Dragon Kings Son-In-Law - DK : 4 วังมังกรบูรพา !
DK : 4 วังมังกรบูรพา !
หลังจากแยกตัวออกมาจากสาวน้อยปริศนาคนนั้นแล้ว ฮ่าวเหรินก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองของห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลต่อและในที่สุดเขาก็ยืมหนังสือที่คิดว่าน่าจะใช้ได้ ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องสมุด
เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อฮ่าวเหรินออกมาเด็กสาวคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว
เพียงเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ฮ่าวเหรินยังคงคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเธอคนนั้น เขาเริ่มคิดว่าถ้าอาทิตย์หน้าเขาเจอเธออีก เขาจะทำยังไงต่อ
ถ้าพ่อแม่เธอจะมาหาเขาเพราะเรื่องนั้นจริงๆ มันคงยุ่งยากน่ารำคาญมากแน่ๆ… เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากความผิดของเธอเองแท้ๆ ที่ทำของของตัวเองหล่นหายไป ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังโทษฮ่าวเหรินเพื่อปัดความผิดมาลงที่เขาแทนตัวเองอีกด้วย
เมื่อฮ่าวเหรินเดินกลับมาถึงหอพัก รูมเมททั้งสามของเขาก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกันหมดแล้วแต่เรื่องที่ฮ่าวเหรินเล่าให้รูมเมทฟังเป็นฉบับที่ทุกอย่างคลี่คลายได้อย่างเรียบร้อยราบรื่นและไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรให้มากนักเพราะฮ่าวเหรินไม่อยากดึงเพื่อนตัวเองเข้ามาข้องเกี่ยวกับอะไรที่เป็นปัญหาน่ารำคาญไปด้วย
"ว่าไปแล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นก็สวยเป็นบ้าเลยนะ หากผ่านไปสักสองปี เธอจะต้องกลายเป็นคนดังของทุกโรงเรียนแน่ๆ" ฉ่าวเจียยี่พูดด้วยความรู้สึกชื่นชมพลางตบไหล่ฮ่าวเหรินเป็นการให้กำลังใจเขาไปด้วย
แน่นอน เธอสวยจริงอย่างเขาว่าแต่เธอก็ดันเป็นตัวสร้างปัญหาพอสมควรเลยเช่นกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดูฉลาดที่สุดก็คงเป็นการเลี่ยงการติดต่อกับเธอในทุกๆทางคงดีที่สุด
"ไม่ใช่ว่านายต้องกลับบ้านอาทิตย์นี้เหรอ? นายหาข้อมูลที่ต้องการเสร็จครบรึยังล่ะ?" ฉ่าวเจียยี่ถามต่อ
"อื้ม ผมกำลังเตรียมตัวกลับบ้านอยู่เลย" ฮ่าวเหรินวางหนังสือที่เพิ่งยืมมาจากห้องสมุดลงบนโต๊ะและหยิบกระเป๋าว่างๆอีกใบขึ้นมา
"พรุ่งนี้กลับมาเร็วหน่อยนะ ตอนเย็นจะได้มาเล่นไพ่กัน!" ฉ่าวเจียยี่ตบบ่าฮ่าวเหรินอีกครั้งพร้อมเตือนเพื่อนไปด้วย
