Dragon Kings Son-In-Law - DK 10 : เสียงเรียกที่แสนไพเราะ
DK 10 : เสียงเรียกที่แสนไพเราะ
“ระ… ราชามังกร” ฮ่าวเหรินตกใจและมองอย่างสงสัย
“เจ้ามีคาบเรียนต่อช่วงบ่ายใช่ไหม? รีบกลับไปเข้าชั้นเรียนสิ” ท่านอาวุโสลู่ยืนขึ้นและโบกมือให้ฮ่าวเหริน ฮ่าวเหรินคิดเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะยืนและเดินออกจากห้องสุดหรูไปตามลำพัง
ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์และเฝ้ามองตัวเลขของลิฟต์ที่ลดลง ฮ่าวเหรินรู้สึกราวกับตัวเองฝันไป
เมื่อเขาเดินออกจากลิฟต์ก็เจอกับพนักงานต้อนรับแสนสวยที่ยิ้มให้กับฮ่าวเหริน พนักงานสาวคิดว่า “เขาต้องเป็นแขกที่สำคัญมากแน่ๆ เพราะเขาสามารถมายังออฟฟิศของ CEO ได้”
เขานั่งรถแท็กซี่ไปโรงเรียน มองเห็นสถานที่เดิมๆที่คุ้นเคย เขาเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังกลับสู่ความเป็นจริง
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาฉ่าวเจียยี่ “นายอยู่ที่ไหนหน่ะ?” เขาได้ถามขึ้น
“พวกเรากำลังชมงานศิลปะในตึก A นายไม่สบายรึปล่าว พวกเราไม่กล้าโทรหานาย” ฉ่าวเจียยี่ถามฮ่าวเหริน
“ฉันสบายดี ฉันกำลังจะไปที่นั่น” ฮาวเหรินวางสายไป สิ่งแรกที่เขาอยากทำที่สุดในตอนนี้คือไปหาเพื่อนๆและคนอื่นๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์แปลกๆ เขาเริ่มรู้สึกว่าทุกๆคนอาจจะไม่ใช่คนจริงๆ
ฮ่าวเหรินวิ่งไปที่ตึก A และแอบเข้าไปในห้องจากประตูหลัง
“นายเป็นยังไงบ้าง? เกิดอะไรขึ้นหรอ?” ฮ่าวเจี่ยยี่และเพื่อนๆถามฮ่าวเหรินด้วยความเป็นห่วง
ฮ่าวเหรินถอนหายใจ เหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้และโบกมือให้พวกเขานั่งลง
เซี่ยหยู่เจีย หัวหน้าห้องซึ่งมักนั่งอยู่หน้าชั้นเสมอรู้สึกว่าฮ่าวเหรินกลับมา เธอจึงหันกลับมามองที่หลังห้อง
“เหมือนกับว่า เซี่ยอยู่เจียสนใจนายนะ” ช่างหลงฮวาง พูดกับฮ่าวเหรินเมื่อเห็นเซี่ยอยู่เจียหันกลับมามอง
ฮ่าวเหรินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยเรื่องนี้ เขาถามว่า “เฮ้ยย! อธิการบดีของเราชื่ออะไรนะ?”
