Dragon Kings Son-In-Law - DK 3 : กลายเป็นคนเลว ?
DK 3 : กลายเป็นคนเลว ?
ฮ่าวเหรินไม่ต้องการจะเปิดเผยรอยสักแปลกประหลาดบนร่างกายของเขา เขาจึงรีบชักมือถอยหนี
ทันใดนั้นเธอก็ยื่นมือออกมาอีกครั้งวางลงบนท้องของฮ่าวเหรินเหมือนกับเธอพยายามสัมผัสอะไรบางอย่าง
“พวกเราอยู่กลางที่สาธารณะ มันจำเป็นสำหรับเธอจริงๆเหรอที่มาจับท้องของผมน่ะ?” เขารีบตีมือของเธอออก
ทีแรกฝูงชนก็ยังไม่ได้หายไปมากนัก หลายคนยังคงรอดูเรื่องที่จะเกิดขึ้น เนื่องด้วยที่เธออายุเพียงเท่านี้แต่เป็นการกระทำที่น่าตกใจที่ทำให้คนในมหาวิทยาลัยคิดไปต่างๆนาๆ
“พวกคุณสองคน ไม่ว่าปัญหาจะคืออะไรก็เหอะ มันต้องมีทางออกสิ” ฉ่าวเจียยี่พยายามที่จะหาทางเพื่อช่วยเหลือฮ่าวเหรินจากปัญหา “สาวน้อย เธอเจอเหรินแล้วตอนนี้ ผมว่ามันต้องมีอะไรเข้าใจผิดระหว่างเธอสองคนแน่ๆ เขาชื่อฮ่าวเหรินส่วนคุณล่ะ?”
“อย่างแรกนะ อย่ามาเรียกฉันว่าสาวน้อย! แล้วก็…ฮึ! เขาเป็นคนดีงั้นเหรอ? ฉันว่าเขาดูไม่มีสักส่วนที่เหมือนคนดีเลยซักนิด” เธอจ้องไปที่ฮ่าวเหรินแล้วถาม “คุณจะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะคืนของของฉันมา!”
“ก็ได้ ก็ได้ เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ!” ฮ่าวเหรินคว้าแขนเธอและออกวิ่งไปยังตึกวิชาการ
ตั้งแต่ความน่าสนใจและความน่าตื่นเต้นได้หายจากไปแล้วก็ไม่มีใครตามพวกเขาไปอีก ฮ่าวเหรินปล่อยข้อมือเล็กบางของเธอออกแล้วเอ่ย “โอ้ย ขอร้องล่ะ ทำไมเธอถึงต้องสร้างสถานการณ์วุ่นวายขนาดนี้ด้วย? ผมไม่ได้เอาอะไรของคุณมาจริงๆ”
“คุณกำลังโกหกใครอยู่ฮะ? ถ้างั้นคุณจะอธิบายลวดลายนั้นบนข้อมือยังไง?” ดวงตาของเธอจ้องตรงไปฮ่าวเหรินท่าทางของเธอไม่มีวี่แววว่าจะยอมแพ้
“นี่มันต้องเป็นอะไรที่เขาเรียกกันว่า age – gap แน่ๆ มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ…” ดูจากความไร้เหตุผลของสาวน้อยที่อายุน้อยกว่าเขาสี่หรือห้าปีคนนี้ ฮ่าวเหรินรู้สึกได้ว่ามันไม่มีทางเลยที่เขาจะรอดไปจากเธอ
“อย่างแรกนะ ผมไม่ได้เอาอะไรจากเธอไปทั้งนั้นอย่างที่สองเมื่อวานผมช่วยคุณไว้ ไม่ใช่แค่ว่าคุณไม่ขอบคุณผมนะ คุณก็ทำร้ายผมด้วย อย่างที่สามคุณปลุกคนทั้งมหาลัยและสร้างความโกลาหลขึ้นเพื่อที่จะหาผม แล้วต่อจากนี้ผมจะอยู่ยังไง?” ฮ่าวเหรินพูดอย่างไม่พอใจ
“แค่เอาของคืนฉันมาแล้วเรื่องพวกนี้ก็จะหายไป” เธอจ้องฮ่าวเหรินต่อ
เธอย้ำความต้องการของเธอต่อไป ทำให้ฮ่าวเหรินมาถึงจุดสูงสุดของความอดทน
“เอ้อ…ยังไงก็เหอะ ผมจะไปกินข้าวแล้ว” ฮ่าวเหรินหันหลังออกเดินไปยังเส้นทางโรงอาหารที่ไร้ผู้คนที่ใกล้กับพื้นที่ของตึกวิชาการที่สุด โดยทิ้งเด็กสาวเอาไว้เพียงลำพัง
ถึงอย่างนั้น สาวน้อยก็ยังตามติดเขาและยังคงรักษาสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเอาไว้
หลังจากเขาเข้ามายังโรงอาหาร ฮ่าวเหรินยืนในแถวเพื่อจะซื้อข้าว เด็กสาวก็ยังตัวติดเขาอยู่ยังกับตังเมในทุกๆฝีก้าว
แม้กระทั่งตอนที่ฮ่าวเหรินเอาบัตรโรงอาหารออกมาสั่งอาหาร ตาของเธอก็ยังตามติดอยู่กับเขา
“ผมไม่รู้จะทำยังไงกับคุณแล้ว….”ฮ่าวเหรินถอนหายใจพลางหยิบบัตรโรงอาหารออกมาอีกครั้ง “เชฟครับ ผมขอชุดคอมโบเนื้อเพิ่มอีกที่ครับ”
