Divine Throne of Primordial Blood - Chapter 2: ไม่เคยยอมแพ้ (1)
Chapter 2: ไม่เคยยอมแพ้ (1)
ฤดูกาลได้ผันเปลี่ยนและฤดูร้อนที่มาซึ่งพร้อมกับความแค้น วันที่เร่าร้อนในยามฤดูร้อนวันหนึ่ง กลุ่มของเด็กหนุ่มต่างรวมตัวฝึกฝนวิชายุทธ์กันในสวนฝึกฝนวิชายุทธ์หลักของลานตระกูลซู พวกเขาจะส่งเสียงคำรามออกมาเป็นครั้งคราว เมื่อพวกเขาต่างฝึกฝนกันอย่างเต็มไปด้วยความตั้งใจ
“ฮึ่ย!”
พร้อมกับเสียงพ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง ฝ่ามือได้กระแทกเข้าสู่เสาหิน จนทำลายมันลงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“เยี่ยม!” เสียงเชียร์ดังก้องขึ้นจากลานฝึกฝนวิชายุทธ์
“นายน้อยสองเก่งกาจมากเลยครับ!”
“มันเหมือนกับว่าอีกไม่กี่วัน เขาจะเข้าสู่ขั้นห้าของการขัดเกลากายหยาบแล้วละ”
“เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของของรุ่นที่สามในตระกูลซูของพวกเรา”
หนึ่งในเด็กรุ่นที่สามของตระกูลซู ชื่อของเขาคือซูฉิง พูดให้ชัดเจนแล้ว เขาคือลูกของผู้อาวุโสสองของตระกูลซู ซูเคอจี [1. เคอจีหมายถึงความเข้มงวดกับตัวเอง]
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าซูฉิงเพลิดเพลินไปกับการชื่นชมที่ถาโถมมาหาเขาจากคนรับใช้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดออกมาด้วยใจจริง มันไม่ได้หยุดทำให้ซูฉิงรู้สึกดีกับตัวของเขาเอง
แต่หลังจากนั้น มันยังคงมีคนหนึ่งที่เป็นพวกโง่เง่าอยู่ตลอด
เสียงของคนรับใช้หนุ่มดังขึ้น “นายน้อยสี่ได้เลื่อนไปถึงขั้นห้าของการขัดเกลากายหยาบมาหลายวันแล้วนะครับ”
ตกสู่ความเงียบงัน ใบหน้าของซูฉิงตึงเครียด
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างเงียบงันกับคำพูด
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง คนรับใช้ที่เข้าใจอย่างรวดเร็วด่าคนรับใช้ที่โง่เขลา “นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน? เด็กหนุ่มตาบอดอย่างเขาจะเทียบกับนายน้อยสองได้ยังไง?”
คนรับใช้หนุ่มไม่กล้าที่จะโต้เถียง แต่เขายังคงดื้อดึงต่อไป “แต่เขายังคงเป็นขั้นห้านะ”
มันทำให้ซูฉิงอารมณ์เสีย ซูฉิงไม่ปรารถนาที่จะฟังต่อและเขายื่นคางออกมา
กลุ่มของคนรับใช้ที่อยู่เบื้องหลังของเขาต่างสบตาเข้าหากันและกัน ก่อนที่จะหันไปหาคนรับใช้หนุ่มและกระทืบเขาพร้อมกัน มีเพียงแค่หลังจากตอนที่เขาเต็มไปด้วยเลือดและถูกกระทืบจนถูกทิ้งไว้เพียงแค่คำด่าทอ เมื่อพวกเขาเดินตามนายน้อยของเขาไป
แม้ว่าจะเป็นแบบนั้น คนรับใช้หนุ่มยังคงดื้อรั้นอยู่ เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาสักคำ เมื่อเขาถูกทำร้ายจนทำได้เพียงกุมหัวป้องกันตัวเขาเอง หลังจากกลุ่มของคนรับใช้จากไป เขาปัดฝุ่นออกจากเขาไปทางกลุ่มคนที่เดินจากไป เขาไม่ใช่คนรับใช้ของนายน้อยสอง เขาเป็นแค่คนฝึกงานพาร์ทไทม์ทั่วไปที่ทำงานอยู่ในลานฝึกยุทธ์ เขาเพียงแค่สนใจแต่เรื่องของเขา ซึ่งจัดการเกี่ยวกับลานฝึกยุทธ์
