Castle of Black Iron - Chapter 2009: ทำลายจารึก
Chapter 2009: ทำลายจารึก
หลังจากที่ออกจากเนินเขาซวนหยวน จางเทีย ได้ไปยังเขตกลืนกินทันที เขาตรงไปยังจุดของจารึกโบราณที่ภูเขาจักรวาลในเขตศีลธรรม
มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มกลืนกิน มีคนสำคัญหลายคนของกลุ่มกลืนกินมักจะไปที่นั่นและทำพิธีแตะจารึก ตอนนั้นจารึกยังคงอาบไปด้วยแสงสีแดงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
จางเทีย ได้ยืนอยู่ด้านบนของจารึกและมองไปที่จารึกที่ซึ่งเป็นต้นตอแห่งภัยพิบัติจากฝันของเขา
เขาเห็นคนสำคัญอย่างน้อย 200 คนที่ทำพิธีแตะจารึกแต่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัวเลยว่าด้านบนจารึกนั้นมีชายคนหนึ่งอยู่
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที จางเทีย ก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา
" บังอาจ เจ้าเป็นใครกัน ? เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ดูหมิ่นของศักดิ์สิทธิ์ ! "
ตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากใกล้ๆ จางเทีย รู้ว่าเขาถูกพบตัวโดยอัศวินของกลุ่มกลืนกินที่รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยที่นี่โดยไม่ต้องเงยหน้ามองด้วยซ้ำ
มันคืออัศวินดิน ตอนที่อยู่ห่างไป 1 กม.เขาก็ตะโกนและฟันดาบใส่เข้าหัว จางเทีย โดยเงินลับ เขาต้องการจะฆ่า จางเทีย และตัด จางเทีย เป็นชิ้นๆ
ในฝันนั้น เมิ่งชี่เดา ได้ทำการบูชายัญชีวิตคนนับล้านๆให้กับจารึกแต่ในสายตาของคนสำคัญของกลุ่มแล้ว จารึกที่อยู่ใต้เท้า จางเทีย นี้ก็ยังเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจจะดูหมิ่นได้
หลังจากที่ได้ยินเสียงของอัศวิน พวกสาวกของกลุ่มกลืนกินที่ทำพิธีแตะจารกึก็เห็นบางคนยืนอยู่บนจารึก ดังนั้นพวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองและพากันด่า จางเทีย
ตอนที่ดาบพลังฉีของอัศวินดินเข้ามาในระยะ 100 ม.จาก จางเทีย มันก็หายไป
ก่อนที่จะได้แตะเข้าที่เกราะพลังฉีของ จางเทีย ดาบพลังฉีนั้นก็หายไปราวกับว่าโดนกลืนกินโดยปากที่มองไม่เห็น
มันเหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นรอบตัว จางเทีย
สถานการณ์แบบนี้เกินกว่าความเข้าใจของอัศวินดิน เขาไม่รู้ว่าดาบพลังฉีหายไปได้ยังไงตอนที่เข้าถึงตัว จางเทีย อัศวินดินยากจะรับความจริงนี้ได้และฟันเข้าใส่ จางเทีย อีกครั้ง การฟังครั้งที่สองนี้ทรงพลังมากกว่าเดิม….
….
จางเทีย ก้มหน้าลงมองจารึกที่ใต้เท้า พลังวิญญาณของเขาได้เข้าไปในจารึกแล้ว เขาสังเกตุและเรียนรู้โครงสร้างของจารึกโดยไม่สนการโจมตีและคำด่าจากคนด้านล่าง
ตามตำนานแล้ววัสดุของจารึกนี้มันฝ่าฝืนกฎของวัสดุทั้งหมด จารึกนี้สามารถป้องกันการโจมตีจากธาตุ, พลังงานและวัสดุทุกชนิดได้ โครงสร้างอะตอมของวัสดุที่สร้างจารึกนี้อยู่ในสถานะใดก็ได้ ดังนั้นในสายตาของหลายคน จารึกนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะทำลายได้ การโจมตีทุกชนิดไม่ส่งผลกับมัน แม้แต่เวลาก็ไม่อาจจะสร้างร่องรอยไว้ที่ผิวจารึกได้
ก่อนหน้านี้ จางเทีย ก็เชื่อแบบนั้นแต่ตอนนี้ตำนานนี้มันไร้สาระสำหรับ จางเทีย
ในระดับของเขา จางเทีย เข้าใจว่าไม่มีอะไรในโลกที่ยั่งยืน ทุกอย่างก็จะพบกับจุดจบ มันคือหนึ่งในกฎจักรวาล ไม่มีใครรึอะไรที่ได้รับการยกเว้น แม้แต่จักรวาลเองก็ต้องพินาศลงเมื่อถึงเวลาเนื่องจากมันเกิดขึ้นมาจากมิติและเวลา
สำหรับกองกำลังทั่วไปแล้วจารึกนี้คือสิ่งที่ยั่งยืนเป็นนิรันดร์