เขาถือถาดอาหารไปไว้ที่โต๊ะโต๊ะโดยมีสาวน้อยถือถาดอาหารของเธอตามเขามา
เมื่อเขานั่งลง เธอก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา……
ตอนนี้เธอเลียนแบบเขาไปทุกๆท่า เธอจะกัดอาหารหนึ่งคำก็ต่อเมื่อเขาทำและพอเข้าหยุดกิน เธอก็จะหยุดด้วย
“ผมไม่ได้เอาอะไรจากคุณมาจริงๆ” ฮ่าวเหรินไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าปัญหาแบบนี้จะมีต้นตอมาจากการไปช่วยใครซักคนเอาไว้
“รอยสักของคุณกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่ อีกอย่างนะ มันเป็นข้อยืนยันที่แน่ชัดที่สุดว่าคุณเอาอะไรมา” เด็กสาวยืนยันซึ่งในตอนนี้เธอไม่ละสายตาจากฮ่าวเหรินแม้แต่วินาทีเดียว
“แล้วทำไมถึงเป็นงั้นล่ะ?” ฮ่าวเหรินถาม
“ก็… ฉันบอกเหตุผลกับคุณไม่ได้หรอก แต่ยังไงก็เถอะ ฉันรู้ว่าความจริงคุณมีลูกแก้วของฉันอยู่ แล้วกระเป๋าไหนล่ะที่คุณใส่มันไว้น่ะ มันต้องอยู่ใกล้ๆท้องของคุณแน่ๆใช่มั้ย? อย่าให้ฉันค้นตัวคุณนะ” เธอยืนกราน
“ค้นตัวผม ? ผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนี้พูดจาใหญ่โตแบบนี้ได้ไงเนี่ย?” ฮ่าวเหรินเหลือบมองเธอพักหนึ่งแล้วเริ่มกินต่อ
ดูเหมือนว่าเธอเองก็หิวจากการรอฮ่าวเหรินเมื่อเช้าเช่นกัน เธอสวาปามอาหารเช้าอย่างรวดเร็วจนหมดภายในพริบตา
ฮ่าวเหรินคว้าโอกาศนี้ไว้ เขายกหัวขึ้นมองสำรวจเธอเงียบๆ และพบว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เธอใส่อยู่นั้นไม่ธรรมดาแม้ว่าตัวเสื้อจะบ่งบอกถึงความกระฉับกระเฉงของนักเรียนมัธยมแต่มันก็เป็นสไตล์ย้อนยุคมากกว่าปกติ ลูกไม้ที่ปักบนหน้าอกเธอดูคล้ายรูปผีเสื้อและประดับประดาอยู่บนร่างเล็กกระทัดรัดของเธออย่างลงตัว
นอกจากนี้ที่ด้านล่างเสื้อของเธอถูกซ่อนไว้ในกางเกงยีนส์ อวดทรวดทรงของเอวขอดบาง เข้ากันดีกับรองเท้าแตะไม้ลายดอกอันงดงาม ฮ่าวเหรินเเน่ใจว่าเธอคนนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาแน่
โดยเฉพาะ สำหรับนักเรียนมัธยมซักคนที่ไม่สะทกสะท้านกับการโยนเงินห้าร้อยหยวนออกจากกระเป๋าอย่างไม่เสียดายก็จะต้องเป็นนักเรียนที่ไม่ได้มาจากโรงเรียนมัธยมธรรมดาสามัญเป็นแน่
ในตอนนี้เธอก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน เธอดูเหมือนจะสังเกตได้ว่าฮ่าวเหรินกำลังสำรวจเธออยู่ เพื่อปกปิดความสนอกสนใจและความคิดของเขา ฮ่าวเหรินก็รีบก้มหัวหลบลงทันที
โดยไม่ต้องเอ่ยอะไรมาก ภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่น่ารักเช่นนี้เมื่อปรากฏในโรงอาหารก็ดึงดูดความสนใจของนักศึกษาจำนวนมากเอาไว้
“เฮ้อ พวกเขาต้องคิดว่านี่คือน้องสาวผมแน่ๆ…” ฮ่าวเหรินพยายามเรียกขวัญกำลังใจตัวเองกลับมา
“คุณควรจะจากไปทันทีที่คุณกินเสร็จนะ ตั้งแต่คุณมาที่นี่ด้วยตัวคนเดียว พ่อกับแม่ของคุณจะต้องเป็นห่วงแน่ๆ” ฮ่าวเหรินกล่าว
"ตราบใดที่คุณเอาของของฉันคืน ฉันก็จะกลับกลับบ้านได้อย่างสบายใจ ฉันเตือนคุณนะ ถ้าผู้ปกครองฉันรู้ว่าฉันทำอะไรหายไปและตัดสินใจที่จะมาทวงคืนด้วยตัวเองแล้วละก็ มันจะเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากๆสำหรับคุณ" ทันใดนั้นเธอก็พูดอย่างใจเย็นและสุขุม
อย่างไรก็ตามคำพูดก่อนหน้าของเธอก็พูดเป็นนัยแล้วว่ามันคือการข่มขู่ ….
