Dragon Kings Son-In-Law - DK 7: การประชุม !
DK 7: การประชุม !
ปึง! ปึง!
แล้วประตูรถก็ปิดลง
ฝ่ายรูมเมททั้งสามได้แต่จ้องมองรถซีดานคันหรูด้วยความประหลาดใจ เท่าที่พวกเขารู้เรื่องของ ฮ่าวเหริน เขาก็มาจากครอบครัวธรรมดาแท้ๆ ทั้งสามนึกสงสัยว่าเพื่อนของพวกเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีคนมาพาตัวไปแบบนี้
รถซีดานสีดำเคลื่อนตัวออกไปจากมหาวิทยาลัยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
ระหว่างทางฮ่าวเหรินพยายามไม่ถามอะไรผู้ชายทั้งสองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งเพราะเขาเชื่อว่าเดี๋ยวไปถึงที่หมายแล้ว เขาก็คงได้คำตอบเอง
ในขณะที่รถซีดานกำลังเคลื่อนตัวไปอย่างนุ่มนวล ความรู้สึกของตัวเอกในหนังก็ผุดขึ้นมาในใจฮ่าวเหรินราวกับว่าเขาจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกแล้ว
เวลากว่าครึ่งชั่วโมงของการนั่งรถออกจากตัวเมืองครามบรูพาผ่านไป ในที่สุดรถก็เข้าสู่ใจกลางเมืองอันแสนวุ่นวาย
ตึกระฟ้าสูงกว่า 70 ชั้นปรากฏแก่สายตาฮ่าวเหริน ด้านบนสุดของตึกเป็นป้ายตัวอักษร 2 คำใหญ่ๆ – หมิงลี่กรุ๊ป
เมื่อดูจากรายชื่อบนตลาดหุ้นแนสแด็กของสหรัฐอเมริกาแล้ว หมิงลี่กรุ๊ปถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและแน่นอนว่าต้องมีอาณาจักรธุรกิจในเมืองครามบูรพาแบบไม่ต้องสงสัยเลย
"คุณครับ กรุณาลงจากรถด้วยครับ" เมื่อรถซีดานจอดที่ประตูทางเข้าตึกสูงเสียดฟ้า ชายสูทดำทั้งสองก็ลงจากรถและเปิดประตูให้ฮ่าวเหริน
เพียงแค่เหลือบมองขึ้นไปยังตึกสูงนั่นฮ่าวเหรินก็เริ่มเวียนหัวแล้ว หลังจากที่เขาลงจากรถฮ่าวเหรินก็ถูกหนึ่งในชายสูทดำพาตัวไป
พนักงานต้อนรับผู้สวยราวกับดาราหันมามองผู้ชายที่มากับฮ่าวเหรินแล้วยิ้มให้ เธอไม่ได้ขอให้พวกเขาเซ็นชื่อหรือเปิดทางที่มีการรักษาความปลอดภัยให้พวกเขาแต่อย่างใด
ฮ่าวเหรินรู้สึกเหมือนมีคลื่นของความวิตกซัดมาใส่เขาเต็มๆ
ผู้ชายคนหนึ่งนำทางฮ่าวเหรินไปยังลิฟต์ก่อนจะกดปุ่มเลข 75 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของตึก
ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนฮ่าวเหรินก็กำลังแอบจ้องมองผู้ชายหน้าตาขึงขังคนเดิมข้างๆ อยู่เงียบๆ
"ใครเป็น 'มาสเตอร์' ของคนพวกนี้กันแน่นะ? คนแบบไหนที่จะทำงานในที่ทำงานแบบนี้กันนะ?"
ติ๊ง!