“หวูเซินหยี่ นายไม่รู้หรอกหรอ?” ซู่ลี่เหริน เอ่ยปากถาม
“แล้วรองอธิการบดีล่ะ?” ฮ่าวเหรินถามในทันที
“รองประธานคือลู่ชิงไม่รู้รายละเอียดอื่นเลยรู้แค่ชื่อเท่านั้น” ซู่ลี่เหริน ยังกล่าวต่ออีกว่า “การบริหารของรองอธิการบดีถือว่าสุดยอดมาก เขาจึงเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในมหาลัย เขาจึงได้ฉายาว่า รองหัวหน้าที่ 1”
ฮ่าวเหรินคิดถึงบทสนทนาและไม่ได้พูดอะไรอีก
“ทำไมนายถึงสนใจเรื่องนี้ล่ะ? มีอะไรกับพวกผู้บริหารเหรอ?” ซู่ลี่เหริน ถามฮ่าวเหริน
“ไม่มีอะไรหรอก…” ฮ่าวเหรินถือนามบัตรไว้ในมือและบีบมันแน่น
“ฮ่าวเหรินยืนขึ้นและตอบคำถาม!” อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนเห็น ฮ่าวเหรินคุยกับคนอื่นๆ เขายังจำได้ว่าฮ่าวเหรินแอบเข้าห้องมาก่อนหน้านี้จึงถามคำถามฮ่าวเหริน และฮ่าวเหรินจึงยืนขึ้นเพื่อตอบคำถาม
เจ้าบ้าฮ่าวเหริน เขาได้มาฟังการบรรยายแค่ครึ่งเดียว เขาจะตอบคำถามได้อย่างไร? เขาต้องโดนอาจารย์ตำหนิแน่นอน
หัวหน้าห้อง เฉี่ยอยู่เจีย เธอหันไปมองที่ฮ่าวเหรินอย่างสงสาร
หลังจากการบรรยายเสร็จสิ้นแล้ว ฮ่าวเหริน ฉ่าวเจี่ยยี่ และคนอื่นๆก็กลับไปที่หอพักของตัวเอง กู่เจี๋ยดง และคนอื่นๆก็พูดขึ้นมาเกี่ยวกับเหตุการณ์เกี่ยวกับรถ Mercedes-Benz
ฮ่าวเหริน ตอบเพียงว่าญาติจากต่างประเทศของเขากลับมา เขาได้ปกปิดไว้และไม่อยากพูดถึงมัน
เมื่อฮ่าวเหรินกำลังลอกการบ้านในตอนกลางคืน เขาได้รับข้อความจากเซี่ยอยู่เจีย
“ไม่ใช่ … ฉันยุ่งมากๆ” ฮ่าวเหรินไม่ได้คิดว่าเธอจะส่งข้อความให้เขา และเขาตอบเธอไป
“ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด … ” โทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของฮ่าวเหรินกำลังดังขึ้น
สายที่โทรเข้าเป็นสายของ เซี่ยอยู่เจีย เขาจึงหยิบขึ้นมา
“เมื่อเช้า มีอะไรรึปล่าว?” เซี่ยอยู่เจีย ถามผ่านทางโทรศัพท์
“อ๋อ ญาติของฉันกลับมาจากต่างประเทศและนัดฉันไปเลี้ยงอาหาร พวกเขาเซอร์ไพรส์ฉันโดยที่ฉันไม่รู้มาก่อนเลย”
“นายอยู่ไหนหน่ะ?” เซี่ยอยู่เจียถาม
“ฉันอยู่ในหอพัก” ฮ่าวเหรินตอบ
ทางฝั่งของเซี่ยอยู่เจียเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยปากถาม “อยากออกไปเดินเล่นด้วยกันไหม? ตอนนี้พระจันทร์สวยมากเลย”
ฮ่าวเหรินรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อมากมายบินอยู่ในท้องของเขาเพราะเขาไม่คาดคิดว่า เซี่ยอยู่เจี่ยจะชวนเขาออกไปเดินเล่นในเวลาแบบนี้
ในความคิดของเขา หัวหน้าห้องนั้นเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชายมากๆ ไม่เพียงแค่ผู้ชายในชั้นเรียนเท่านั้น ยังมีพวกรุ่นพี่ที่คอยเดินตามอยู่ตลอด
“ถ้า ฉ่าวเจี่ยยี่และคนอื่นๆไม่ได้แอบไปสารภาพต่อเซี่ยอยู่เจียในนามของเขา” ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่าวเหรินกับเซี่ยอยู่เจี่ยคงจะไม่อึดอัดแบบนี้
“ไม่เป็นไร ฉันสบายดีจริงๆ ฉันต้องทำการบ้านอีกนิดนึง รอบหน้าได้ไหม?” ฮ่าวเหริน ตอบกลับไปในโทรศัพท์”
“อื้ม… ถ้านายมีอะไรสงสัยนายถามฉันได้นะ” เซี่ยอยู่เจีย พูดหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ว่ายังไง ฉันก็เป็นหัวหน้าห้องของนาย ฉันจำเป็นต้องดูแลนายจริงมั้ย?”
