Castle of Black Iron - Chapter 1991: ภัยพิบัติ (I)
Chapter 1991: ภัยพิบัติ (I)
ในวันที่ 16 เมษายน หนึ่งวันก่อนงานเทศการจารึก เขตย่อยศีลธรรมดูคึกคักตั้งแต่ก่อนจะเช้า
จริงๆแล้วเขตย่อยศีลธรรมนี้ถูกเรียกว่าเขตปลอดภัยก่อนปี 687 แต่หลังจากปีนั้นก็กลายเป็นเขตย่อยศีลธรรมเพราะแผ่นดินไหวที่เกิดในวันที่ 17 เมษายน ปี 687 ผลก็คือภูเขาจักรวาลกว้างได้ถล่มลงไปเผยให้เห็นจารึกโบราณซึ่งทำให้ประเทศต้องช็อก
15 ปีต่อมาเด็กหนุ่มคนหนึ่งเกิดมาในวันเดียวกันที่จารึกโผล่มา เขาได้ตระหนักความจริงและบ่มเพาะต่อหน้าจารึกกว่า 3 ปี จากนั้นเขาก็ขึ้นเป็นอัศวินเหล็กดำในวัย 18 ปี จากนั้นมาจารึกก็กลายเป็นของอมตะในใจหลายคนที่เขตย่อยนี้ 30 ปีต่อมาตอนที่ชายหนุ่มเป็นชายวัยกลางคน เขาก็ขึ้นเป็นอัศวินดิน จากนั้นอำนาจของจารึกก็ครอบคลุมไปทั่วเขตกลืนกินและดึงความสนใจจากผู้คนทั่วประเทศ จากนั้นมาเขตย่อยปลอดภัยก็ได้กลายเป็นเขตย่อยศีลธรรม หลังจากนั้น เมิ่งชี่เดา ก็เริ่มเขียนหนังสือและทฤษฎีของตัวเองก่อนจะได้รับความนิยมจากคนทั่วประเทศ ตอนที่กลุ่มกลืนกินถูกก่อตั้งขึ้นมา แน่นอนว่า เมิ่งชี่เดา ได้กลายเป็นหัวหน้าของกลุ่มกลืนกินไป
ใน 20 ปีต่อมา ฐานการบ่มเพาะและความดีของ เมิ่งชี่เดา ที่เพิ่มขึ้นมา สุดท้ายเขาก็โด่งดังไปทั่วประเทศ ตอนที่เขาได้เป็นอาจารย์ของเจ้าชายและรัฐมนตรีกับหนึ่งใน 3 ที่ปรึกษา อำนาจของกลุ่มกลืนกินก็แผ่ไปทั่วประเทศจนเกือบเทียบได้กับ 6 นิกายใหญ่….
มันก็เหมือนกับคนในเขตยูซูนับถือ จางเทีย เมิ่งชี่เดา เองก็ถือว่าเป็นเกียรติของกลุ่มกลืนกิน ตั้งแต่ที่ก่อตั้งกลุ่มกลืนกินขึ้นมา ทั้งเขตกลืนกินก็มีหลายพันองค์กร แต่ละเมืองในเขตจะมีองค์กรศีลธรรมหลายสิบแห่ง องค์กรนี้มีให้เห็นในเมืองและหมู่บ้านรวมถึงนอกเมืองด้วย องค์กรทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้การควบคุมของคนสำคัญของกลุ่ม ตอนแรกคนเข้าร่วมกับองค์กรโดยสมัครใจ หลังจากนั้นมามันก็มีองค์กรมากขึ้นเรื่อยๆ อำนาจของกลุ่มกลืนกินจึงแผ่ออกไป ผลก็คือคนที่ไม่เข้าร่วมกับองค์กรศีลธรรมจะโดนขับไล่ออกไป พวกเขาจะมีปัญหาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เมื่อเป็นแบบนั้นคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วมกับองค์กรก็ต้องออกจากเขตกลืนกินและไปใช้ชีวิตที่อื่น
ระหว่าง 200 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเลื่อนขั้นของ เมิ่งชี่เดา แทบไม่มีใครในเขตกลืนกินที่ไม่ได้เข้าร่วมองค์กรศีลธรรม
ในวันที่ 16 เมษายน หนึ่งวันก่อนเทศกาลจารึก คนมีความสามารถมากมายได้มายังเขตย่อยศีลธรรมโดยเรือบินและยานบินพร้อมกับคนของตัวเองราวกับมาแสวงบุญ ทั้งเขตย่อยศีลธรรมเต็มไปด้วยเสียงผู้คน ทุกโรงแรมเต็มหมด คนมากมายแห่กันมาที่นี่จากเมืองรอบๆ ผลก็คือถนนทุกเส้นต่างก็แน่นขนัด
….