เพียงแค่เขาก้าวเดินออกจากลานด้วยขาที่สั่นไปมา เขาสังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“นายน้อยสี่?” คนรับใช้หนุ่มตกตะลึง
ซูเฉินยังคงยืนอยู่ภายใต้ต้นไม้อย่างเงียบงัน เขาวมชุดแจ็คเก็ตสีขาวยาว ซึ่งมันพัดปลิวไปมาโดยแรงลม ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มที่พึ่งอายุมากกว่าสิบสองเพียงเล็กน้อย บรรยากาศที่อธิบายไม่ถูกที่อยู่ล้อมรอบเขา แม้ว่าดวงตาของเขาจะไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น พวกมันทั้งทื่อและไร้จิตวิญญาณ ซึ่งมันไม่ได้ขยับเล็กน้อยเลย
เมื่อได้ยินคำพูดของคนรับใช้หนุ่ม ซูเฉินยิ้มเจื่อนๆ “หมิงฉู่ เจ้าดื้อรั้นอีกแล้วนะ”
คนรับใช้หนุ่มยิ้มออกมา “ดังนั้นนายหนุ่มได้ยินที่ผมพูดสินะ ผมต้องการที่จะพูดแทน และพูดออกมาหลายต่อหลายประโยค”
(ผู้แต่ง : หมิงฉู่เรียกนายน้อยสี่ด้วยการออกเสียงที่น่านับถือ กว่านายน้อยสอง)
“มันจะมีความหมายอะไร สำหรับการโต้เถียงให้ข้า? เจ้าถูกทำร้ายฟรีๆเลยนะ”
หมิงฉู่เกาหัว “ข้าไม่สามารถที่จะอดทนฟังคำพูดเหลวไหลของพวกเขาต่อได้ มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยด้วยว่านายน้อยสี่คืออันดับหนึ่ง ท่ามกลางรุ่นที่สามของตระกูลซู แต่พวกเขากลับเรียนว่านายน้อยสองเป็นอันดับหนึ่งเสียอย่างงั้น”
“ถ้าเขาต้องการที่จะเป็นอันดับหนึ่ง ก็ปล่อยให้เขาเป็นไป มันไม่มีค่าอะไรที่จะสู้กลับหรอก” ซูเฉินตอบกลับอย่างไม่แยแส แม้ว่าข้าจะถึงขั้นที่ห้าของการขัดเกลากายหยาบแล้ว ข้ายังคงตาบอดอยู่ดี”
คำพูดของซูเฉิงพูดออกมา เมื่อเขาหันกลับไปและเดินไปที่ลานฝึกยุทธ์
หมิงฉู่มองไปที่ซูเฉินที่อยู่ด้านหลังอย่างมึนงง
ก่อนหน้านี้ นายน้อยสี่มีชีวิตชีวาและส่องประกาย เต็มไปด้วยพลังชีวิตและความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อสิบเดือน เขาได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
ขอทานเฒ่าที่โผล่มาจากที่ไหนไม่ทราบได้ ทำให้นายน้อยสี่ตาบอด หลังจากนั้นเป็นต้นมา นายน้อยสี่ทำได้เพียงเห็นแต่ความมืดที่เงียบงัน ในเวลาเดียวกัน นายน้อยสี่ก็จมอยู่กับความสูญเสียที่หลบหลีกไม่ได้ แต่เพียงเวลาไม่นานหลังจากนั้น เขารีบเติบโตขึ้นจากการสูญเสียและฝึกฝนกฏแห่งเต๋าต่อไป แม้ว่าเขาจะตาบอด เขาไม่ได้ยอมแพ้ การพัฒนาของเขานั้นรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขาได้ถึงขั้นที่ห้าของการขัดเกลากายหยาบ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เห็นท่าทางและความมุ่งมั่นของนายน้อยสี่ มันทำให้หมิงฉู่ชื่นชมในตัวเขามาก
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงพูดแทนลูกน้องของซูฉิง เมื่อเขาได้ยินพวกมันต่างเลียเท้าของหัวหน้าพวกเขา แม้ว่าเขาจะถูกทำร้ายโดยคำพูดเหล่านั้น หมิงฉู่รู้สึกว่ามันยังคงคุ้มค่าอยู่ดี
ซูเฉินยืนอยู่บนลานฝึกยุทธ์ แถมพูดต่อ “หมิงฉู่ เจ้ายุ่งอยู่หรือเปล่า? เจ้ามาช่วยข้าสักหน่อยได้ไหม?”