“ฮ่าๆ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ” ฮ่าวเหริน ไม่รู้จะพูดอะไร
“ไม่ต้องคิดมาก” เซี่ยอยู่เจียพูดก่อนจะตัดสายโทรศัพท์ไป
ฮ่าวเหรินวางโทรศัพท์ลงและรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“ใครโทรมาหรอ?” ฉ่าวเจี่ยยี่และเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนเดินผ่านประตูพร้อมกับอาหารว่างตอนเที่ยงคืนที่อยู่ในมือของพวกเขาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก” ฮ่าวเหรินยิ้ม
“นายเป็นคนลึกลับตั้งแต่เมื่อไหร่ ชักไม่แน่ใจแล้วว่านายปิดบังอะไรเอาไว้” ฉ่าวเจี่ยยี่ เดินเข้ามาในห้องและกดหัวฮ่าวเหรินเบาๆและพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
ฮ่าวเหรินตีฉ่าวเจี่ยยี่และคิดว่า “ถ้าพวกนี้เห็นเราเดินกับหัวหน้าห้อง ไม่แน่ใจเลยว่าพวกเขาจะคิดยังไง”เขา ไม่ควรให้เฉี่ยอยู่เจียมากังวลกับเรื่องแบบนี้
ในกลางดึก ฮ่าวเหรินลงมาจากที่นอนของเขาในขณะที่เพื่อนๆกำลังหลับอยู่ จากนั้นเขาได้เปิดประตูและเดินออกไปที่ระเบียง
แสงจันทร์ช่างสว่างไสว
ฮ่าวเหรินหยิบนามบัตรของอาวุโสลู่ขึ้นมามอง ก่อนจะใส่มันกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อ
“ลองดูดีกว่า…”
หลังจากที่ฮ่าวเหรินตั้งสมาธิแล้ว เขาต้องเผชิญกับความเงียบสงัดและคิดถึงเทคนิคการปลูกถ่ายในใจของเขา
เกิดภาพสีทองในจิตใจของเขา ฮ่าวเหรินพยายามเข้าใจความหมายของคำในเทคนิคและจดจ่อกับการทำสมาธิของเขาตามคำแนะนำ
เขาทำเสร็จสิ้นในครั้งเดียวแล้วกลับเข้าไปในห้องและเขาก็ได้รู้ว่าเวลาก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว
จริงๆแล้วเขายืนอยู่ข้างนอกเป็นเวลาสองชั่วโมงเลยเหรอ ฮ่าวเหรินประหลาดใจกับตัวเอง
เขาไม่มั่นใจว่ามันเกิดจากผลทางจิตใจหรือไม่ หลังจากฝึกเสร็จเขากลับรู้สึกว่าแขนของเขาที่บวมกลับมาปกติ
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเข้านอนแล้ว” ฮ่าวเหรินหยุดคิดเรื่องราวต่างๆและหลับไปอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่วันผ่านมา ชีวิตของเขากลับเข้าสู่สภาวะปกติเหมือนสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ ความสนใจของเพื่อนคนอื่นต่อฮ่าวเหรินเริ่มลดลงแต่เซี่ยอยู่เจียยังคงหันหลังกลับไปมองที่ฮ่าวเหรินบ่อยๆ
ฮ่าวเหรินเดินไปที่ระเบียงเพื่อ “ฝึก” คนเดียวทุกๆคืนแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พละกำลังที่แขนของเขาก็กำลังกลับสู่ปกติ
นามบัตรของรองผู้อำนวยการถูกซ่อนไว้ มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่รูปจากบัตรของรองอธิการบดีใหญ่จ้องตาเขา
แค่พริบตาเดียวก็ถึงวันพฤหัสบดี เป็นวันที่ตื่นเต้นสำหรับผู้ที่เรียนวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์
เป็นเพราะหลักสูตรภาคบังคับในปีที่สองที่มีการเรียนวิชา Optical Signal Processing.