ตอนตี 1 วันที่ 17 เมษายน ซูเล่าซัน เจ้าของร้านเต้าหู้ในถนนตะวันออกของหมู่บ้านซูเจีย นอกเมืองหินเหลืองของเขตย่อยศีลธรรมได้ตื่นขึ้นมา หลังจากที่จุดตะเกียงแล้ว เขาก็ปลุกลูกวัย 13 ปีที่หลับอยู่ในห้องเดียวกัน
" กวงซี ตื่นได้แล้ว…"
เด็กน้อยหลับอยู่ในตอนนั้น ซูเล่าซัน เรียกลูกสองครั้งและสะกิดด้วยมือก่อนลูกจะตื่น
" อ่ะ พ่อ มีอะไร…" – กวงซี ลืมตาขึ้นมาแต่ก็ยังดูง่วงอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงได้ปลุกเขาขึ้นมา
" เจ้าลืมไปแล้วรึว่าข้าบอกอะไรไป ? เทศกาลจารึกเริ่มวันนี้ เราจะไปแตะจารึกกัน เราต้องไปถึงภูเขาก่อนจะเช้า เร็วเข้า ลุกขึ้นล้างหน้าและล้างปากซะ ใส่เสื้อผ้าใหม่ที่ข้าเตรียมไว้ให้ ! " – เสียงของ ซูเล่าซัน ดูเคร่งเครียด หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อ ซูกวงซี ก็ขยี้ตาแล้วรีบลุกขึ้น เขาเริ่มเตรียมตัวออกเดินทางทันที
ซูเล่าซัน เป็นพ่อม่าย เมียเขาตายตอนคลอด เขาไม่ได้แต่งงานอีก เขากับลูกทำเต้าหู้ขายในหมู่บ้านซูเจีย
เมื่อคืน ซูเล่าซัน แทบไม่ได้นอน แม้ว่าเขาจะนอนอยู่ที่เตียงและหลับตาแต่เขาก็นอนไม่หลับเพราะความตื่นเต้นจากงานเทศกาล
จริงๆแล้วตั้งแต่ที่หัวหน้าขององค์กรศีลธรรมในหมู่บ้านและยังเป็นตำรวจในหมู่บ้านได้ให้บัตรงานรวมถึงบอกให้พาลูกไปแตะจารึกตั้งแต่เมื่อ 7 ปีก่อน ซูเล่าซัน ก็แทบนอนไม่หลับ
ซูเล่าซัน รอวันนี้มากว่า 10 ปี ระหว่าง 10 ปีที่ผ่านมาเขาบริจาคเงินกว่าครึ่งให้กับองค์กรเพื่อจะได้บัตรนี้มาให้เขากับลูกไปงานเทศกาลได้
บางทีมันคงล้ำค่าและศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนเราในการแตะจารึกแต่สำหรับ ซูเล่าซัน ที่อยู่ชนชั้นล่างของสังคมแล้ว เขาเข้าร่วมกับองค์กรเพราะคนอื่นๆในหมู่บ้านได้เข้าร่วมองค์กร ถ้าเขาไม่เข้าร่วม เขาก็อยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะขายเต้าหู้แต่เขาก็ยังเป็นหนี้ อีกอย่างแล้วเขาอาจจะมีปัญหา การต่อต้านการแตะจารึกนี้จะทำให้เขามีปัญหา เขาอยากพาลูกไปเสี่ยงโชค เขาต้องการหาโอกาสเพื่อให้ลูกทำตามที่เขาหวังไว้ได้แต่เขาไม่ได้ต้องการให้ลูกอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่อเพื่อขายเต้าหู้ไปตลอดชีวิตแบบเขา
ซูเล่าซัน ไม่คิดว่าลูกจะมีหวังได้รับการชื่นชมจาก เมิ่งชี่เดา แม้ว่าเด็ก 7-8 คนจะได้รับความชื่นชอบจาก เมิ่งชี่เดาแต่ดูจากจำนวนเด็กที่ไปยังเขตย่อยศีลธรรมแล้ว โอกาสที่จะได้รับความชื่นชอบนั้นมีไม่ถึง 1 ใน 10,000 นอกจาก เมิ่งชี่เดาแล้ว หัวหน้าขององค์กรทั่วประเทศก็ยังมาที่นี่ในวันเดียวกันพร้อมกับพาเด็กของตัวเองมาด้วย
ซูเล่าซัน หวังว่าลูกของเขาจะได้รับความชื่นชอบจากหัวหน้าองค์กรในเมืองใหญ่ ไม่งั้นแล้วเขาก็หวังว่าลูกจะหาที่พึ่งในองค์กรของเมืองหินเหลืองได้หลังจากที่ไปแตะจารึก สำหรับคนที่รู้จักแต่การทำเต้าหู้ตั้งแต่เด็ก เขาได้แต่ช่วยให้ลูกเด่นขึ้นมาได้ด้วยวิธีนี้