"แน่นอน ผมจะรีบกลับมา ขอบคุณที่ช่วยวันนี้นะ" ฮ่าวเหรินโบกมือให้รูมเมทก่อนจะเดินออกไป
ระหว่างทางบนรถบัสกลับบ้าน ฮ่าวเหรินก็อดพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อเช็คสภาพข้อมือตัวเองอีกครั้งไม่ได้
รอยสีเขียวนั้นดูใกล้เคียงมังกรมากจริงๆ จากการขัดผิวอย่างหนักหน่วงของเขา สีของรอยนั่นจางลงไปเยอะเลย
เขากำลังคิดว่าถ้าย่าของเขาเกิดเห็นรอยนี่ขึ้นมา ย่าต้องคิดว่าเขาคบเพื่อนผิดๆและไปสักลงแขนตัวเองแน่ๆ… เมื่อคิดเช่นนั้นฮ่าวเหรินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เขาเปิดหน้าต่างข้างๆปล่อยให้ลมเย็นด้านนอกพัดเข้ามาสัมผัสใบหน้า จนกระทั่งเขาผล็อยหลับไปในที่สุด
เมื่อฮ่าวเหรินตื่นขึ้นอีกครั้ง รสบัสก็ขับมาเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมงแล้ว นั่นคือเขาใกล้ถึงบ้านแล้ว
ฮ่าวเหรินหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาด้วยความงัวเงียอย่างคนเพิ่งตื่น เดินลงจากรถก่อนจะเริ่มเดินไปตามทางคอนกรีต
บางครั้งก็มีรถคันหรูแปลกตาขับผ่านเขาไป ในขณะที่ฮ่าวเหรินต้องแบกกระเป๋าเดินเท้าต่อไปเรื่อยๆ เทียบกันแล้วเขาช่างดูน่าสมเพชเสียจริงๆ
ฮ่าวเหรินใช้เวลาเดินกว่า 30 นาที กว่าจะมาถึงบริเวณที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่
ถ้าเพื่อนของฮ่าวเหรินได้มาเห็น พวกเขาจะต้องตกตะลึงเพราะบ้านของฮ่าวเหรินอยู่ติดกับท่าเรือที่มีวิวสวยๆของเมืองครามบรูพาทั้งยังตั้งอยู่กลางกลุ่มบ้านเรือน บ้านของฮ่าวเหรินเป็นบ้านสองชั้นที่ดูเหมือนจะธรรมดาตั้งอยู่ห่างจากชายหาดประมาณ 200 เมตรเท่านั้น
"คุณย่า!" แม้จะรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยแต่ฮ่าวเหรินก็ยังมีแรงตะโกนระหว่างเปิดประตูเหล็กดัดเข้าไปได้
"เหริน หลานกลับมาแล้ว!" หญิงชราที่ดูใจดีและอ่อนโยนเดินออกมาจากภายในบ้านออกมาต้อนรับ ฮ่าวเหรินด้วยรอยยิ้ม "ทำไมวันนี้มาช้าจังล่ะ?"
"แหะๆ พอดีผมมีการบ้านที่ต้องส่งภายในอาทิตย์หน้าเลยต้องหาข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนถึงจะกลับบ้าน ได้น่ะครับ" ฮ่าวเหรินตอบพลางเดินตามย่าของเขาเข้าไปในบ้าน "อาทิตย์นี้เป็นไงบ้างครับย่า?"
"ก็เรื่อยๆน่ะ ทำความสะอาดบ้านไปบ้าง เดินเล่นริมหาด ปลูกดอกไม้กับดูแลสนามหญ้าแล้วก็ซื้อขายหุ้นด้วย อ้อ สุดสัปดาห์นี้ลุงหวางหยุดนะ เพราะงั้นครั้งนี้ให้ย่าแสดงฝีมือทำอาหารหน่อยเป็นไง?" คุณย่าตอบกลั้วหัวเราะ
"ซื้อขายหุ้น? อาทิตย์นี้ได้มาเท่าไหร่ครับ?" ฮ่าวเหรินถามอย่างตื่นเต้น