ในที่สุดลิฟต์ก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของตึก
ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก ฮ่าวเหรินก็ได้พบกับการต้อนรับจากพรมสีแดงสว่าง ล็อบบี้สีทองและโคมไฟระย้าที่สวยงามตระการตา…
ตัวล็อบบี้นั้นหรูหราราวกับเป็นโรงแรม 5 ดาวก็ไม่ปาน
ชายคนเดิมยังคงเงียบแม้จะในตอนที่เขาเดินนำฮ่าวเหรินออกมาจากลิฟต์และนำทางเขาไปก็ตาม
จนกระทั่งเขาหยุดลงที่หน้าห้องออฟฟิศซึ่งมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า "ห้องประธาน"
ระหว่างที่เคาะประตู ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้น "ท่านครับ เขามาแล้วครับ"
"ให้เขาเข้ามา" พลันน้ำเสียงที่ดูสง่าแต่เหนื่อยล้าก็ดังตอบกลับมาจากในห้อง
ชายคนนั้นเปิดประตูแล้วนำฮ่าวเหรินเข้าไปในห้อง
ห้องออฟฟิศสวยงามหรูหราบนพื้นที่อย่างน้อย 200 ตารางเมตรปรากฏแก่สายตาแขกอย่างเขา
ผู้ชายที่ทำผมทรง crew cut และใบหน้าทรงเหลี่ยมจ้องมองฮ่าวเหรินมาด้วยสายตาดุดัน
ทั้งยังมีผู้ชายหน้าตาซีเรียสในชุดสูทสีดำถึง 4 คนยืนขนาบข้างอยู่อีกด้วย
"มันอยู่กับเขามั้ย?" ชายคนนั้นถามคนที่นำทางฮ่าวเหรินมา
"อยู่ครับ ผมรู้สึกได้" คนนำทางตอบกระชับ
"จื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังแล้ว ผมจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้คุณ ถ้าคุณคืนมันมาให้ผมเดี๋ยวนี้" ผู้ชายที่ดูน่าจะเป็นท่านประธานพูดพลางจ้องมองฮ่าวเหรินไม่วางตา
"ผมไม่มีมันหรอกครับ" ฮ่าวเหรินกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง
ไร้ความลังเล ชายคนนั้นพูดต่อสั้นๆ "ค้นตัวเขา"
คนชุดดำทั้งสี่พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว จับแขนและไหล่ของฮ่าวเหริน ในขณะที่ผู้ชายที่นำทางเขามาเริ่มค้นตัวเขาด้วยท่าทีชำนาญมากๆ
ฮ่าวเหรินรู้ตัวว่าเขาพลาดก้าวเข้ามาใน "ถ้ำเสือ" แล้ว แต่เขาเองก็แน่ใจว่าคนพวกนี้จะทำอะไรเขาไม่ได้เพราะพวกเขาต้องหาอะไรไม่เจอแน่ๆ
ระหว่างที่ฮ่าวเหรินกำลังทำนายอนาคตตัวเองอยู่ ชายชุดดำที่ค้นตัวเขารอบแรกเสร็จก็เริ่มค้นตัวใหม่เป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนั้นเขาค้นหาช้าลงและละเอียดขึ้น
จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าตื่นๆ "มาสเตอร์…"
"ผมบอกพวกคุณหลายครั้งแล้วนะว่าอย่าเรียกผมว่า มาสเตอร์ ให้เรียกว่าบอส!" ชายหน้าเหลี่ยมพูดด้วยความโกรธ
"ครับบอส" ชายคนเดิมตอบรับก่อนจะชี้มาที่ฮ่าวเหริน "สิ่งนั้น… ของคุณจื่ออยู่ในท้องเขาครับ"
ชายหน้าเหลี่ยมนิ่งอึ้งไป ในขณะที่คนอื่นๆก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
"เรียกท่านอาวุโสมา" หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหน้าเหลี่ยมก็เริ่มสั่งการ
"ครับ!" ผู้ชาย 8 จาก 9 คนในห้องเดินออกไป เหลือเพียงคนเดียวที่ยังยืนอยู่ข้างๆชายหน้าเหลี่ยมคนนั้น