“เร็วๆเข้า! เร็วๆเข้า! ขึ้นไปนั่งแถวหน้าห้อง” เมื่อออกจากชั้นเรียนคำนวณ ซู่ลี่เหริน ก็ลากฮ่าวเหรินวิ่งไปอย่างบ้าคลั่งตรงไปในทิศของห้องเรียนขนาดใหญ่อีกห้องเพื่อเรียนอีกวิชา
“ซู่ลี่เหริน จองที่นั่งไว้สองที่เผื่อพวกเราด้วย!” ฉ่าวเจี่ยยี่และช่าวหลงฮวางตะโกนจากหลังห้อง
ซู่ลี่เหริน เข้ามาในห้องเกือบจะเร็วที่สุดด้วยความเร็วแสง แต่เขาก็ต้องผิดหวังเพราะ 15 แถวแรกโดนจับจองโดยคนอื่นไปแล้ว
“พวกเรายังช้าอีกหรอเนี่ย!” ซู่ลี่เหรินพูดด้วยความไม่พอใจ เขาได้เลือกที่นั่งกลางห้องและได้จองที่นั่งไว้ให้เพื่อนอีกสองคน
“บ้าจริง! มันไกลเกินไป!” ฉ่าวเจี่ยยี่และช่าวหลงฮวางวิ่งมาพร้อมกับอาการหอบและไม่พอใจเมื่อเห็นที่นั่งของพวกเขา
“คนพวกนั้นโดดคาบเรียนเพื่อที่จะมาจองที่นั่ง ฉันจะทำยังไงได้ล่ะ?” ซู่ลี่เหรินถามอย่างไร้เดียงสา
“นายแอบอ้างว่านายจะแต่งงานกับเธอหรอ? อย่าแม้แต่จะคิด จะต้องผ่านฉันไปก่อน” ช่าวหลงฮวางล้อเลียน
“ก็ใช่นะสิ นายตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อวานแล้วหนิ เมื่อรู้ว่าจะได้มาฟังบรรยายของเธอในวันนี้” ฉ่าวเจี่ยยี่พูด
“พวกนายไม่ได้เหมือนพวกเรารึไง? พวกนายก็รีบวิ่งมาเหมือนกัน!” ซู่ลี่เหรินแย้งขึ้นมา
ตึง ตึง ตึง….
ในขณะนั้น นักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องเรียนเพื่อจะนั่งตำแหน่งดีๆ แต่พวกเขาก็วิ่งเข้ามาช้ากว่ากลุ่มของฮ่าวเหรินจึงต้องเดินไปนั่งด้านหลังแทน
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มของสาวๆในคลาสเดียวกันที่มาสายและเห็นว่าที่นั่งนั้นเต็ม จึงต้องไปนั่งอยู่ข้างหลังซึ่งไกลมากๆ
เซี่ยอยู่เจีย เป็นหนึ่งในสาวๆพวกนั้นและได้สบตากับฮ่าวเหรินแต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ
“นายได้รับการติดต่อจากเซี่ยอยู่เจียเมื่อไม่นานมานี้หนิ พวกนายแอบไปเดทกันมารึยัง?”