"มันก็ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำเงินได้ทุกอาทิตย์หรอกนะ อันที่จริงอาทิตย์นี้ ย่าเพิ่งเสียไป 6000 หยวนแต่รู้มั้ยเรื่องพวกนี้ย่าไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่แล้วล่ะ อ้อนี่ มีข่าวใหม่มาจากนอร์เวย์ด้วยนะ พ่อแม่หลานกำลังจะจบทริปเดินทาง คงกลับบ้านได้เดือนหน้านี้แล้วล่ะ" คุณย่าอธิบายระหว่างเดินเข้ามาในครัว
"เดือนหน้าเหรอครับ? เร็วกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย" ฮ่าวเหรินเดินตามย่าไปเพื่อช่วยงานในครัวด้วย
จริงๆแล้วทั้งสองคนจ้างพ่อครัวเอาไว้คนหนึ่งนั่นก็คือ ลุงหวางเพราะฉะนั้นจึงมีคนรับหน้าที่ทำอาหารให้คุณย่าและคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอที่บ้านหลังนี้ในระหว่างที่พ่อแม่ของฮ่าวเหรินไปต่างประเทศและระหว่างฮ่าวเหรินต้องไปเรียนด้วยแต่มันก็คงเป็นช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อและเหงามากๆสำหรับย่าเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามลุงหวางก็ต้องกลับบ้านของตัวเองช่วงสุดสัปดาห์เพราะธุรกิจบางอย่างของครอบครัวตัวเองด้วย เพราะฉะนั้นแม้ว่าฮ่าวเหรินจะไม่มีอะไรให้ทำที่บ้านมากนักแต่เขาก็ต้องกลับมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนคุณย่าระหว่างลุงหวางไม่อยู่นั่นเอง
และด้วยความที่พ่อแม่ของฮ่าวเหรินเป็นคนเข้าใจยากและไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน เขาจึงเป็นคนที่สนิทกับคุณย่ามากที่สุด
"ย่าครับ ผมมีเรื่องอยากถาม" ฮ่าวเหรินถามขึ้นระหว่างที่กำลังหั่นผักอยู่ "ย่าคิดว่าโลกเรามีมังกรอยู่จริงมั้ยครับ?"
"มังกร?" คนถูกถามดูสนใจในประเด็นที่ฮ่าวเหรินถาม แววตาของย่าเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยระหว่างคิดคำตอบ "จริงๆแล้ว เมื่อก่อนมีคนในเมืองครามบรูพา บางคนเคยเจอมังกรที่นี่อยู่นะ"
"จริงเหรอครับ?" ตอนนี้ฮ่าวเหรินเองก็ตาเป็นประกายแล้วเช่นกัน
"จริงสิ ย่าก็เคยเห็นกับตาตัวเองมาเหมือนกัน ตอนนั้นย่ายังสาวๆประมาณ 20 เห็นจะได้ วันนึงย่ากำลังทำงานอยู่ในไร่แล้วจู่ๆพายุก็มาจากไหนก็ไม่รู้ เพื่อนรักของย่ากับย่าเลยรีบหาที่หลบกันก่อน ตอนนั้นเองย่าก็ได้เห็นกลุ่มก้อนเมฆหนาน่ากลัวเคลื่อนตัวลงต่ำมาเรื่อยๆ…"
ระหว่างฟังเรื่องของคุณย่า ฮ่าวเหรินรู้สึกเหมือนหัวใจเขาแทบหยุดเต้นเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป เขาจึงคะยั้นคะยอทันที "แล้วอะไรครับย่า? เล่าต่อเลยครับ!"