"ไปรับจื่อจากโรงเรียนที" ท่านประธานสั่งคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ครับ!" เขารับคำสั่งและออกจากห้องไปในทันที
ตอนนี้จึงเหลือเพียงฮ่าวเหรินและชายหน้าเหลี่ยมคนนั้นยืนเผชิญหน้ากันอยู่ในห้อง
"ผมชื่อฉ่าวกวง นายชื่ออะไร?" ท่านประธานจ้องฮ่าวเหรินแล้วถามขึ้น
"ฮ่าวเหรินครับ" เขาตอบ
"อ่า ฮ่าวเหรินแปลว่าคนดีซะด้วย เรื่องพวกนี้มันยุ่งยากกว่าเดิมนิดหน่อย นายต้องอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกหน่อยนะ" ฉ่าวกวงพูดต่อแต่ก็ยังจ้องมองฮ่าวเหรินอยู่เหมือนเดิม
"ได้ครับ" สีหน้าของฮ่าวเหรินไม่ได้แสดงออกถึงความสับสนที่เขารู้สึก แต่เขาก็ทนทำตัวนิ่งๆต่อไปอีกไม่ไหว เมื่อรู้ว่ามีวัตถุอะไรสักอย่างอยู่ในท้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวัตถุนั่นดูเหมือนจะเกี่ยวข้องอะไรกับรอยสักด้วย
"นั่งก่อนสิ" ฉ่าวกวงชี้ไปที่นั่งข้างๆเขา
ฮ่าวเหรินเดินเข้าไปแล้วนั่งลงบนโซฟาหนัง ด้านข้างเป็นกระจกซึ่งสามารถมองผ่านออกไปเห็นวิวทั้งหมดของเมืองครามบูรพาหรือแม้กระทั่งทะเลที่อยู่ออกไปไกลมากๆได้
ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบ ปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้คนก็เริ่มทยอยเข้ามาอย่างรีบร้อน ทุกคนดูสับสนกระวนกระวายไปหมด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งก็พาใครอีกคนเข้ามา นั่นคือฉ่าวเหยียนจื่อ
เมื่อเห็นฮ่าวเหริน เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความไม่ชอบหน้าและแน่นอนว่าฮ่าวเหรินก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน
"จื่อ อย่าทำหน้าแบบนั้น มันเป็นความผิดของลูกทั้งหมดนะ" ฉ่าวกวงเริ่มดุฉ่าวเหยียนจื่อ
แต่เธอเม้มปากราวกับกำลังท้าทาย
ไม่นานนัก คนหลายสิบคนก็เดินเข้ามาในห้องออฟฟิศขนาดใหญ่แห่งนี้
"ถ้าทุกคนอยู่ที่นี่กันแล้ว ก็เข้ามาประชุมกันเลย จื่อ ลูกก็เข้ามาด้วย" หลังจากมองไปรอบๆ ฉ่าวกวงก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ประตูลับเปิดออกโดยอัตโนมัติ ห้องประชุมเล็กๆที่เชื่อมต่อกับออฟฟิศก็ปรากฏขึ้น
เมื่อทุกคนกำลังทยอยเดินเข้าไปในห้องประชุม ฉ่าวกวงก็หันกลับมาหาฮ่าวเหรินแล้วพูดกับเขา "ช่วยนั่งอยู่ตรงนี้สักพัก และรอจนกว่าจะได้ผลสรุปของการประชุมนะ"
ฮ่าวเหรินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับเข้าใจ อีกอย่างคือมันคงไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไหร่ถ้าต้องมีอะไรก็ไม่รู้อยู่ในท้องตัวเองแบบนี้
ฮ่าวเหรินได้แต่ภาวนาว่าคนพวกนั้นจะหาทางเอาลูกแก้วออกมาจากท้องของเขาได้โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดใดๆทั้งสิ้น
เมื่ออยู่คนเดียวในห้องออฟฟิศอันแสนกว้างขวางและหรูหรา ฮ่าวเหรินก็มองลงไปยังวิวของเมืองเบื้องล่าง ตอนนี้เขารู้สึกไม่ต่างไปจากการนั่งอยู่บนก้อนเมฆเลย
โปรดติดตามตอนต่อไป……..