คราวนี้คำพูดของเธอทำให้ฮ่าวเหรินแทบร้อง พูดตรงๆเลยว่าเขาไม่รู้เลยว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ "เด็กในวัยเธอ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ที่เข้าไปพัวพันด้วย จะเกี่ยวโยงไปถึงพ่อแม่เสมอแหละ ดังนั้นพวกเขาก็แค่หลบฉากอยู่ด้านหลังพ่อแม่ก็เท่านั้น เพราะแบบนั้นถ้าพ่อแม่ของเธอเข้ามาเอี่ยว นี่มันจะเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายมากสำหรับเขา”
ฮ่าวเหรินยังคงคิดว่าเขาไม่ได้เอาอะไรของเธอมาทั้งนั้น เมื่อวานเขาออกมาตัวเปล่า หลังจากเผชิญหน้ากับเธอ สิ่งที่เขาเอากลับมาที่หอด้วยมีแค่ไพ่สองสำรับเท่านั้น
ถ้าพูดถึงลูกแก้วที่เธอพูดถึงอยู่เสมอนั้น ตอนนั้นฮ่าวเหรินสวมเพียงแค่ชุดนอนที่ไม่มีกระเป๋าแล้วก็รองเท้าแตะคู่หนึ่งเท่านั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะเอาของเธอออกมาด้วย เธอต้องทำมันหล่นไว้ซักที่แน่ๆ
ส่วนรอยสีเขียวบนผิว มันก็แค่เป็นผลจากสีตกของผ้าปูเตียงราคาถูก
ยังไงก็ตาม ตัดสินจากความดื้อดึงของเธอ เขากลัวเหลือเกินว่าครอบครัวของเธอจะเชื่อว่าเขาเป็นคนเอาของเธอมาจริงๆ ถึงตอนนั้นมันก็ไม่มีทางเลยที่จะแก้ต่างให้ตัวเองได้ พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ฮ่าวเหรินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกโดยเรื่องยุ่งยากที่ตนเองต้องเข้าไปพัวพันเพราะแค่พยายามจะช่วยใครซักคน
“หยุดตามผมได้แล้ว ผมบอกว่าแล้วผมไม่ได้เอาอะไรไปและนั่นหมายความว่า ผมไม่ได้เอาอะไรของคุณไปจริงๆถึงคุณจะเอาพ่อแม่มาด้วย ผมก็จะพูดแบบเดิม” ฮ่าวเหรินป่าวประกาศอย่างมั่นใจจากนั้นก็ยืนขึ้นยกถาดอาหารขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็คืนถาดอาหารและเดินออกจากโรงอาหารไป เมื่อเขาหันกลับมาก็พบว่าเด็กสาวยังคงตามเขาอยู่
ฮ่าวเหรินตัดสินใจเลิกที่จะสนใจเธอและมุ่งหน้าไปยังห้องสมุด
ปี๊บ…เสียงแจ้งเตือนจากตัวอ่านการ์ดว่าอนุญาตให้เข้าก็ดังขึ้นและประตูทางเข้าก็เปิดออก
เธออยากจะตามเขาเข้าไปด้านในแต่ก็ถูกกันไม่ให้เข้าเพราะประตูทางเข้าที่ปิดลงอย่างรวดเร็ว …..
ฮ่าวเหรินยืนอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งพลางโบกมือลาให้เธอแล้วเดินเข้าสู่ห้องรับรองของห้องสมุดโดยปราศจากความลังเล เขาเชื่อว่าในที่สุดเขาก็สลัดเธอหลุดแล้ว
“ในท้ายที่สุด….คุณจะกลับมาหาฉันด้วยตัวเอง” หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านนอกของโถงทางเดินพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
ติดตามตอนต่อไป……….