"ก็ ตอนนั้นย่าเห็นสายฟ้าเป็นรูปมังกรพุ่งออกมาจากก้อนเมฆและแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า ตอนนั้นย่ากลัวมากแต่หลังจากนั้นก็คิดว่ามันคงเป็นแค่ภาพลวงตา พอย่าคิดเรื่องนั้นไปสักพัก เมฆตรงนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขาวๆต่างจากเมฆก้อนอื่นที่ดำทะมึนไปเลย" คุณย่าดูราวกับหลุดเข้าไปในภวังค์ความคิดในระหว่างที่กำลังหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น
"ฟ้าผ่า… ผมว่ามันคงเป็นแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติธรรมดานะครับ" ฮ่าวเหรินกล่าว
"พ่อเธอก็บอกกับย่าแบบนั้นเหมือนกันแต่หลานรู้มั้ย เขาน่ะไม่เคยสนใจในเรื่องเหนือธรรมชาติเลย แต่ถึงอย่างนั้นพอผ่านไปสักพัก เพื่อนของย่าคนนั้นก็บอกย่าว่า เธอเห็นมังกรสีขาวออกมาจากเมฆและดื่มน้ำจากทะเลสาบจริงๆ เธอยังเห็นพวยน้ำลอยจากทะเลสาบขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วย ย่าก็ถามเธอเหมือนกันว่าจริงรึเปล่า เธอตอบย่าว่าเธอมั่นใจมากว่าเห็นจริงๆ และเธอไม่มีทางโกหกย่าแน่ๆ"
สิ่งที่ย่าอธิบายมันช่างละเอียดและเห็นภาพชัดเจน ทำเอาฮ่าวเหรินต้องขนลุกไปทั้งตัว
งั้นมังกรก็มีจริงน่ะสิ…
"แล้วทำไมจู่ๆหลานถึงถามเรื่องมังกรขึ้นมาล่ะ?" เมื่อหลุดออกมาจากห้วงแห่งความทรงจำแล้ว ย่าก็ถามฮ่าวเหรินกลับบ้าง
"อ้อ ผมแค่สงสัยน่ะครับ" ฮ่าวเหรินรีบเปลี่ยนสีหน้าตกตะลึงให้กลับมาปกติ ก่อนจะก้มหน้าหั่นผักต่อไป
"ที่นี่คือเมืองครามบรูพา มีคำเล่าลือว่าในอดีต มีใครหลายคนเคยเห็นมังกรที่นี่จริงๆอีกอย่างตามตำนานสมัยก่อน ที่นี่น่าจะมีวังมังกรอยู่ใกล้ๆ ซึ่งนั่นอาจหมายความว่าชื่อเมืองเมืองครามบรูพาอาจจะได้มาเพราะเรื่องนี้ก็ได้นะ" คุณย่าพูดเสริม
"เหมือนตำนานวังมังกรบูรพานั่นเหรอครับ?" ฮ่าวเหรินหันกลับไปถาม
"ฮ่าฮ่า น่าจะใช่นะ" เมื่อล้างผักเสร็จแล้วคุณย่าก็เอาผักใส่ลงไปในหม้อต่อ
"งั้นทำไมเราถึงไม่ได้เห็นมังกรอีกแล้วล่ะครับ?" ฮ่าวเหรินถามต่อ
"อาจจะเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปก็ได้นะ สิ่งแวดล้อมบางอย่างที่เสื่อมสภาพลง ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายชนิดสูญพันธุ์ไปด้วย" คำตอบที่ได้รับทำเอาฮ่าวเหรินพูดไม่ออก
ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นระยะๆ หัวข้อสนทนามากมายผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมื้อเย็นจบลง หลังจากนั่งดูทีวีด้วยกันสักพัก ฮ่าวเหรินและคุณย่าก็ต่างคนต่างเข้านอน
ฮ่าวเหรินเดินเข้ามาในห้องตัวเองแต่เพราะเขานอนไม่หลับนิดหน่อย เขาจึงเปิดหน้าต่างและจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวพร้อมกับฟังเสียงคลื่นทะเลที่ดังมาจากชายหาด ฮ่าวเหรินย้อนนึกถึงเรื่องที่ย่าเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้และนั่นจุดประกายให้เขาอยากพิสูจน์อย่างแรงกล้าว่ามีมังกรบนโลกนี้จริงหรือไม่
ฮ่าวเหรินยกข้อมือขึ้นมองรอยสีเขียวนั่นยังคงเด่นชัดเป็นหลักฐานอยู่บนแขนเขาอย่างเดิมและยิ่งเขามองมันมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกว่ามันดูเหมือนมังกรมากขึ้นเท่านั้น….
"เฮ้อ เราคงคิดเรื่องนี้มากเกินไป…" ฮ่าวเหรินปิดหน้าต่าง ปิดไฟ แล้วล้มตัวลงนอนหลับไป
โปรดติดตามตอนต่อไป