“ครับ!” หมิงฉู่พึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าซูเฉินมองไม่เห็นและวิ่งมาทางเขา และหยิบดัมเบลหินหนักคู่หนึ่งมาให้เขา
“นี่ครับ นายน้อยสี่ ระวังตัวด้วยนะครับ… นายน้อยสี่ นายน้อยไหวไหมครับ? นายน้อยต้องการคนรับใช้ไหมครับ?”
“ข้าคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้แล้วละ ข้าจัดการด้วยตัวเองได้ ข้ามาเพื่อฝึกฝนร่างกาย ไม่ได้มารอ ถ้าคนรับใช้มาที่นี่ มันจะแย่กว่านี้เสียอีก”
เมื่อซูเฉินพูดต่อ เขายกดัมเบลหินขึ้นและเริ่มฝึกฝนต่อ
เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา ภายใต้พระอาทิตย์ที่สว่างสดใส
….
เขาฝึกฝนเสร็จ ซูเฉินก็เดินกลับมายังสนามหญ้าของเขาเอง
สาวใช้ถอดเสื้อของเขาออก และคนรับใช้อีกคนได้อุ่นน้ำให้กับเขา
เขานั่งลงในอ่างอาบน้ำอุ่นและรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นที่ชะล้างความเหนื่อยล้าของเขา เขาถอนหายใจออกมายาวและความคิดของเขาพุ่งพล่านไปหมด ซูเฉินนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อขอทานเฒ่าจิ้มตาของเขาด้วยดวงดาวที่เย็นยะเยือกสองดาว
ประสบการณ์ที่ข่มขืนนานนับสิบเดือนได้ทำให้ซูเฉินตาบอดอย่างสมบูรณ์
เมื่อเขาตื่นขึ้นจากการโจมตี เขาสามารถทำได้เพียงรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่พูดออกมาไม่ได้จากดวงตาของเขา
แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือความเจ็บปวดที่อธิบายออกมาไม่ได้ ซึ่งเป็นความกลัวที่ยิ่งใหญ่สุด คือความมืดนิรันดรที่มาหาเขา
เมื่อเขาตระหนักได้ว่าเขาตาบอด ซูเฉินแทบจะกลายเป็นบ้าไป
แม้ว่าตระกูลซูจะส่งสิบ “หมอที่โด่งดัง” และ “หมอศักดิ์สิทธิ์” ออกมาก็ตาม มันไม่มีใครสักคนที่สามารถรักษาดวงตาของซูเฉินได้เลย
ซูเฉิงอัน พ่อของซูเฉินกราดเกรี้ยวอย่างมาก เขาออกตามหาไปทั่วเมือง เพื่อสืบเสาะหาขอทานเฒ่า แม้ว่าจะเป็นแบบนั้น การค้นหาของเขามันยังคงไร้ค่าอยู่ดี เขาหาชายเฒ่าไม่พบ และดวงตาของเขาได้มืดบอดอย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรได้ เขาไม่สามารถรับรู้ถึงแสงเลยด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้นซูเฉินตกสู่ความสิ้นหวัง
นี่คือช่วงเวลาที่เจ็บปวดมากที่สุดของซูเฉิน ไม่สำคัญว่าครอบครัวของเขาจะคอยปลอบประโลมเขามากเพียงใด เขาไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากความกลัวและความโกรธแค้นจากความมืดมิดเสียได้
ซูเฉินนั้นจมอยู่กับความเจ็บปวดอยู่ทุกวัน หรือไม่ก็วิ่งหนีไป เมื่อเขาบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสามารถคว้าได้ด้วยตัวของเขาเอง
เวลาสามเดือนผ่านไปก่อนที่สภาพของเขาจะค่อยๆพัฒนาขึ้น
บางที เนื่องจากว่าเขาเริ่มคุ้นชินกับความมืดมิด หรือบางทีเป็นเพราะว่าเขาตระหนักได้ว่า ไม่สำคัญว่าเขาจะบ้าคลั่งมากเพียงใด ความโชคร้ายของเขายังคงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนไปได้ เมื่อพบถึงความจริงนี้ มันทำให้ซูเฉินรู้สึกสมองนั้นว่างเปล่า
เขาไม่เหลือความบ้าคลั่งและจมอยู่กับความเงียบงันเป็นเวลานาน
ฉากนี้ทำให้แม่ของซูเฉิน ถังฮงรุ่ยกังวลมากกว่าเดิม เมื่อเธอกลัวว่าลูกชายของเขาจะฆ่าตัวตาย
แต่สุดท้ายแล้ว ซูเฉินไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
หลังจากนั้นวันหนึ่ง เขาพูดออกมา “ข้าต้องการบ่มเพาะ”
แน่นอน หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เขายิ่งฝึกฝนกับบนเส้นทางวิชายุทธ์มากขึ้น เมื่อเป็นดั่งลูกชายของตระกูลซู
เรื่องนี้ทำให้ผู้คนมากมายของตระกูลซูประหลาดใจ พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้ซูเฉินถึงสามารถรับตัวตนได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังไงก็ตาม มันยังเป็นเรื่องที่ดีอยู่ดี
ในเวลาเดียวกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าตระกูลจะมีผู้ฝึกฝนที่ฝึกวิชายุทธ์ แม้ว่าคนตาบอดจะก้าวข้ามผ่านการขัดเกลากายหยาบไปได้ เขาจะเข้าสู่ระดับการดูดกลืนพลังปราณได้อย่างไร?
