็พอใจเขามาก แล้วทำไมเราถึงยังคัดค้านเรื่องนี้กันอยู่ล่ะ? ตราบใดที่ลูกไม่ดื้อรั้น เขาจะปฏิบัติตัวดีกับลูกแน่นอน"
คำพูดของฉ่าวหงหยู่ทำเอาฮ่าวเหรินตัวแข็งทื่อด้วยความกระอักกระอ่วนและไม่รู้ว่าจะตอบสนองยังไงดี เขาไม่เคยคิดเรื่องการมีเด็กน้อยเป็นคู่หมั้นเลยด้วยซ้ำ
"ภาษาอังกฤษของนายเป็นไงบ้างล่ะเหริน?" จู่ๆฉ่าวหงหยู่ก็ถามขึ้น หลังจากยืนยันแล้วว่าเขาจะเป็นคู่หมั้นของจื่อ เธอก็หันมาถามด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
"อืมม ก็พอใช้ได้ครับ" ฮ่าวเหรินตอบ พลางคิดว่าคนพวกนี้ต้องรู้ดีกว่าตัวเขาเองแน่ๆว่าภาษาอังกฤษของเขาเป็นยังไง ในเมื่อพวกเขาก็สืบประวัติของฮ่าวเหรินมาเรียบร้อยแล้ว
"อื้ม จื่อค่อนข้างเก่งทุกวิชาเลยยกเว้นภาษาอังกฤษ มาติวให้จื่อทุกวันเลยสิ จะได้รู้จักกันมากขึ้นด้วย" ฉ่าวหงหยู่กล่าว
"ใครจะไปอยากจะรู้จักเขากันล่ะ…" ฉ่าวเหยียนจื่อบุ้ยปากพูดเบาๆ
"เอ่อ…" ฮ่าวเหรินไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการมาที่นี่ในทุกๆคืน แถมเขายังไม่เคยมีประสบการณ์การเป็นติวเตอร์มาก่อนเลยด้วย
"จื่อจะได้สอนนายเรื่องการฝึกด้วย ฉันคิดว่ามันน่าจะดีกับทุกฝ่ายนะ ถ้าได้ช่วยเหลือกันและกันแบบนี้" ฉ่าวหงหยู่กล่าว
เมื่อคิดว่าการฝึกของเขาเกี่ยวข้องกับชีวิตของฉ่าวเหยียนจื่อแล้ว ฮ่าวเหรินก็ไม่กล้าทำตัวไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย แม้ว่าเขาจะยังยอมรับเธอเป็นคู่หมั้นไม่ได้ก็ตาม ฮ่าวเหรินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา "ได้ครับ แต่ไม่ต้องส่งรถมารับผมแล้วนะครับ ผมจะมาที่นี่เอง"
"แน่นอนจ้ะ ที่นี่ก็ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ด้วย ถ้านั่งรถบัสสาย 767ก็จะ จะมาถึงที่นี่โดยตรงเลยนะ" ฉ่าวหงหยู่ยิ้มแย้มเมื่อฮ่าวเหรินตกลงตามแผนของเธอ เป็นรอยยิ้มที่หวานจริงๆ
ฮ่าวเหรินหันไปมองฉ่าวเหยียนจื่ออีกครั้ง พลางคิดในใจว่าทั้งใบหน้าและรูปร่างเธอก็คล้ายแม่เธอมากพอสมควร พอเธอโตขึ้น เธอต้องเป็นผู้หญิงที่สวยยิ่งกว่าสวยแน่ๆ
"ฮึ่ม!" แต่ฉ่าวเหยียนจื่อทำเสียงฮึดฮัด พร้อมกับหลบสายตาฮ่าวเหรินไปทางอื่นแทน
โปรดติดตามตอนต่อไป………