ไม่ถึง 30 นาที ซูเล่าซัน กับลูกก็เตรียมตัวกันเสร็จ พวกเขาใส่เสื้อผ้าใหม่ หลังจากที่กินอาหารที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ซูเล่าซัน ก็เอาอาหารแห้งมาใส่กล่อง หลังจากนั้นเขาก็ถือตะเกียงเดินออกไปนอกบ้านพร้อมกับลูก
พระจันทร์เต็มดวงและยังมีแสงดาวในท้องฟ้า ในขณะเดียวกันบ่อบัวใกล้กับบ้านก็ยังมีเสียงร้องของกบ, จั๊กจั่น
ตอนที่ ซูเล่าซัน กับลูกออกจากบ้านมา พวกเขาก็เห็นชาวบ้านหลายคนเตรียมตัวจะออกจากบ้านเช่นกัน
ตอนที่พวกนั้นเห็น ซูเล่าซัน กับลูก หลายคนก็ทักทายและมอง ซูเล่าซัน ด้วยสายตาชื่นชม ข่าวที่ว่า ซูเล่าซัน ได้บัตรเพื่อเข้าแตะจารึกได้กระจายไปทั่วหมู่บ้าน นอกจากหัวหน้าองค์กรในหมู่บ้านกับ ซูเล่าซัน แล้ว มีอีกแค่สองครอบครัวที่ได้รับบัตรนั้นไป
เมื่อเห็นสายตาชื่นชมและได้ยินเสียงทักทาย ซูเล่าซัน ก็รู้สึกดีขึ้นมา เขาจับที่บัตรและจับมือลูกชายเอาไว้ก่อนจะเดินออกจากหมู่บ้านไป
ต้องขอบคุณที่วันนี้อากาศดี แม้ว่าจะไม่มีตะเกียงแต่พวกเขาก็ยังเห็นถนนได้ชัดเจน หลังจากนั้นไม่นาน ซูเล่าซัน กับลูกก็เดินออกจากหมู่บ้านมาถึงทางที่บนภูเขานอกหมู่บ้านซึ่งเชื่อมกับถนนหลัก
จากถนนภูเขา แม้ว่าจะดึกอยู่แต่พวกเขาก็พบว่าถนนหลักด้านล่างสว่างแล้ว มันคึกคักกว่าตลาดกลางคืนอีก มีคนมากมายเดินในถนนหลักทั้งชายหญิง, เด็กและคนแก่ เด็กบางคนไม่ได้ถืออะไรมาด้วย พวกเขาแค่เดินกันอย่างสนุกสนาน
ซูเล่าซัน กับลูกเข้าไปในฝูงชนและรีบเดินทาง
หมู่บ้านซูเจียห่างจากภูเขาจักรวาลไป 33 ไมล์ ตราบใดที่เดินไป พวกเขาก็จะถึงที่นั่นก่อนจะเช้า
เพื่อจะแสดงถึงความเคารพ มันจึงไม่มีใครที่ใช้ม้ารึเกวียนในระยะ 60 ไมล์จากภูเขา ทุกคนต่างก็เดินไปที่นั่น
" พ่อ ข้าเจ็บเท้า…" – หลังจากที่เดินมาได้ 13 ไมล์ ซูกวงซี ก็เดินไม่ไหว
" พักสักหน่อย ดื่มน้ำ จากนี้นเราค่อยเดินทางกันต่อ…" – ซูเล่าซัน เปิดกล่องอาหารส่งให้กับลูก
ไม่กี่นาทีต่อมาแม้ว่า ซูกวงซี ยังไม่ฟื้นตัวแต่เขาก็โดนพ่อเร่งให้เดินทางต่อ ตอนที่ลูกเดินไม่ไหวจริงๆ หน้าของ ซูเล่าซัน ก็จะหม่นลงและถึงกับลากลูกให้เดินทางต่อ
ระหว่างทาง ซูเล่าซัน เองก็เหนื่อยและกระหายแต่เขาก็ยังไปถึงตีนเขาได้ก่อนจะเช้าได้
คนส่วนมากหยุดรอบๆภูเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปรวมตัวกันที่ลานหลายสิบอันทีนั่น แต่ละลานมีขนาดเท่ากับสนามบินที่จุคนได้หลายร้อยคน ลานเหล่านี้มีถนนที่นำไปสู่ภูเขา ปกติแล้วมันมีคนมากนักที่ลานเหล่านี้แต่ในวันนี้ทุกลานต่างก็เต็มไปด้วยผู้คน
ด้วยบัตรงาน ซูเล่าซัน กับลูกได้ผ่านด่านตรวจภายใต้สายตาชื่นชมของคนมากมายและเข้าไปในภูเขาตามถนนที่ปูไว้อย่างดี หลังจากที่เดินมาได้อีกไม่กี่ไมล์พวกเขาก็ได้เห็นแถวยาวกว่า 7 ไมล์บิดเบี้ยวไปอย่างกับงู หางแถวอยู่ตรงหน้าพวกเขา ส่วนหัวนั้นอยู่ตรงด้านหลังสันเขา
พวกเขาต่างก็รออยู่ที่นั่น ดังนั้น ซูเล่าซัน กับลูกก็ไปหยุดรอที่นั่นด้วย
ทุกคนต่างก็มาที่นี่เพื่อแตะจารึกในแสงแรกของวันที่ฉายใส่จารึก เพราะมันยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนจะเช้า พวกเขาต่างก็ไปรอที่นั่นเงียบๆ….