ในเวลาเดียวกัน สมาชิกของตระกูลซูต่างรู้สึกมีความสุขกันอย่างมาก สำหรับความคิดที่เปลี่ยนไปของซูเฉิน
ความรู้สึกนี้มันเป็นเวลาถึงสามเดือน
หลังจากผ่านไปสามเดือน ซูเฉินได้เข้าไปสู่ขั้นห้าของการขัดเกลากายหยาบ
ถึงแม้ว่าเขาจะตาบอด เขายังคงเป็นเด็กที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นที่สามของตระกูลซูอยู่ดี
ความรู้สึกที่ไม่พึงพอใจปรากฏขึ้นท่ามกลางสมาชิกของตระกูลซู
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือซูฉิง
นายน้อยสองไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ เขาไม่สามารถที่จะเอาชนะคนตาบอดได้ด้วยซ้ำไป?
ซูเฉินควรที่จะปฏิบัติตัวเหมือนกับคนตาบอดซะสิ! มันคงจะดีแหละ ถ้าเจ้าอ่อนแอ พวกเราจะดูแลเจ้าเอง! พวกเขาถนอมเจ้ามันยังไม่มากพออีกหรอ? ทำไมความคิดของเจ้าถึงใสกระจ่างขึ้นมากันละ? ทำไมเจ้าถึงจะต้อง
ฝึกฝนอย่างขมักขเม้นด้วยกัน? ทำไมเจ้าถึงยังมีความรวดเร็วในการฝึกฝนขนาดนั้นกัน? แม้ว่าเจ้าจะเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นที่สาม แล้วมันจะยังไงละ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะคนที่มองเห็นได้อย่างงั้นเหรอ?
เจ้ามันก็แค่เด็กตาบอดเท่านั้นแหละ!
โดยปราศจากความสงสัยสิ่งใด ความคิดเหล่านี้ต่างถูกฝังอยู่ในหัวใจลึกของซูฉิง
มันมีเด็กหลายคนในรุ่นที่สามต่างมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน
ซูเฉินได้ยินคำพูดเหล่านี้มาด้วยเช่นกัน แต่มันยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะยอมแพ้
คำพูดของชายเฒ่าได้ก้องอยู่ในหัวของเขา “การพบเจอกับข้าก็ยังคือโชคลาภของเจ้า ซึ่งข้าจะมอบอนาคตที่ไม่มีขีดจำกัด…. เอาละ ข้าจะเปลี่ยนตาของเจ้าเอง พวกมันจะทำให้เจ้ามองเห็นได้มากขึ้น มองเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของโลกใบนี้!”
“ให้ข้าเปลี่ยนตาเจ้า… ให้ข้าเปลี่ยนตาเจ้า…”
เมื่อซูเฉินพึมพำต่อ แสงสว่างปรากกขึ้นในดวงตาที่มืดบอดของเขา
พร้อมกันนั้นเอง ความมืดมิดที่ไร้ที่สิ้นสุด คำพูดเหล่านี้มันเป็นดั่งไฟจากเชิงเทียนที่จุดขึ้นในค่ำคืนที่มืดมิด มันได้จุดประกายความหวังในหัวใจของซูเฉินและเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้เขาไม่ยอมแพ้!