จากการสังเกตุของ จางเทีย เขารู้สึกได้ถึงพลังงานสองอย่างของกฎจักรวาลด้านในจารึกนี้ พลังหนึ่งเกี่ยวข้องกับเวลา อีกอันเกี่ยวข้องกับมิติ อันแรกได้แช่แข็งวัสดุของจารึกไว้ในโลก ดังนั้นเวลาจึงไม่อาจจะส่งผลกับมันได้ ตราบใดที่ จางเทีย สามารถทำลายพลังของกฎเวลาลงไปได้ เขาก็สามารถทำลายจารึกได้
พลังของกฎมิติได้สร้างทางเข้าที่นำไปสู่อีกมิติด้านในจารึกซึ่งยังไม่เปิดออก พลังทั้งสองของกฎจักรวาลผูกมัดกันด้วยพลังที่แข็งแก่ง ทักษะนี้ได้ปล่อยพลังฉีออกมากลืนกินพลังด้านลบทุกอย่าง ตอนที่ จางเทีย สังเกตุที่จารึกนี้เขาก็พบว่าทักษะทั้งหมดในจารึกนี้ยังคงดูดซับพลังด้านบนจากดินแดนอารมณ์อยู่
แสงสีทองส่องประกายขึ้นมาในจุดที่พลังงานทั้งสองรวมตัวกันด้านในจารึก
ในฝันของเขาตอนที่ จางเทีย ได้ปะทะกับจารึกเขาก็พบบางอย่างผิดปกติด้านในมิติของจารึก แสงสีทองนี้เหมือนจะถูกตรึงไว้โดยจารึก ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงตัวตนของแสงสีทองซึ่งคล้ายกับ ซวนหยวนชางหยิง มันคือพลังฉีของสูตรเทพซวนหยวน
ของพวกนี้ไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยตาดอกบัวรึสัมผัสได้โดยพลังวิญญาณ ถ้าต้องการที่จะรับรู้ด้านในจารึก เขาต้องสร้างจักระอมตะขึ้นมาอย่างน้อยสองอัน
บางทีนี่อธิบายได้ว่าทำไม เมิ่งชี่เดา ถึงได้ตั้งจารึกให้ทุกคนได้เห็น
การเคลื่อนที่ของวัสดุและการเปลี่ยนตำแหน่งของวัสดุสองอันนี้นำไปสู่เวลา การเคลื่อนที่ทั้งหมดเกิดจากแรง ด้วยแรงจำนวนมากนี้คนเราจะจับต้องได้ถึงความลับของเวลา
ตามตำนานจีนแล้ว ตอนที่จักรวาลก่อตัวขึ้นมา มันมีพลังงานสะอาดเกิดขึ้นและกลายเป็นท้องฟ้า พลังงานสกปรกได้ตกตัวลงไปและกลายเป็นพื้นดิน จริงๆแล้วมันหมายถึงการพัฒนาของพลังงานที่มีความถี่ต่างกันในด้านมิติและวัตถุ พลังงานสะอาดมีความถี่สูงซึ่งได้แทนถึงพลังงานที่ไหลออก ส่วนพลังงานสกปรกนั้นแทนพลังงานที่ไหลเข้า
ตามการคาดการณ์ของ จางเทีย แล้ว ทิศทางของสูตรราชาอินทรีย์และสูตรเทพซวนหยวนอาจจะนำไปสู่การไล่ตามแรง การไล่ตามของสูตรราชาอินทรีย์นั้นอาจจะไล่ตามแรงไหลออกซึ่งทำให้คนเราไร้เทียมทานในจักรวาล ในทางกลับกันแล้วสิ่งที่สูตรเทพซวนหยวนไล่ตามคือพลังงานไหลเข้าซึ่งจะทำให้สร้างทุกอย่างในจักรวาลได้จากธาตุทั้งสี่ สุดท้ายแล้วทั้งสองสูตรก็ช่วยให้คนรู้และเชี่ยวชาญแรงของกฎจักรวาล
เรื่องพวกนี้อธิบายได้ว่าทำไมคนที่มีแรงเยอะๆถึงได้เข้าใกล้ความจริง มันคือความรู้ใหม่ของ จางเทีย เกี่ยวกับแรงหลังจากที่สร้างจักระอมตะขึ้นมาได้สามอัน
แรงของกฎจักรวาลในจารึกนี้จะพังได้โดยแรงจากกฎจักรวาลเท่านั้น
อัศวินของกลุ่มกลืนกินยังคงโจมตี จางเทีย อยู่ ทันใดนั้นเขาก็ฟันเข้าใส่ จางเทีย เป็นครั้งที่สี่ ในขณะเดียวกันคนสำคัญของกลุ่มกลืนกินก็ยังพากันด่าทอ จางเทีย ที่ด้านล่างจารึก
จางเทีย ที่ยืนอยู่บนจารึกไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ หลังจากที่หลับตาได้ 2 วินาที เขาก็ได้ลืมตาขึ้นมาและต่อยเข้าที่จารึก
ในขณะเดียวกัน จางเทีย ก็แทงแขนกว่าครึ่งเข้าไปในจารึก
ผลก็คือทั้งจารึกนั้นสั่นไหวและปล่อยแรงกระแทกอันน่ากลัวออกมา ทันใดนั้นผู้คนด้านล่างจารึกและอัศวินดินที่โจมตี จางเทีย ต่างก็ตัวสลายไป
ภูเขาและตึกในระยะ 14 ไมล์ได้กลายเป็นผงในพริบตา
อีกอย่างพื้นที่ทั่วเขตศีลธรรมต่างก็สั่นราวกับแผ่นดินไหว
หลังจากนั้นรอยแตกสีทองก็เปล่งแสงออกมาจากจุดที่ จางเทีย แทงมือเข้าใส่ ในพริบตารอยแตกนั้นก็เริ่มขยายตัวและมีรอยแตกเพิ่มมากขึ้นบนจารึก
ปัง !
หลังจากนั้นไม่นานจารึกที่ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มกลืนกินก็ถูกพังโดย จางเทีย ด้วยหมัดเดียว จากนั้นมันก็ไม่มีจารึกโบราณในโลกนี้อีกต่อไป
ในเวลาเดียวกันแล้วแสงสีทองก็ได้บินออกมาจากจารึกและกลายเป็นชายวัยกลางคนมายืนอยู่ต่อหน้า จางเทีย….