ช่าวหลงฮวางสัมผัสบางอย่างได้และถามฮ่าวเหริน
“ฉันอยู่กับนายตลอดทั้งวัน” ฮ่าวเหรินกรอกตาขึ้นเพื่อหลบสายตา
ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียง นอกเหนือจากชั้นเรียนของฮ่าวเหรินทุกคนในอีกสี่ชั้นเรียนก็กำลังตะโกนอยู่เช่นกัน
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊งงงงงงง ระฆังดังขึ้น
มีขาคู่สง่างามสวมใส่กางเกงขาสั้นเอวสูง
พวกผู้ชายทุกคนอ้าปากค้าง
กางเกงขาสั้นยีนส์เอวสูงสีฟ้าและมีการตกแต่งลวดลายสไตล์ทหาร ด้านบนเป็นเสื้อเชิ้ตคอวีและตัดเย็บด้วยหนังแท้ที่สวยสุดๆ มีเอกสารประกอบคำบรรยายอยู่ในแขนของเธอที่กำลังเดินเข้าห้องมา
“น่ารักและเป็นผู้ใหญ่ในเวลาเดียวกัน” ซู่ลี่เหรินแสดงความคิดเห็น
ขณะที่พวกผู้ชายกำลังกระวนกระวายใจฮ่าวเหรินไม่สามารถผงกหัวขึ้นมามองได้ แท้จริงแล้ว ซูฮาน ยังคงเป็นสาวสวยที่เพียบพร้อม ละเอียดอ่อน และดูดี แม้ว่าเธอจะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยเนื้อหนัง แต่เธอก็สามารถทำให้ผู้ชายหลายคนเลือดสูบฉีดได้
ซูฮานสวมรองเท้าส้นสูง เดินเข้ามาหน้าห้องอย่างช้าๆ
ทุกสายตาของผู้ชายถูกตราตรึงโดยเธอ แม้แต่ฮ่าวเหรินก็จ้องมองเธอ แม้เขาจะได้ฝึกเทคนิคการปลูกฝังมาอย่างยาวนาน
“วันนี้เราจะมาพูดถึงโมดูลที่สาม เปิดหนังสือของคุณที่หน้า 73” เสียงราวกับเทพธิดาออกมาจากลำโพงและส่งไปทั่วทุกมุมห้อง
“ฉันอยู่ในสวรรค์ …” ซู่ลี่เหรินกำลังเคลิบเคลิ้มในเสียงของเธอ “มันจะดีมากถ้าหากเราได้มาฟังบรรยายแบบนี้ทุกวัน”
“เธอสวยมาก…” ฮ่าวเหรินมองเธอและคิด
“รูปลักษณ์ภายนอกของเธอ ทั้งรูปร่างหน้าตาและการแต่งหน้าเป็นสิ่งที่ไร้ที่ติจริงๆ อยากรู้จริงๆว่าผู้หญิงแบบนี้เขาจะหาผู้ชายแบบไหนเป็นแฟนกันนะ?” ฮ่าวเหรินคิดกับตัวเอง
แม้ว่าเธอจะเพิ่งเข้ามาบรรยายได้ไม่กี่คาบตั้งแต่ต้นภาคการศึกษาแต่หัวใจของผู้ชายทุกคนในชั้นเรียนก็โดนเธอพิชิตไปหมดแล้ว
นอกจากนี้การบรรยายของ ซูฮานยังมีความชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย แม้แต่สาวๆในชั้นเรียนก็ยอมรับและชื่นชมเธอด้วย
การบรรยายจบภายใน 90 นาที ทุกคนยังคงตราตรึงในความงามของ ซูฮาน และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างรู้ว่าความงามดั่งภูเขาน้ำแข็งนี้ ไม่เคยพูดถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของหลักสูตรและจะไม่ตอบคำถามใดๆจากนักเรียน และเมื่อบรรยายเสร็จเธอก็จะออกไปทันที ครั้งที่สองของระฆังดังขึ้นเธอจะจบประโยคสุดท้ายเก็บสมุดบันทึกและเดินออกจากห้องในเวลาเดียวกัน
“ถ้าฉันได้พูดสักหนึ่งประโยคต่อความงามนี้ ถึงตายฉันก็จะไม่เสียดายชีวิต” เมื่อเห็น ซูฮานกำลังจะออกไปซู่ลี่เหรินก็ดึงแขนฮ่าวเหรินพร้อมถอนหายใจ
“นักเรียนคนนั้นมาที่ออฟฟิศของฉัน” ซูฮานไม่ได้ก้าวออกจากห้องเรียนเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น เธอได้ยกมือที่บอบบางของเธอขึ้นและชี้ไปทีซู่ลี่เหริน
“ผมหรือครับ?” ซู่รี่เหรินยืนขึ้น เขารู้สึกประหลาดใจและเกือบจะเป็นลมเพราะความสุขที่เอ่อล้น
“ไม่ใช่ ผู้ชายข้างๆคุณ” ซูฮานเลื่อนนิ้วที่ชี้อยู่ไปทางขวาเล็กน้อยไปที่ฮ่าวเหริน
โปรดติดตามตอนต่อไป…………